29 เมษายน 2552

บีทีเอสส่วนต่อขยายตากสิน

บีทีเอสส่วนต่อขยายตากสินปลุกราคาที่ดิน-คอนโดฯฝั่งธนฯ ยักษ์อสังหาฯเด้งรับผุดโครงการเพิ่ม



พื้นที่ฝั่งธนบุรีถึงก้าวจุดเปลี่ยนอีกครั้ง หลังกรุงเทพมหานคร (กทม.) เชื่อมเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอสเดิมที่สิ้นสุดบริเวณสถานีตากสินไปยังฝั่งธนบุรี และถือฤกษ์ทดลองเดินรถเป็นทางการเมื่อ 01.00 น.วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.เป็นประธาน ก่อนเปิดให้บริการจริงในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อ 1-2 ปีก่อน เริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะค่ายพัฒนาที่ดินระดับบิ๊กแบรนด์ที่ต่างขยายฐานเจาะตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลรถไฟฟ้าฝั่งธนฯ แบบซื้อเวลารออนาคต

ทั้งฉวยจังหวะจัดอีเวนต์ส่งเสริมการขายรับรถไฟฟ้าสายใหม่ การงัดกลยุทธ์ชะลอขายก่อนจะปรับราคา ขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายวางแผนผุดโปรเจ็กต์ใหม่เพิ่ม เพื่อรองรับกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยติดแนวรถไฟฟ้าในโซนฝั่งธนฯ นอกจากนี้รถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ยังแผ่อานิสงส์ทำให้ราคาที่ดินในเขตคลองสาน ธนบุรี ภาษีเจริญ บางแค ฯลฯ ปรับเพิ่มขึ้น จนทำให้กรมธนารักษ์เตรียมปรับราคาประเมินที่ดินครั้งใหม่ ขณะที่ กทม.ก็พิจารณาปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินในผังเมืองรวม กทม.รองรับความเจริญเติบโตที่จะตามมา

@ บิ๊กแบรนด์แข่งลงทุนหมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าว ""ประชาชาติธุรกิจ"" รายงานผลการสำรวจพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายฝั่งธนฯ 2.2 กิโลเมตร พบว่ามีโครงการอสังหาฯเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่สถานีสะพานตากสิน สถานีเจริญนคร ไปจนสุดแนวส่วนต่อขยายใหม่ที่สถานีวงเวียนใหญ่ และแม้จะเลยแนวส่วนต่อขยาย 2.2 กิโลเมตรไป ก็ยังมีทาวน์เฮาส์ คอนโดฯ ฯลฯ เกาะแนวโครงสร้างเส้นทางส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและจะเปิดใช้ในอนาคตอีก 5.3 กิโลเมตรจนถึงสถานีปลายทางบางหว้า

ที่น่าสังเกตคือบริเวณโดยรอบ 2 สถานีหลักของส่วนต่อขยายใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดฯขนาดความสูง 20-30 ชั้น กระจุกตัวหลายโครงการติดๆ กัน โดยเฉพาะบริเวณทางขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้า 2 ฝั่งถนน หลักๆ เป็นของรายใหญ่ทั้งแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ควอลิตี้ เฮ้าส์, แสนสิริ และ ที.ซี.ซี.แคปปิตอลแลนด์ รวมทั้งอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ที่กำลังมาแรง โดยพัฒนาคอนโดฯแบรนด์ไอดีโอถึง 2 โครงการ นอกจากนี้มีคอนโดฯพาร์คแลนด์ ของค่าย

นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ รวมเบ็ดเสร็จเม็ดเงินลงทุนที่สะพัดอยู่ในทำเลนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 10,680 ล้านบาท เฉพาะจำนวนโครงการขนาดใหญ่ 7 โครงการ

