22 พฤษภาคม 2552

คลังเปิดกว้างขายหุ้นแบงก์

คลังเปิดกว้างขายหุ้นแบงก์



กรุงเทพฯ 21 พ.ค. - นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยว่า กระทรวงการคลังพร้อมที่จะเปิดรับและพิจารณาข้อเสนอในการซื้อหุ้นธนาคารสินเอเซีย ธนาคารทหารไทย และธนาคารกรุงไทย จากนักลงทุนทุกราย หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อระบบสถาบันการเงิน ระบบเศรษฐกิจโดยรวม และการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการถือหุ้นในกิจการที่เป็นยุทธศาสตร์ในการบริหารประเทศ

“การขายหุ้นดังกล่าว กระทรวงการคลังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการขาดทุนและกำไร แต่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีนักลงทุนรายใดหรือองค์กรใดติดต่อเข้ามาอย่างเป็นทางการ รวมถึงทางธนาคารไอซีบีซี ที่มีกระแสข่าวว่าสนใจเจรจาซื้อหุ้นธนาคารสินเอเซียจากกระทรวงการคลังด้วย” นายกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมไม่ได้หารือเรื่องการเลื่อนเปิดเสรีโบรกเกอร์ออกไปจากแผนเดิมแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ เห็นว่าการเปิดเสรีโบรกเกอร์ถือเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ปี 2553-2555 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสถาบันตัวกลาง ทั้งบริษัทหลักทรัพย์และนายหน้าค้าหลักทรัพย์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับการแข่งขันและยกระดับคุณภาพในภาคธุรกิจนี้

“ขณะนี้การระดมทุนในตลาดทุนมีเพิ่มมากขึ้น จึงควรจะมีกลไกการแข่งขันที่เป็นเสรี ซึ่งหากใครมีกระบวนการที่มีคุณภาพ สามารถกำหนดค่าคอมมิชชั่นที่ถูกลงได้ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งของลูกค้าที่ทำให้มีต้นทุนถูกลงได้” นายกรณ์ กล่าว.

ที่มา:สำนักข่าวไทย

เทมาเส็กซื้อหุ้นแบงก์จีนเพิ่ม

เทมาเส็กทุ่ม 600 ล้านดอลล์ซื้อหุ้นแบงก์จีนเพิ่ม

เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ทุ่ม 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไชน่า คอนสตรักชั่น แบงก์ (ซีซีบี)เพิ่ม
เอเอฟพีอ้างรายงานข่าวของสเตรทส์ ไทม์ส ว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของเทมาเส็กในซีซีบีเพิ่มจาก 6.0% เป็น 6.5% หรือ 14.3 พันล้านหุ้น

ขณะที่เทมาเส็กปฏิเสธที่จะยืนยันรายงานข่าวนี้ โดยระบุว่า ไม่เหมาะสมที่จะแสดงความคิดเห็นต่อรายงานที่ไม่ระบุแหล่งข่าว

ด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา ได้ขายหุ้น 1 ใน 3 ที่ถืออยู่ในซีซีบีในราคา 7.3 พันล้านดอลลาร์ให้แก่กลุ่มทุน ซึ่งประกอบด้วยเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ โฮพู อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์ และไชน่า ไลฟ์ อินชัวแรนซ์ เพื่อระดมทุน

การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของเทมาเส็กในธนาคารจีนเป็นไปตามแผนความพยายามปรับสมดุลย์การลงทุนทั่วโลกขององค์กร หลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ

ทั้งนี้เทมาเส็ก และบรรษัทเพื่อการลงทุนของสิงคโปร์ (จีไอซี) เป็นหน่วยงานเพื่อการลงทุนของรัฐสิงคโปร์ ได้ทุ่มเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในธนาคารตะวันตก ซึ่งถูกสั่นคลอนโดยวิกฤตการเงิน และส่งผลให้มูลค่าการลงทุนลดลง เนื่องจากราคาหุ้นดิ่งหนัก

โฮ ชิง ซีอีโอของเทมาเส็ก เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะเน้นการลงทุนในเอเชียมากขึ้น และลดการลงทุนในเขตเศรษฐกิจตะวันตก โดยในพอร์ทการลงทุน จะลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมโออีซีดี จาก 30% เหลือ 20% ขณะที่ยังคงการลงทุนในภูมิภาคเอเชียไว้ที่ 40% และสิงคโปร์ 30% พร้อมจะเพิ่มการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆ เช่น ละตินอเมริกา รัสเซีย และแอฟริกา รวม 10%


