08 เมษายน 2552

ข่าวห้องค้า 8 เม.ย.52

ข่าวห้องค้า


ไทยเอ็นวีดีอาร์ขายหุ้นดีแทค
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้นบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2552 จำนวน 0.04% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.99% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ไทยเอ็นวีดีอาร์ขายหุ้นไทยบริการ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้นบริษัทไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2552 จำนวน 0.16% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 4.96% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ไทยเอ็นวีดีอาร์ซื้อหุ้นแลนด์ฯ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2552 จำนวน 0.8% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 15.74% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

อีสเทิร์นไวร์ซื้อหุ้นอีเอ็มซี
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทอีเอ็มซี โดย บริษัทอีสเทิร์นไวร์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2552 จำนวน 1.14% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 6.177% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

FIL ซื้อหุ้นเอพี
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (เอพี) โดย FIL LIMITED FMR LLC เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2552 จำนวน 0.16% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 5.03% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ไทยเอ็นวีดีอาร์ซื้อหุ้นแอล.พี.เอ็น.
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทแอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2552 จำนวน 1.18% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 16.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ไทยเอ็นวีดีอาร์ซื้อหุ้น บล.ภัทร
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัท บล.ภัทร โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2552 จำนวน 0.08% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 10.01% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

บีฟิทเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจ
บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2552 มีมติให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขอำนาจกรรมการ เป็นดังนี้ "นายวิษณุ เครืองาม นางกิ่งเทียน บางอ้อ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และนางศิริพร มณีพันธ์ กรรมการสองในสี่คนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท"
ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่นางศิริพร มณีพันธ์ ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้เป็นกรรมการ (มีอำนาจ) ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการยื่นคำขอรับความเห็นชอบ

แคล-คอมพ์ยอดขายโต
บริษัทแคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) แจ้งยอดขายรายเดือนประจำเดือนมี.ค.2552 โดยมียอดขายจำนวน 8,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 7,724 ล้านบาท หรือ 2% ขณะที่ยอดรายได้จากเดือนมกราคมถึงมี.ค.2552 รวมเป็นจำนวน 24,132 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2551

ไทยพาณิชย์ตั้งกรรมการ
ธนาคารไทยพาณิชย์ แจ้งว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ครั้งที่ 186 เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2552 ได้มีมติแต่งตั้งให้ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ดำรงตำแหน่งกรรมการธนาคารแทน นางพันธ์ทิพย์ สุรทิณฑ์ ซึ่งขอลาออกจากการเป็นกรรมการธนาคาร ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.2552

เกาะกระดานหุ้น

เกาะกระดานหุ้น :


๐จับตาการเมืองจะร้อนฉ่าประการใด จะเกิดความวุ่นวาย หรือเกิดเหตุรุนแรงตามมาจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป่านกหวีดชุมนุม ใหญ่ ในวันนี้ (8 เม.ย.) จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งวานนี้ดัชนีหุ้นที่ปิดตลาดที่ 442.56 จุด ลดลง 3.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,353 ล้านบาท ที่น่าจับตานักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอีก 1,332 ล้านบาท ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ กิริฎา เภาพิจิตร จากธนาคารโลก หวั่นการเมืองฉุดจีดีพีไทยปีนี้ติดลบ 4.9%


๐ชัดเจนระดับหนึ่งแล้วว่าคำสั่งของรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ที่ให้ปิดบ่อฝังกลบขยะของบริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) ที่ จ.สระบุรีนั้น ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ จนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อมูลความผิดก่อน แต่ราคาหุ้น BWG ไม่รอช้า รับข่าวล่วงหน้าไปแล้ว โดยปิดที่ 1.50 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 6.25% สุทัศน์ บุณยอุดมศาสตร์ รองกรรมการผู้จัดการ สายบัญชีและการเงิน BWG ขอแจงไปถึงนักลงทุนและลูกค้าว่า แม้ว่าจะถูกปิดหลุมฝังกลบจริง รายได้ก็ไม่สะเทือน เพราะตอนนี้มีโครงการระยะยาว 1 โครงการ มูลค่า 412 ล้านบาท รับรู้รายได้ 3 ปี มาช่วยประคองรายได้แล้วจ้า!!!!!