@ สบช่องปรับราคาขายเพิ่ม

ความคืบหน้าด้านการขายและงานก่อสร้าง พบว่าโครงการส่วนใหญ่ก่อสร้างฐานรากเรียบร้อยแล้ว สำหรับการขายเกือบทุกโครงการยังมั่นใจว่าตลาดยังไปได้ดี แม้จะมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง เพราะทุกโครงการขายดีและมียอดขายเกิน 50% แล้ว อย่างโครงการพาร์คแลนด์ ตากสิน-ท่าพระ ของนารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ สูง 29 ชั้น 2 อาคาร ซึ่งชูคอนเซ็ปต์คอนโดฯหน้ากว้าง 7.5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 35-40 ตร.ม. ราคาขายเฉลี่ย 50,000 บาท/ตร.ม. มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เปิดขายมาตั้งแต่กลางปี 2551 ปิดการขายแล้ว 1 อาคาร ที่เหลือ 1 อาคาร ได้ชะลอการขาย และจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้น

""เวลานี้ผู้บริหารสั่งให้ชะลอการขายห้องชุดส่วนที่เหลือ เพราะเกรงว่าในวันเปิดแกรนด์โอเพนนิ่งเร็วๆ นี้จะไม่มีสินค้าขายให้ลูกค้าที่เชิญร่วมงาน เพราะที่ผ่านมามีลูกค้ามาชมห้องตัวอย่างจำนวนมาก และส่วนใหญ่ตัดสินใจวางเงินจองทันที น่าจะมาจากอานิสงส์การเปิดใช้รถไฟฟ้า"" พนักงานขายประจำโครงการดังกล่าวบอกกับ ""ประชาชาติธุรกิจ""

เช่นเดียวกับที่อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จะปรับราคาขายไอดีโอทั้ง 2 โครงการขึ้นอีก 1,000 บาท/ตร.ม. โดยไอดีโอ สาทร-ตากสิน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25.5-80.5 ตร.ม. จำนวน 349 ยูนิต ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ย 75,000 บาท/ตร.ม. และไอดีโอ บลูโคฟ สาทร จำนวน 266 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่มที่ 35 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท หรือ 73,0000 บาท/ตร.ม. ขายได้แล้ว 70%

@ ""คิวเฮ้าส์-แลนด์ฯ-ที.ซี.ซี.แลนด์-แสนสิริ"" แย่งเค้ก

ด้านควอลิตี้เฮ้าส์ ซึ่งพัฒนาคอนโดฯพร้อมอยู่ Q.House Condo Sathorn สูง 35 ชั้น จำนวน 533 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 32-50 ตร.ม. และ 57-84 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 84,000 บาท/ตร.ม. ก็ฉวยจังหวะช่วงที่ กทม.เปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายฝั่งธนฯ เปิดให้ลูกค้าที่สนใจจองสิทธิ์ซื้อห้องชุดในระหว่างวันที่ 25-26 เมษายนนี้ ส่วนคอนโดฯแบรนด์ Hive สูง 31 ชั้น 363 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 40-99.50 ตร.ม. ราคาขายเฉลี่ย/ตร.ม. 85,000 บาท ของแสนสิริ กำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองซื้อตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2552 รับโทรทัศน์แอลซีดีขนาด 32 นิ้วทุกยูนิต

ขณะที่วิลล่า สาทร คอนโดมิเนียม ของ ที.ซี.ซี.แคปปิตอลแลนด์ บริษัทร่วมทุนระหว่าง ที.ซี.ซี.แลนด์ ของเจ้าสัว ""เจริญ สิริวัฒนภักดี"" กับแคปปิตอลแลนด์จากสิงคโปร์ คอนโดฯสูง 40 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38-155 ตร.ม. จำนวน 660 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท ซึ่งเปิดขายช่วงก่อนหน้านี้ ขณะนี้ขายได้แล้ว 95% เหลือแค่ 26 ยูนิต และ The Bangkok สาทร-ตากสิน คอนโดฯสร้างเสร็จก่อนขาย ของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่เปิดตัวในทำเลดังกล่าวเป็นรายแรกๆ จำนวน 214 ยูนิต ราคาขาย 85,000 บาท/ตร.ม. เหลือขายแค่ 2 ยูนิตสุดท้ายเช่นเดียวกัน ราคายูนิตละ 6.29 ล้านบาท

@ แลนด์ฯ+เพอร์เฟค ผุดโปรเจ็กต์เพิ่ม

แหล่งข่าวในวงการอสังหาฯเปิดเผยว่า นอกจาก The Bangkok สาทร-ตากสินแล้ว เร็วๆ นี้แลนด์ฯจะเปิดตัวคอนโดฯใหม่อีก 1 โครงการในโซนฝั่งธนฯ ทำเลที่ตั้งโครงการจะห่างจาก 4 แยกตากสินมุ่งหน้าไปถนนกัลปพฤกษ์เพียง 900 เมตร เป็นคอนโดฯสร้างเสร็จก่อนขายตามคอนเซ็ปต์ โดยจะเคาะราคาขายเริ่มต้น 80,000 บาท/ตร.ม.