TTA : แนวโน้มฟื้นตัวไตรมาส 2/52

TTA : แนวโน้มฟื้นตัวไตรมาส 2/52


ผลประกอบการ 2H52 (เม.ย.-ก.ย.2552) มีแนวโน้มฟื้นตัว HoH: ACLS คาดว่าผลประกอบการของบริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วใน 2Q52 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 99 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรทรุดหนักนอกเหนือจากการปรับตัวลดลงของดัชนีค่าระวางเรือเฉลี่ย (Baltic Dry Index: BDI) ที่รับรู้กันโดยทั่วไปแล้ว ยังเป็นเพราะผลประกอบการของเมอร์เมดที่ไม่เป็นไปตามเป้าจาก

1) เป็นช่วงฤดูมรสุม
2) ลูกค้าเลื่อนเซ็นสัญญา
และ 3) มีการย้ายเรือที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับธุรกิจนอกชายฝั่งไปรับงานที่บราซิล

ทำให้ Utilization rate ของธุรกิจนี้ลดลงเหลือเพียง ~30% ฉุดผลประกอบการของเมอร์เมดให้พลิกเป็นขาดทุน 33 ล้านบาท (แม้ธุรกิจงานขุดเจาะจะมี Utilization rate เกือบ 100%)

ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เพราะเรือ 6 ใน 7 ลำสามารถให้บริการได้ตามปกติ สะท้อนมายัง Utilization rate ของธุรกิจนอกชายฝั่งที่พุ่งขึ้นเป็น 60% ส่วนอีก 1 ลำที่บราซิลคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เร็วๆ นี้ ทำให้กำไรของเมอร์เมดที่ส่งผ่านมายัง TTA ที่ ~180-200 ล้านบาท/ไตรมาส กลับมาคาดหวังได้อีกครั้ง

ขณะเดียวกันธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่มีกำไรใกล้จุดคุ้มทุน ณ ระดับ BDI ปัจจุบัน ก็กำลังเข้าสู่ช่วง High Season ของการขนส่ง ทำให้คาดการณ์กำไรปกติปี 2552 ของ ACLS ที่ 1,076 ล้านบาทเป็นไปได้มากขึ้น

ความคาดหวังที่จะเห็น BDI ขึ้นแรงเป็นไปได้ยาก เพราะถูกกดดันจาก Over supply: BDI ที่พุ่งขึ้นแรงเกือบ 3 เท่าตัวนับจากจุดต่ำสุดช่วงปลายปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการ Re-Stock สินแร่เหล็กของจีนที่เป็นทั้งผู้นำเข้า-ส่งออกเหล็กรายใหญ่ของโลก โดยเดือน มี.ค. มีการนำเข้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 52 ล้านตัน ถ้าเป็นเช่นนั้นการนำเข้าในช่วงที่เหลือของปีอาจเริ่มชะลอตัวลง

ขณะเดียวกันภาวะอุตสาหกรรมยังถูกกดดันจากปัญหา Over Supply ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้า ซึ่งคาดว่าระวางเรือโลกจะเพิ่มขึ้น 17% และ 20% ตามลำดับ เทียบกับการอุปสงค์ที่โตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี และการ Scrape เรือที่จะทำให้อุปทานลดลงสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี ด้วยเหตุและผลจึงเป็นไปได้ยากที่จะเห็น BDI พุ่งขึ้นแรงเหมือนกลางปีก่อนจนไปทำจุดสูงสุดไว้ที่ 11,793 จุด โดย ACLS คาดการณ์ BDI เฉลี่ยทั้งปีที่ 2,500 จุด (เฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 1,650 จุด)


คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 52 เท่ากับ 23.20 บาท อิง P/BV ที่ 0.60x: แม้ในช่วง 1-2 ปีนี้ภาวะอุตสาหกรรมจะถูกดันจากปัญหาอุปทานส่วนเกิน แต่ช่วงสั้นยังได้ผลดีจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ BDI และการฟื้นตัวของผลประกอบการที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 2H52 ขณะที่ฐานะทางการเงินยังแข็งแกร่งโดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังเป็นบวก และมีเงินสดสุทธิในมือสูงถึง 7.10 บาท/หุ้น ไว้รองรับการลงทุนในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับงานขุดเจาะ (~8% ของรายได้รวม) ที่มีแนวโน้มเติบโตดี เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขนส่งสินค้าแห้งเทกอง (~ 70% ของรายได้รวม) ที่มีแนวโน้มไม่สดใส ถือเป็นผลดีต่อการเติบโตระยะยาว คงคำแนะนำ “ซื้อ”