๐ด้านบทวิเคราะห์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มองบริษัทการบินไทย (THAI) ประชุมนักวิเคราะห์นัดพิเศษ และได้รับความสนใจอย่างคึกคัก ทั้งนักวิเคราะห์และกองทุนแห่เข้าร่วมรับฟังสาระสำคัญของแผนการปรับโครง สร้างองค์กร และแนวโน้มผลประกอบการ โดยแผนแบ่งเป็น 2 ระยะได้แก่ระยะเร่งด่วนในปี 2552 ครอบคลุมถึงเรื่องการเพิ่มรายได้ควบคุมค่าใช้จ่ายสร้างความมั่นใจ ขณะที่แผนระยะที่ 2 จัดทำแผนฝูงบิน ปรับโครงสร้างธุรกิจและต้นทุน พัฒนาองค์กร บุคลากร รวมถึงเทคโนโลยี และแผนปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาว

๐ในที่ประชุมผู้บริหาร เน้นแผนเร่งด่วนโดยเฉพาะการลดต้นทุน ตั้งเป้าหมายประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และได้คาดการณ์ผลประกอบการปีนี้จะพลิกเป็นกำไร หากลดต้นทุนได้แถม EBIDA จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งแสดงความมั่นใจมากในผลประกอบการงวดไตรมาสแรกปีนี้ เพราะราคาน้ำมันปรับลงและปริมาณผู้โดยสารไม่ลดลงอย่างที่คาดไว้

๐ถึงแม้จะฟังแล้วนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังไม่มั่นใจผลประกอบการของ THAI จะพลิกฟื้นได้จริงตามที่ผู้บริหารคาด รวมถึงยังสงสัยว่าแผนการลดต้นทุนราว 1 หมื่นล้านบาท จะดำเนินการได้จริงหรือไม่ แต่หลังการประชุมและการตอบคำถามของผู้บริหาร นักวิเคราะห์ในตลาดจะเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นกับ THAI และคาดจะมีการปรับประมาณการปี 2552 และราคาเหมาะสมขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ.....จับตาดูกันต่อไป เกาะกระดานว่า ข้อสำคัญเลยนะ หากม็อบไม่รุนแรง ทั้งหมดก็มีลุ้น!!!!!!

ถือเงินสด รอดู

ถือเงินสด รอดูสถานการณ์การเมือง


สภาพตลาดวันวาน
:
ภาคเช้าการปรับฐานของตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า รวมทั้งความกังวลต่อแนวโน้มวุ่นวายของการเมืองในประเทศ กดดันให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักออกมาบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และหุ้น ADVANC ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากวันศุกร์บ้าง โดยลดลงไปต่ำสุดที่ระดับ 441.50 จุด (-1%) จากนั้นจึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร และหุ้น BANPU ซึ่งจะทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD ในสัปดาห์นี้เข้ามาเป็นระยะ ๆ หนุนให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นบ้าง จนขึ้นไปสูงสุดที่บริเวณ 445.79 จุด (-0.25 จุด) ก่อนที่จะปิดตลาดภาคเช้าที่ 445.06 จุด ลดลงเกือบ 1 จุด โดยมีปริมาณซื้อขายลดลงบ้าง


ภาคบ่าย : แรงซื้อเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มธนาคารและ SCC จากแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/52 ที่คาดว่าจะออกมาดี ส่งผลให้ดัชนีแกว่งขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 450 จุด ต่อมามีแรงขายทำกำไรจากความกังวลจากสถานการณ์การเมืองในประเทศจะวุ่นวายมาก ขึ้น หลังจากมีกลุ่มเสื้อแดงพยายามจะทำร้ายนายกรัฐมนตรี หลังจากการประชุม ครม. ที่พัทยา ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงจนมาปิดตลาดที่ 442.56 จุด ลดลง 3.48 จุด (-0.78%) โดยมีปริมาณการซื้อขายลดลงเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 3 อีก 1,332 ล้านบาท

แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้

1. สถานการณ์การเมืองในประเทศ การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม นปช. ในวันนี้ คงเป็นปัจจัยหลักที่จะกดดันบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ แม้มีแนวโน้มจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรง เนื่องจากทางการคาดว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 3-4 หมื่นคน เนื่องจากระยะนี้มีฝนฟ้าคะนองเกือบทุกวัน และเข้าใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผู้เข้าร่วมชุมนุมจึงอาจน้อยกว่าที่ทางแกนนำประเมินไว้ รวมทั้งเป็นผลจากการพยายามชี้แจงข้อมูลของฝ่ายรัฐบาล ที่เน้นการไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา และต้องการสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้น ก่อนการประชุม Asian +3 ปลายสัปดาห์นี้ การชุมนุมในสัปดาห์นี้ จึงไม่น่ากังวลเท่าที่การนัดชุมนุมอีกครั้ง หลังจากผ่านเทศกาลสงกรานต์ไปแล้ว อย่างไรก็ดีบรรยากาศอึมครึมทางการเมือง อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุน ออกไปอีกสักระยะ รวมทั้งรอดูผลการประชุมของ กนง. ในบ่ายวันนี้ ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกเท่าใด

2. ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ความผันผวนของตลาดหุ้นต่างประเทศ จะมีส่วนสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้เช่นกัน ความกังวลต่อปัญหาของภาคธนาคารของสหรัฐฯ ได้กลับมากดดันทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดแกนนำอีกครั้ง จากคำเตือนของนักวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร รวมทั้งคำเตือนของนายจอร์จ โซรอส ต่อแนวโน้มการชะลอตัวอย่างยืดเยื้อของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผลจากการใช้เงินจำนวนมหาศาลในการฟื้นฟูภาคธนาคาร อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการแกว่งตัวปรับฐานในระยะสั้นบ้าง รวมทั้งการรอดูตัวเลขประมาณการผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 ของกลุ่มธนาคารว่าจะออกมาดีขึ้นหรือไม่

3. ความผันผวนราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ความไม่แน่ใจต่อทิศทางของตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีส่วนทำให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า มีแนวโน้มผันผวนบ้างในระยะสั้น โดยนักลงทุนเริ่มไม่แน่ใจต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าจะเริ่มกระเตื้องขึ้นในไตรมาส 3/52 ตามที่เคยคาดการณ์กันไว้จริงหรือไม่ หลังจากมีการเตือนถึงเสถียรภาพของกลุ่มธนาคาร และเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงไตรมาส 2/52 ถึงครึ่งปีหลัง ในขณะที่คาดว่าแนวโน้มการลดลงต่อเนื่องของปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะยิ่งเพิ่มความกังวลต่อแนวโน้มการลดลงของอุปสงค์การใช้ น้ำมัน ซึ่งจะกดดันต่อทิศทางของราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าบ้าง

จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ ยังคงมีแนวโน้มผันผวน ขึ้นอยู่กับ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติว่าจะยังคงซื้อหุ้นพื้นฐานดีต่อเนื่องหรือไม่ รวมทั้งสถานการณ์การเมืองในประเทศว่าจะมีแนวโน้มวุ่นวาย หรือบานปลายมากน้อยแค่ไหน คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวภายในกรอบแนวรับ 435-437 จุด กับแนวต้าน 445-447 จุด

นักลงทุนระยะสั้น - ทยอยขายบ้าง เมื่อดัชนีเข้าใกล้แนวต้าน รอซื้อคืนปลายสัปดาห์
นักลงทุนระยะยาว - ถือเงินสด หรือ Short Against Port บ้าง หากดัชนีไม่ผ่านแนวต้าน
โกสินทร์ ศรีไพบูลย์


ม็อบรุนแรงหุ้นหลุด 400

โบรกฯเตือนม็อบรุนแรงหุ้นหลุด 400


นักวิเคราะห์หวั่นม็อบเดือด หลังวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินร่วมชุมนุมนับ 1 แสน เตือนรัฐบาลระวัง การจลาจล-วางเพลิงระบุหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงตลาดหุ้นมีสิทธิหลุด 400

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นวานนี้ (7 เม.ย.) ดัชนีแกว่งตัวผันผวนทั้งลบและบวก โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 449.68 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 441.50 จุด จนมาปิดตลาดที่ 442.56 จุด ลดลง 3.48 จุด หรือ 0.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13,353.16 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1.32 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 351 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 980 ล้านบาท

ทั้งนี้หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดคือหุ้น ธนาคารกสิกรไทยหรือ (KBANK) ปิดที่ 50 บาท บวก 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.17 พันล้านบาท ตามด้วยหุ้น ปตท.(PTT) ปิดที่ 160 บาท ลดลง 2 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.14 พันล้านบาท หุ้น ปตท.สผ.(PTTEP) ปิดที่ 96.50 บาท ลดลง 3 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 961 ล้านบาท หุ้นบ้านปู (BANPU) ปิดที่ 222 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 871 ล้านบาท และหุ้นบริษัทแอ๊ดวานซ์ (ADVANC) ปิดที่ 79.75 บาทลดลง 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 768.85 ล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผอ.อาวุโส บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน โดยช่วงเช้าเปิดลบตามแนวโน้มตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับฐาน และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าที่ลดลง บวกกับความกังวลเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ขณะเดียวกันก็มีแรงซื้อหุ้นพื้นฐานดี เช่น กลุ่มธนาคาร และบ้านปู เนื่องจากจะขึ้นเครื่องหมายผู้ถือหุ้นไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล (เอ็กซ์ดี) ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ รวมถึงการมีคำสั่งซื้อขายที่ค้างจากวานก่อน ซึ่งเมื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงเจอแรงเทขายทำกำไรออกมาในช่วงบ่าย