""ขณะนี้แลนด์ฯอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะใช้แบรนด์ The Room หรือ The Bangkok เพราะโครงการนี้จะหรูขึ้นมาอีกหน่อย เพราะมีการใส่รายละเอียดลงไปค่อนข้างมาก ตามแปลนจะเปิดขายได้ต้นปี 2554""

ส่วนพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดขายคอนโดฯเมโทร พาร์ค ที่เปิดตัวเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดขายโครงการเฟสที่ 3 ก็มีแผนจะลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งคอนโดฯ, ทาวน์เฮาส์ โดยนายชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า เดือนพฤษภาคมนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่บนถนนสาทรตัดใหม่ (กัลปพฤกษ์) ใกล้โครงการเมโทรพาร์ค (สาทรตัดใหม่) ที่เปิดขายอยู่ขณะนี้

@ บีทีเอสผู้โดยสารเพิ่ม 5 หมื่นคน

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานบริหาร บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า บริษัทกำลังหาซื้อที่ดินติดแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยาย 2.2 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายเฟสจากตากสิน-บางหว้า เพื่อมาพัฒนาอสังหาฯ เพราะดูแนวโน้มแล้วตลาดน่าจะไปได้ดีเหมือนทำเลแนวรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นๆ ตัดผ่าน ที่สำคัญในอนาคตไลฟ์สไตล์คนฝั่งธนฯก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
""การเปิดใช้ต่อขยายมาฝั่งธนฯ แม้จะแค่ 2.2 กิโลเมตร ยอมรับว่าบีทีเอสได้อานิสงส์ด้วย ทำให้ปริมาณผู้โดยสารของบีทีเอสเพิ่มขึ้น ประมาณ 5 หมื่นคน เป็นกลุ่มเดิมที่ใช้ประจำ 3 หมื่นคนและกลุ่มใหม่ 2 หมื่นคน""

@ ราคาที่ดินเด้งรับขยับ 30-100%

นายแคล้ว ทองสม ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า มีแผนจะปรับราคาประเมินที่ดินในทำเลรถไฟฟ้าฝั่งธนฯใหม่ เนื่องจากไม่ได้ปรับมานานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปมาก สำหรับพื้นที่ที่ราคาประเมินจากปรับเพิ่มมากกว่าจุดอื่นๆ คือ เขตคลองสานและเขตธนบุรี อาจจะปรับมากกว่า 30% เพราะเป็นพื้นที่ที่แนวรถไฟฟ้าบีทีเอส 2.2 กิโลเมตรตัดผ่าน และเปิดให้บริการเป็นทางการแล้ว

@ กทม.คุมเข้มเตรียมปรับผังเมือง

ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า หลังเปิดให้บริการรถไฟฟ้าฝั่งธนฯเป็นทางการวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ที่จะเร่งดำเนินการ คือ ระบบฟีดเดอร์ ที่จะมารองรับสำหรับสถานีวงเวียนใหญ่ (S8) ได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้มาใช้บริการ เช่น ลิฟต์ผู้พิการ ฯลฯ จัดให้มีจุดจอดแล้วจร (park & ride) และจุดเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสาร (PTI) พื้นที่สำหรับจอดรถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และรถบริการรับ-ส่ง (shuttle bus) จะมีทางเดินลอยฟ้า (sky walk) เพื่อเดินเชื่อมต่อกันระหว่างสถานี

นอกจากนี้กำลังให้สำนักผังเมือง กทม.พิจารณาปรับสีผังเมืองรวม กทม.ใหม่ เพื่อรองรับกับความเจริญเติบโตในอนาคต เพราะเห็นตัวอย่างมาจากบีทีเอสสายปัจจุบัน ที่พบว่ามีการพัฒนาตามแนวเส้นทางเกิดขึ้นมาก เนื่องจากฝั่งธนฯยังไม่เคยมีระบบขนส่งมวลชนมาก่อน การใช้ประโยชน์ที่ดินจึงต้องจัดให้