ที่มา...บล.เกียรตินาคิน

เล่นเก็งกำไร BANPU

เล่นเก็งกำไร BANPU


ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานของไทย 6 ตัวคือ PTT/PTTEP/TOP/PTTAR/BCP/ESSO ที่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องชนิดที่ว่าไม่มีการปรับฐานเลย ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่เมื่อกลับมามองดูค่า P/E ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าค่า P/E ในปัจจุบันขึ้นมาเหนือ Band ที่ 15 เท่า และที่ Band 15 เท่านี้เองที่หุ้นทั้ง 6 ตัวนี้เคยขึ้นไปแตะมาแล้วในปี 2004 ดังนั้นการที่ค่า P/E ขึ้นถึงตรงนี้ ก็ให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นทั้ง 6 ตัวนี้ให้มากขึ้นส่วนรูปด้านขวาเราแสดงค่า P/E หุ้นทั้ง 6 ตัวเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นจะเห็นได้ว่าค่า P/E ของเราสูงกว่าในภูมิภาคแล้ว และสังเกตให้ดี คือช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเทรดกันสูงกว่าของภูมิภาคเลย


หุ้นพลังงานที่ยังพอเล่นเก็งกำไรสั้นๆ ได้ คือ BANPU เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยกลางของ IBES ที่ 330 บาท (ดูจากรูปล่างขวา) และราคาหุ้นเมื่อเทียบกับผู้ผลิตถ่านหินในเอเชียตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปรากฏว่า BANPU ขึ้นได้น้อยกว่า ดังนั้นจึงยังพอมีช่องที่จะขึ้นได้อีก (ดูจากรูปล่างซ้าย) โดยปัจจุบันหุ้นพลังงานที่เหล่านักวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมาย และผลดำเนินงานมากที่สุดคือ BANPU เนื่องจากมองว่าราคาถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นมาในครั้งนี้น่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าราคาน้ำมันที่มักจะถูกปั่นราคาคาดว่ากำไรสุทธิของ BANPU ในปีนี้จะอยู่ที่ 11,467 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 9,228 ล้านบาท) EPS ที่ 42.1 บาท และคาดว่าจะจ่ายปันผลที่ 13 บาทเราแนะนำ ซื้อเก็งกำไร โดยมีราคาเป้าหมายที่ 342 บาท โดยหุ้นตัวนี้เป็นอีกตัวที่นักวิเคราะห์ 18 โบรกเกอร์ไม่มีการแนะนำ ขาย

สถานการณ์โดยรวมของหุ้นกลุ่มพลังงานตอนนี้ ถือว่าขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ที่แพงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ประกอบกับผลดำเนินงานใน Q2 แม้จะมีกำไรแต่ส่วนใหญ่น่าจะมาจากการสต็อกน้ำมันมากกว่า

-------------------------------------------------
ที่มา...บล.ซิกโก้ นักวิเคราะห์ เกียรติก้อง เดโช


เกาะกระดานหุ้น

เกาะกระดานหุ้น


๐ หุ้นไทยวานนี้ (21 พ.ค.) ถูกแรงขายทำกำไร ผนวกกับแรงตกใจ ที่เฟดออกมาคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้จะถดถอยอีก ดัชนีปิดตลาดที่ 548.77 จุด ลดลง 12.64 จุด มูลค่าซื้อขาย 24,284 ล้านบาท


๐ ราคาหุ้น แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์(ประเทศไทย) (CCET) วิ่งขึ้นแรงระหว่างวัน ก่อนปิดการซื้อขายที่ระดับ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ 2.65% มูลค่าซื้อขาย 46.68 ล้านบาท เพราะมีแรงเก็งกำไรข่าวการ De-listed ออกจากตลาดหลักทรัพย์ไทยและไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไต้หวัน จริงหรือหลอก อีกไม่นานก็รู้กัน

๐ เสี่ย ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) ส่งไม้ต่อตำแหน่งนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน ให้ อานนต์ สิริแสงทักษิณ ซึ่ง อานนต์ ไม่รอช้า เดินเครื่องเข็นเรื่องมาตรการภาษีควบรวมกิจการและภาษีโฮลดิ้ง คอมปะนี มาดำเนินการลำดับต้นๆ...เห็นนโยบายแล้วอดคิดไม่ได้ว่ามันเอื้อกับกลุ่ม ปตท.จริงๆ