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (8 เม.ย.) มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน ซึ่งต้องติดตามการชุมนุม ว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ รวมทั้งแนวโน้มตลาดหุ้นตลาดประเทศที่ยังปรับฐานอยู่ ประเมินแนวรับที่ 438-440 จุด และแนวต้าน 448-450 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน เมื่อดัชนีขึ้นใกล้แนวต้าน ควรเทขายทำกำไร เนื่องจากปลายสัปดาห์อาจเจอแรงเทขายทำกำไร จากวันหยุดยาวและตลาดหุ้นปรับฐาน

นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างผันผวน โดยดัชนีฯเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่จากความกังวลหลักในประเด็นการเมือง ที่จะมีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ในวันนี้ (8 เม.ย.) ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดเหตุรุนแรงถึงขั้นนองเลือดจากท่าทีของแกนนำที่ปลุกระดม ให้เกิดความแตกหัก และเร่งเร้าให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้สนับสนุนในแต่ละจังหวัดให้แสดงพลัง ขึ้นมากดดันรัฐบาล

นอกจากนี้ยังถูกซ้ำเติมจากปัจจัยลบต่างประเทศ ที่นักวิเคราะห์ชื่อดังของ บล.แคลยอน ระบุว่า ภาคธนาคารยังคงได้รับผลกระทบจากการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงที่มากเกินไป และเตือนว่า ยอดหนี้เสียจะเพิ่มสูงขึ้นก่อนสิ้นปี 2010

อย่างไรก็ตาม แรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารฯและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก่อนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่คาดการณ์ว่าจะมีมติลดดอกเบี้ย ผลักดันให้ดัชนีฯยืนในแดนบวกได้ในระหว่างการซื้อขาย

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นวานนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามามีอิทธิพลกับการเคลื่อนไหวของดัชนีสูงสุด ในช่วงนี้

โดยล่าสุดคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ (วอร์รูม) ประเมินการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 8 เม.ย.ว่า จะผู้มาร่วมชุมนุมประมาณ 1 แสนคน โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องระมัดระวัง คือ การก่อการจลาจล การปิดการจราจร และการวางเพลิง เพื่อนำไปสู่การรุนแรง พร้อมทั้งหวั่นเกรงว่าจะมีม็อบชนม็อบ คือ"กลุ่มคนรักป๋าเปรม"จะมาชุมนุมปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดง เจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม และการสร้างสถานการณ์ต่างๆ และหากรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังสลายการชุมนุมพร้อมจับแกนนำหรือประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความเชื่อมั่นการลงทุน ทำให้นักลงทุนต่างชาติโยกเงินออกจากตลาดหุ้นไทยยาว และฉุดให้ดัชนีดิ่งลงหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 400 จุด

รอดูการเมืองไทยวันนี้

บล. ฟาร์อีสท์แนะรอดูการเมืองไทยวันนี้ เชื่อหุ้นไทยยังผันผวน


นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หากการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงในวันนี้มีจำนวนคนไม่มาก หรือไม่ถึง 3-5 แสนคน และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ก็เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะสามารถยืนเหนือระดับ 480 จุดได้ แต่หากดัชนียังปรับลดลงโดยที่ไม่มีปัจจัยความรุนแรงหรือเกิดการบาดเจ็บขึ้น ก็ยังสามารถเก็งกำไรได้ แต่หากมีการเข้าไปควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น การประกาศพ.ร.ก. ฉุกเฉิน หรือใช้ความรุนแรง ก็จะทำให้ตลาดได้รับผลกระทบเชิงลบได้ ทำให้บล. ฟาร์อีสท์ยังคงแนะนำให้ "ขาย" เมื่อดัชนีปรับเพิ่มขึ้น และยังแนะนำให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยังเชื่อว่าดัชนีในวันนี้คงจะมีความผันผวนมาก เพราะจะมีข่าวออกมาและสามารถตีความได้หลายประเด็น



ดัชนีหุ้นไทยปิดร่วงลง 3.48 จุด หรือ 0.78% มาอยู่ที่ 442.56 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขาย 13,353.16 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 361.05 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,332.45 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 971.41 ล้านบาท

- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th

แดงพิฆาตหุ้น!!