ตลาดหุ้นเชื่อไข้หวัดเม็กซิโกไม่กระทบ

ตลาดหุ้นเชื่อไข้หวัดเม็กซิโกไม่กระทบ


ตลาดหลักทรัพย์ไม่หวั่นไข้หวัดเม็กซิโกกระทบแรงซื้อ ระบุเข้าไตรมาส 2 วอลุ่มซื้อขายกระเตื้องแตะหลักหมื่นล้านบาท เตรียมประเมินเป้าหมายวอลุ่มและจำนวนไอพีโอประชุมบอร์ดครั้งหน้า ขณะที่วานนี้ดัชนีหุ้นผันผวนเหตุนักลงทุนกังวลไข้หวัดเม็กซิโก

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่กังวลกับสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยปัจจุบันนี้ มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมา 9,800 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าในช่วง 2 เดือนแรกในต้นปี และในบางวัน มูลค่าการซื้อขายก็ปรับขึ้นสูงถึง 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวสอดรับกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นทั่วโลก

"เท่าที่ติดตามมา นักลงทุนต่างประเทศเริ่มขายสุทธิลดลง และภาพของการซื้อสุทธิเริ่มมากขึ้น และจากการประชุมร่วมกันกับภูมิภาคก็เริ่มมีสัญญาณการลงทุนกลับเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย ตลาดหุ้นบางประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นไป 10-20% แล้ว ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้นไทยด้วย "

เธอกล่าวอีกว่า กรณีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก แม้ตลาดหลักทรัพย์จะไม่กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะมองว่า การแพร่ระบาดยังไม่เข้ามาในประเทศไทย รวมทั้งภาครัฐได้ให้ความสำคัญและเข้ามาดูแล รวมถึงมีมาตรการต่างๆ ออกมาป้องกัน แต่ตลาดหลักทรัพย์ก็ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และจะไม่ละเลยปัจจัยนี้

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้นักลงทุนติดตามเกี่ยวกับประเด็นการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก หรือ ไข้หวัดหมู รวมถึงติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

“ส่วนตลาดหุ้นในสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมา จากการติดตามข้อมูลก็พบว่าในช่วงแรกหุ้นในกลุ่มการบินและท่องเที่ยวก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่งการซื้อขายก็กลับสู่ภาวะปกติ ผลกระทบจึงยังไม่รุนแรง ดังนั้น ก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปว่าจะควบคุมโรคได้เร็วแค่ไหน”

นางภัทรียา กล่าวอีกว่า จากเดิมที่ตลาดหลักทรัพย์จะประเมินเป้าหมายมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันสำหรับปีนี้ และจำนวนบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ใหม่ ภายในไตรมาส 1 นั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ในครั้งต่อไป

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้รับความสนใจมากขึ้น จากการที่มีตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) มาเป็นหนึ่งในทางเลือก โดยตลาดอนุพันธ์ ได้เปิดให้บริการมาครบ 3 ปีและได้รับความสนใจอย่างมาก มีปริมาณสัญญาซื้อขายต่อวัน เพิ่มขึ้นมากกว่า 60% หรือเพิ่มเป็น 8,600 สัญญาต่อวัน จากปีแรกที่เปิดดำเนินการที่มีปริมาณสัญญาซื้อขาย 100 สัญญาต่อวัน ขณะเดียวกัน จำนวนบัญชีก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,000 บัญชี

“ในปีที่แล้ว มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 6% เทียบจากปี 2550 แต่ตลาดอนุพันธ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2550 สะท้อนว่านักลงทุนให้ความสนใจ และใช้ตลาดอนุพันธ์เป็นการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น และสินค้าโกลด์ ฟิวเจอร์ส เพิ่มเข้ามาซื้อขาย ก็ยิ่งทำให้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณสัญญาซื้อขายของ SET50 Futures ยังมีปริมาณสัญญาซื้อขาย 90% มูลค่าอนุพันธ์อยู่”