๐ เจอการเมืองเล่นงานหุ้น บริษัท ช.การช่าง (CK) ร่วงไม่เป็นท่าวานนี้ หลังจากที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาช่วงที่ 1 ระหว่างบางซื่อ-บางใหญ่ ไม่สอดคล้องกรอบวงเงินเดิมที่ 1.3 หมื่นล้านบาท จึงได้สั่งการให้ รฟม.กลับไปพิจารณาใหม่ ก็อย่างว่า...อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับการเมือง ก็ขึ้นแรง ลงแรงแบบนี้

๐ หลังจากถูกกระแสสังคมรุมกดดัน รวมถึงข้อสังเกตของแบงก์ชาติที่ออกมาบอกว่าผู้ฝากเงินเสียรายได้จากการลดลงของดอกเบี้ยเงินฝากไปแล้วกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ในที่สุดธนาคารหลายๆ แห่ง ก็ไม่อาจฝืนกระแสได้ เลยต้องยอมลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อลบภาพเสือนอนกินกันหน่อย แบงก์กรุงเทพ (BBL) นำร่องก่อนที่ 0.125% ตามมาด้วย แบงก์ไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ลด 0.15% และที่แรงสุดๆ เห็นจะเป็น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ของเสี่ยปั้น บัณฑูร ล่ำซำ ที่ลดมากกว่าใคร 0.25% ทำให้ตอนนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ของ KBANK ต่ำสุดในระบบที่ 5.85%

๐ แต่ที่น่าผิดหวังสุดๆ เห็นจะเป็นแบงก์รัฐ ที่ประกาศตัวว่าเป็นธนาคารสำหรับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยอย่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ธนาคารอื่นๆเขาลดดอกเบี้ยเงินกู้มาหลายครั้งก็แล้ว แต่ดอกเบี้ย MRR ของ ธอส.ที่ใช้เป็นฐานการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้าทั่วไปยังค้างเติ่งอยู่ที่ 6.5% อยู่เลย หรือว่าบิ๊กบอส ขรรค์ ประจวบเหมาะ งานกำลังเข้า ถูกสอบเรื่องเงินหายไปจากบัญชีกว่า 499 ล้านบาท เลยไม่มีเวลามาดูดำดูแดงลูกค้า ยังไงก็ฝากถึงท่าน ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ในฐานะที่กำกับดูแลแบงก์นี้โดยตรง ช่วยกระทุ้งให้อีกแรงนะคร้าบ...ชาวบ้านเขาฝากถามมาจ้า...



ตัวเลขตกงานฉุดดัชนีดาวโจนส์

ตัวเลขตกงานฉุดดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 130 จุด

นิวยอร์ก 22 พ.ค.-ข้อมูลล่าสุดที่ระบุมีแรงงานตกงานเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้
ฉุดให้ดัชนีหุ้นร่วงลงเกือบ 130 จุด

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีปรับลดลงหลังข้อมูลของกระทรวงแรงงานล่าสุดชี้ว่า
มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างยื่นเอกสารขอรับความช่วยเหลือจากทางการ 631,000 คน
ทำให้นักลงทุนกลับมาวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศอีกครั้ง
ขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี ยังเตรียมปรับลดความน่าเชื่อถือของอังกฤษ
ที่มีระดับหนี้สินเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้มีแรงขายออกมาเพิ่มขึ้นอีก

ปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.44 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.25 พันล้านหุ้น

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ปรับลดลง 99 เซนต์ ไปปิดที่ 61.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 8,292.13 จุด ลดลง 129.91 จุด หรือ 1.54%
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,695.25 จุด ลดลง 32.59 จุด หรือ 1.89%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 888.33 จุด ลดลง 15.14 จุด หรือ 1.68%

ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,345.47 จุด ลดลง 119.77 จุด หรือ 2.68%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 4,900.67 จุด ลดลง 138.27 จุด หรือ 2.74%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,217.41 จุด ลดลง 85.96 จุด หรือ 2.60%

ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 59.93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 66 เซนต์

ขณะที่ราคาทองคำ
ตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 950.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 13.80 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 949.85 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 14.10 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา :สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

แนวรับวันนี้ 540 จุด

หุ้นไทยติดลบ 12.64 จุด ปิดที่ 548.77 จุด แนวรับวันนี้ 540 จุด แต่มีสิทธิหลุดไปถึง 520 จุด


ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 2.25% นักวิเคราะห์จาก บล. ธนชาต คาดวันนี้ลงต่อให้แนวรับที่ 540 จุด แต่ถ้าหลุดจากแนวรับนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณขายทางเทคนิค ไปรอแนวรับต่อไปที่ 520 จุด

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล. ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยควรเข้าสู่ระยะพักฐานหลังจากเพิ่มขึ้นมากกว่า 150 จุดในช่วงกว่า 2 เดือน แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อต่อเนื่อง แต่อาจลดระดับลง โดยในวันนี้ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลกลดลง อันเนื่องมาจากสหรัฐฯปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

สำหรับตลาดหุ้นไทยมีการขายทำกำไรออกมาในหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อันเนื่องมากจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ซึ่งอาจทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลง

นายพิชัยคาดว่า แนวรับของดัชนีหุ้นไทยในหวันนี้จะอยู่ที่ 540 จุด แต่ถ้าหากลดลงไปต่ำกว่านี้ ก็อาจเป็นการส่งสัญญาณขายทางเทคนิค และแนวรับต่อไปอาจอยู่ที่ 520 จุด อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ดัชนีจะไม่ลดลงไปจนถึงระดับต่ำสุดเดิมที่ 380 จุด


ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 548.77 จุด ลดลง 12.64 จุด มูลค่าการซื้อขาย 24,334.67 ล้านบาท

นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,667.35 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 189.62 ล้านบาท
นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,477.73 ล้านบาท



เปิดตัวดัชนีชาริอะห์!!



เปิดตัวดัชนีชาริอะห์!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 21 พ.ค. 52 ปิดที่ 548.77 จุด ลดลง 12.64 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 24,334.67 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 188.98 ล้านบาท

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัสมองแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดว่า อาจมีการปรับฐานลงได้ต่อ หลังเริ่มขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุน

ส่วนมุมมองทางเทคนิคคาดว่า ดัชนีอาจลงมาแตะแถวๆ 540-535 จุด แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ Take Profit ขณะที่ให้แนวต้านดัชนีไว้ที่ 560 จุด

อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดที่ "พอล ครุกแมน" นักเศรษฐศาสตร์โลกออกมาระบุว่า เศรษฐกิจโลกใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจะไม่เกิดภาวะถดถอย ที่รุนแรงลงไปอีกนั้น

เอเซียพลัสมองว่า ไม่ได้เป็นข่าวใหม่ที่จะทำให้นักลงทุนตื่นเต้น เพราะประเด็นเช่นนี้มีการพูดออกมาจากปาก "กูรู" ด้านเศรษฐศาสตร์มาหลายคนแล้ว ไม่ใช่ประเด็นใหม่

ปิดท้ายมีข่าวใหญ่ วันจันทร์ที่ 25 พ.ค.นี้ ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดตัว "FTSE SET Shariah Index" อย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดทำร่วมกันระหว่างตลาดหลักทรัพย์และฟุตซี กรุ๊ป

โดยคัดหุ้นที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลามในตลาดหุ้นไทยมาได้ 55 ตัว มาจัดทำเป็นดัชนีฟุตซี เซ็ท ชาริอะห์ หวังดึงเงินจากเศรษฐีน้ำมันกลุ่ม ประเทศตะวันออกกลางที่ นับถือศาสนาอิสลามมาลงทุนในหุ้นเหล่านี้ โดยอาจมีการออก ETF แล้วนำมาเทรดในตลาด

ส่วนเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นนั้นเข้มสุดๆก็แค่ครอบคลุมหุ้นแทบทุกกลุ่มในตลาด ยกเว้นกลุ่มสถาบันการเงิน ขั้นแรกจะ "คัดออก" ธุรกิจที่ขัด ต่อหลักศาสนา เช่น ธุรกิจธนาคาร, ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์, สุกร, บันเทิง, กาสิโน, โรงภาพยนตร์, ยาสูบ และการผลิตหรือจำหน่ายอาวุธ

หลังจากนั้นจะนำมาเข้าตะแกรงคัดเอาหุ้นที่ผ่านเกณฑ์โครงสร้างการเงิน คือต้องมีส่วนของหนี้น้อยกว่า 33% ของสินทรัพย์รวม, มีรายได้จากดอกเบี้ยน้อยกว่า 33%

หรือมีดอกเบี้ยรวมและรายได้อื่นๆที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา อิสลาม ไม่ควรเกินกว่า 5% ของรายได้รวม เป็นต้น.

อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4