แดงพิฆาตหุ้น!!
[8 เม.ย. 52 - 02:55]


ดัชนีหุ้นวันที่ 7 เม.ย. 52 ปิดที่ 442.56 จุด ลดลง 3.48 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 13,353.16 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,332.20 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ชี้ว่าตลาดหุ้นไทยกังวลกับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง ที่ประเมินว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุรุนแรงถึงขั้นนองเลือด !!

ฝ่ายการเมืองเองโดยเฉพาะขั้วรัฐบาลก็ร้อนๆหนาวๆถึงขนาด“ตัวพ่อ” อย่างหมอผีขะแมร์ “เนวิน ชิดชอบ” ต้องออกโรงมาสกัดกั้นเต็มที่

ขณะที่วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ประเมินว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง 8 เม.ย. จะมีผู้มาชุมนุมทะลุหลักแสน สิ่งที่รัฐบาลต้องระมัดระวังคือ การก่อการจลาจลและการวางเพลิงเพื่อนำไปสู่ความรุนแรง

ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อ แดง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด

ที่น่าหวาดกลัวคือการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง และการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งม็อบชนม็อบ และหากรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังสลายการชุมนุม หรือจับแกนนำ หรือการประกาศภาวะฉุกเฉิน จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนอย่างรุนแรง

แนะกลยุทธ์ให้ชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ให้แนวรับไว้ที่ 400 จุด

ปิดท้ายช่วงหุ้นปรับตัวลงแรงอาจเป็นโอกาสซื้อของคนมีเงินเย็น บล.ฟินันซ่าออกบทวิเคราะห์เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เหตุมีกำไรโตสวนทางเศรษฐกิจซบ เพราะคนยังต้องกินต้องใช้ โดยชูหุ้น CPALL เป็น Top pick ที่แนะให้ “ซื้อ”

คาดว่ากำไรปีนี้จะโตสูงสุดในกลุ่มเพิ่มขึ้น 66% จากปีก่อน เป็น 5.09 พันล้านบาท หลังไม่ต้องรวมผลขาดทุนของ Lotus ในจีน และธุรกิจมีความยืดหยุ่นต่อภาวะเศรษฐกิจที่สุด

แถมโครงสร้างรายได้ 51% อยู่ในกลุ่มอาหารที่มีอัตรากำไรสูง!!


อินเด็กซ์ 51


หุ้นไทยไม่น่าหลุด 430

บล. กิมเอ็งคาด หุ้นไทยไม่น่าหลุด 430-440 จุด แม้การเมืองจะรุนแรงขึ้น


นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวในรายการก้าวทันตลาดทุนว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศคงไม่ได้เป็นปัจจัยหลักต่อหุ้นไทยในช่วงนี้ เพราะรัฐบาลก็ยังมีเสถียรภาพ แม้ว่านักลงทุนในประเทศได้ชะลอการซื้อขายลงก็ตาม แต่นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มเข้ามาซื้อขายในตลาดมากขึ้น ทั้งจากการที่สหรัฐฯได้อัดฉีดงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ตลอดจนรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพคล่องในระบบสูงขึ้น

อีกทั้งการที่นักลงทุนต่างชาติได้ขายออกไปนับแสนล้านบาทในช่วงก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้มีการกลับซื้อคืนมามากขึ้นได้เช่นกัน และแม้ว่าจะมีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ดัชนีหุ้นไทยก็ไม่น่าจะหลุดระดับ 430-440 จุดไปได้

บล. กิมเอ็งยังได้แนะนำให้ลงทุนหุ้นบมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) โดยมองว่ามีสินทรัพย์และฐานะทางการเงินที่ดี แต่เนื่องจากได้รับผลกระทบในระยะสั้นทำให้ราคาหุ้นไม่เคลื่อนไหวมากนัก ซึ่งมองว่าจะมีการเก็งกำไรเพื่อรอการฟื้นตัวมากขึ้น หลังธุรกิจอาหารจานด่วนได้รับผลดีจากต้นทุนอาหารและพลังงานที่ลดลง อีกทั้งการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ การที่ MINT มีผู้ถือหุ้นเป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศค่อนข้างมาก ก็จะทำให้ได้รับประโยชน์จากการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติด้วย จึงมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในขณะนี้


Template by - Abdul Munir | Blogging4