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้ (28 เม.ย.) ดัชนียังคงผันผวนทั้งแดนบวกและลบ ตามแรงเทขายหุ้นกลุ่มหลัก ทั้งพลังงานและธนาคาร เพื่อลดความเสี่ยงจากความกังวลไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกจะลุกลามจนกระทบเศรษฐกิจ โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 480.35 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 468.96 จุด จนมาปิดตลาดที่ 472.72 จุด ลดลง 2.27 จุด หรือคิดเป็น 0.48% ด้วยมูลค่าการซื้อขายคึกคัก 17,642.85 ล้านบาท

ด้านสัดส่วนการลงทุน แบ่งเป็น นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 140.09 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 479.36 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 619.45 ล้านบาท

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซีมิโก้ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นช่วงเช้าปรับตัวขึ้นได้ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น จากนั้นก็มีแรงเทขายทำกำไรออกมา ตามแรงเก็งกำไรหุ้นรายตัว ซึ่งน่าจะเป็นกระแสเงินจากนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนต่างชาติ หลังก่อนหน้านี้รายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิมามากแล้ว

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (29 เม.ย.) มองว่า ดัชนียังคงแกว่งตัวผันผวนคล้ายกับ 2 วันก่อน โดยต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก เช่น จะมีการเพิ่มทุนของ แบงก์ ออฟ อเมริกา หรือไม่ และโรคไข้หวัดเม็กซิโกจะลากยาวจนเป็นปัญหากระทบเศรษฐกิจหรือไม่ โดยประเมินแนวรับที่ 465 จุด และแนวต้าน 485-490 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนหุ้น 20 อันดับแรก โดยเน้นกลุ่มที่มีพื้นฐานดีและสภาพคล่องสูง


ปตท.สผ.ไตรมาส1/52 กำไร5.7พันล้าน

ปตท.สผ.ไตรมาส1/52 กำไร5.7พันล้าน วูบ35%


ปตท.สผ. ไตรมาสแรก กำไรหดวูบ 35% เหลือ 5,746 ล้านบาท ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกฉุดราคาน้ำมันดิบโลกดิ่งฮวบ แม้ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.17 แสนล้านบาร์เรล จากเดิม 1.82 แสนล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดผลประกอบการปตท.สผ.ฟื้นไตรมาส 4 ตามภาวะเศรษฐกิจ พร้อมยังคงเป้ากำไรทั้งปีไว้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท


นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2552 ก่อนสอบทาน ปรากฏว่า มีกำไรสุทธิ 5,746.26 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.74 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 8,904.71 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.70 บาท หรือปรับลดลง 35%
บริษัทระบุว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 26,522 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มี 28,374 ล้านบาท เป็นผลจากราคาขายผลิตภัณฑ์เป็นเงินดอลลาร์ลดลงเหลือ 37.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากงวดเดียวกันของปีก่อน 48.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็น 217,194 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันเมื่อ เปรียบเทียบกับปริมาณการขายไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 182,431 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการขายก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทของโครงการอาทิตย์ รวมถึงการขายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบของโครงการเวียดนาม 9-2 และโครงการจี 4/43 ซึ่งเริ่มผลิตใน ระหว่างปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทของโครงการบงกช และ โครงการไพลิน รวมทั้ง ปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติของโครงการยาดานาและโครงการบี 8/32 และ 9เอ ลดลงในไตรมาสนี้

สำหรับไตรมาสนี้ ปตท.สผ. และบริษัทย่อยรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 405 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปีก่อนรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 780 ล้านบาทตาม การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท ปตท.สผ.และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในไตรมาสนี้รวมทั้งสิ้น 15,255 ล้านบาท เมื่อเทียบ กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 12,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,664 ล้านบาทหรือ 21%

ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลต่อการดำเนินงาน วิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และส่งผลให้ความต้องการน้ำมัน และราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ปัจจุบันนักวิเคราะห์ต่าง คาดการณ์ความรุนแรงของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจแตกต่างกันออกไป ซึ่งการคาดการณ์ ดังกล่าวส่งผลทางจิตวิทยาต่อแนวโน้มความต้องการพลังงานและราคาน้ำมัน หากภาวะถดถอยนี้ ยืดเยื้อออกไปจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันคงตัวอยู่ในระดับต่ำยาวนานขึ้น

นอกจากนี้ ภาวะถดถอย ทางเศรษฐกิจ และราคาน้ำมันยังส่งผลทำให้บริษัทน้ำมันต่างๆ พิจารณาชะลอการลงทุนรวมทั้ง ปรับลดต้นทุนในการดำเนินการ ซึ่งส่งผลทำให้อัตราการใช้สินค้าและบริการสำหรับธุรกิจสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมตลอดจนราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม เพื่อตอบสนองกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ที่ความต้องการและราคา น้ำมันมีการปรับตัวลดลง และสภาพตลาดสินค้าและบริการที่เปลี่ยนไป ปตท. สผ. ได้มีแนวทางปรับปรุง การดำเนินงาน ดังนี้

จัดการต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย ปตท.สผ. ได้เร่งรัดทบทวน ระบบและแผนงานของโครงการต่างๆ เพื่อหาแนวทางลดต้นทุนจากการประสานผลประโยชน์และใช้ ทรัพยากรร่วมกัน โดยได้ใช้บุคลากรจากฝ่ายต่างๆ ร่วมกันระดมสมองในการจัดการต้นทุนเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน และ ปตท.สผ. ยังได้ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดหาสินค้าและบริการให้ เหมาะสมกับสภาวการณ์ของตลาด รวมทั้งได้ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์การผลิตหลักในโครงการต่างๆ ให้เป็น มาตรฐานเดียวกัน เพื่อเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อต่อครั้ง และเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดหา

นอกจากนี้ ยังได้มีการมองหาตลาดใหม่ในการจัดหาสินค้าและบริการเพิ่มเติมจากแหล่งที่มีอยู่เดิม และมีการทบทวนสัญญาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมภายในองค์กรเพื่อรณรงค์หาทางลดต้นทุนในการดำเนินงาน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้พนักงานได้ ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ปรับแผนการพัฒนาโครงการโดยพิจารณาระยะเวลาของการพัฒนาโครงการให้เหมาะสม และ สอดคล้องกับความต้องการพลังงานของประเทศ โดยได้ประสานงานกับผู้ซื้อและหน่วยงานของรัฐ เพื่อร่วมกัน วางแผนและคาดการณ์ความต้องการปิโตรเลียม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อที่จะสามารถพัฒนาการผลิตจาก แหล่งต่างๆ ให้มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

ปรับแผนการลงทุนในโครงการ (Portfolio Management) และกำหนดแผนการขยาย ธุรกิจ รวมทั้งกำหนดกลุ่มประเทศและธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยพิจารณา ทั้งด้านความเสี่ยง ผลตอบแทนการลงทุน และกระแสเงินสดในการดำเนินงาน โดยจะให้ความสำคัญกับ การลงทุนหรือขยายธุรกิจในโครงการที่สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์เป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นให้มี การจัดสรรเงินลงทุนตลอดจนทรัพยากรในโครงการต่างๆ ตามลำดับความสำคัญของโครงการอีกด้วย

ขณะที่ บล.นครหลวงไทย ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า กำไร ปตท.สผ.ออกมาลดลง 35% มากกว่าที่คาดการณ์ 14% ซึ่งเป็นผลจากราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ที่ลดลง 23% เป็น 37.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับปริมาณการผลิตปิโตรเลียมยังคงเพิ่มขึ้น 19% จากการผลิตของแหล่งอาทิตย์และเวียดนาม 9-2 อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงประมาณการกำไรปกติทั้งปีนี้ที่ 24,062 ล้านบาท ตามเดิม เนื่องจากคาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการจะเริ่มเห็นในไตรมาส 4 ปีนี้ จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันและการผลิตของโครงการใหม่ คือ มอนทารา และ MJTDA



หุ้นไทยยังเสี่ยงร่วง

บล. ฟาร์อีสท์ชี้หุ้นไทยยังเสี่ยงร่วงตามต่างประเทศให้แนวรับแรกที่ 469 จุด


นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และยุโรปที่ร่วงลงจากความกังวลต่อแบบทดสอบ Stress Test และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก ทำให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มสายการบินและสินค้าโภคภัณฑ์ออกมาค่อนข้างมาก ซึ่งหากดัชนีหุ้นต่างประเทศยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้หุ้นไทยเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก โดยอาจกดดันให้ร่วงลงมาแตะที่แนวรับแรกที่ 469 จุด และหากหลุดจากระดับนี้ไปแล้ว แนวรับถัดไปก็คือ 464 จุด

ทั้งนี้ บล. ฟาร์อีสท์ได้แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้น ตั้งแต่เมื่อดัชนีขึ้นไปแตะที่ระดับ 480 จุด เนื่องจากคาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนน่าจะออกมาไม่น่าประทับใจ และยังขาดปัจจัยกระตุ้นเข้ามาในระยะสั้นอีกด้วย แต่ยังมองว่าหากดัชนีร่วงลงไปแตะระดับ 464 จุด ก็สามารถเข้าลงทุนได้อีกครั้ง

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจระยะนี้ คือหุ้นที่มีข่าวการควบรวมกิจการ เช่น บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เป็นต้น และควรต้องติดตามทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯที่ จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้มากกว่า 67% และผลของการทดสอบ Stress Test ของสถาบันการเงินสหรัฐฯ ตลอดจนการลุกลามของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดร่วงลง 2.27 จุด หรือ 0.48% มาอยู่ที่ 472.72 จุด
ด้วยปริมาณการซื้อขาย 17,642.85 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 479.36 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 619.45 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 140.09 ล้านบาท


- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th


กล้าๆกลัวๆ!!

กล้าๆกลัวๆ!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 28 เม.ย. 52 ปิดที่ 474.99 จุด เพิ่มขึ้น 0.92 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 14,505.88 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 707.83 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยาชี้มีแรงขายทำกำไรสวนทางกับแรงซื้อ ระหว่างนักลงทุนรอลุ้นผลการทดสอบ Stress test หรือ การหามูลค่าความเสียหายสูงสุดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดว่า จะมีธนาคารใดที่ต้องเพิ่มทุน หรือสถานะของสถาบันการเงินนั้นๆมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้หรือไม่

ทำให้มีการดึงกันระหว่างนักลงทุน 2 กลุ่ม โดยผู้ที่จะซื้อก็ไม่กล้าเข้าลุย ส่วนคนที่จะขายก็ยังลังเลไม่กล้าขาย "กลัวขายหมู" เสียโอกาส หวังรอขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ทำให้ตลาดแกว่งตัวได้แคบๆ

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่า มีโอกาสแกว่งตัวลง โดยมีปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนคือ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะสะท้อนออกมายังการประกาศผลการทดสอบ Stress test ของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ขณะที่การแพร่ระบาดของไข้หวัดหมูในสหรัฐฯอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุน

ทั้งนี้ แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ทยอยขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และจับตาผลการทำ Stress test ออกมาก่อนค่อยกำหนดกลยุทธ์การลงทุนอีกครั้ง

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัสระบุว่า นอกจากผลการทดสอบ Stress test ในวันที่ 4 พ.ค. นี้แล้ว นักลงทุนยังคงรอการแถลงการณ์ของเฟดวันที่ 28-29 เม.ย. 52 ที่อาจชี้นำถึงทิศทางของเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น ไซรัสคาดว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม 0.25%

สำหรับประเด็นไข้หวัดหมูมองว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นไทย เพราะประเทศที่เป็นต้นตอการระบาดยังอยู่ไกล แต่หากมีการลุกลามไปยังสหรัฐฯมากขึ้น เชื่อว่าจะกดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะกลยุทธ์การลงทุน หากหุ้นขึ้นให้ขายทำกำไรออกมาและหาจังหวะรอซื้อเมื่อดัชนีปรับตัวลงแรง !

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็งมองแนวโน้มหุ้นไทยว่า ดัชนีจะผันผวนในแดนบวกต่อ โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 480 จุด เนื่องจากต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยอยู่

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้รอขายทำกำไรในหุ้นที่มีราคาปรับขึ้นแรง และหากจะซื้อให้เน้นเลือกเล่นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี เช่น หุ้นแบงก์, อสังหาฯ, โรงกลั่น และกลุ่มที่ทำธุรกิจอาหารทะเล.

อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4