17 มิถุนายน 2552

ลุยBRT 'หมอชิต-แจ้งวัฒนะ' รับศูนย์ราชการ

ลุยBRT 'หมอชิต-แจ้งวัฒนะ' รับศูนย์ราชการ - เมืองทองถูกหวย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2406 05 มี.ค. - 07 มี.ค. 2552



และจะประกาศประกวดราคาหาผู้รับจ้างไปพร้อมกับขั้นตอนการขออนุมัติเส้นทางเดินรถ และการทำงานนอกเขตปกครอง ต่อสู่สภากรุงเทพมหานคร จากนั้นเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ขอยกเว้นการเดินรถ ในลักษณะองค์การขนส่งมวลชนกทม. (ขสมก.) คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างปีครึ่ง หรือสามารถเปิดใช้เส้นทางได้ประมาณ กลาง-ปลายปี 2553 ใช้ผิวจราจรเดิมด้านขวาสุดของแต่ละทิศทาง (ชิดคลองหรือเกาะกลางถนน) กว้างประมาณ 3.50 เมตร โดยโครงสร้างระบบ จะแยกผิวจราจร สำหรับรถยนต์ทั่วไป ด้วยเครื่องแบ่งช่องจราจร ซึ่งเป็นคอนกรีตสูงประมาณ 0.15 เมตร สถานีประกอบด้วยชานชาลาเฉพาะของแต่ละทิศทางกว้างประมาณ 3.90 เมตร และสะพานลอยกว้างประมาณ 6.00 เมตร สำหรับเดินข้ามถนนเชื่อมบาทวิถี 2 ฝั่ง และหลังคามีหลังคาคลุมตลอดโครงสร้างจากฐานรากถึงพื้นชานชาลา

สำหรับแนวเส้นทางด่วน บีอาร์ที ช่วงหมอชิต-แจ้งวัฒนะ มีจุดเริ่มต้นเริ่มจาก

สถานีที่ 1 บริเวณปลายทางของรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีหมอชิต บนถนนพหลโยธิน จากนั้นเลี้ยวโค้งเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิต จะพบกับสถานีหอวังซึ่งเป็นสถานีที่ 2 บริเวณใต้ทางขึ้นทางยกระดับดอนเมืองโทล์ลเวย์ ซึ่งอยู่เยื้องๆระหว่าง ปตท.และ โรงเรียนหอวัง ซึ่งเป็นสถานีที่คาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารจำนวนมากจากสถานศึกษาและศูนย์การค้า ในบริเวณใกล้เคียง แนวเส้นทางวิ่งขึ้นสู่ทางยกระดับดอนเมืองโทล์ลเวย์ มุ่งหน้าไปทางหลักสี่ จากนั้นลงจากโทล์ลเวย์ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะ จะพบกับสถานีหลักสี่ซึ่งเป็นสถานีที่ 3 และสถานี องค์การสื่อสาร สถานีที่ 4 ซึ่งสถานีนี้ บริเวณด้านในจะเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ซึ่งจุดนี้ประเมินว่าสามารถรองรับข้าราชการที่ทำงานในศูนย์ราชการแห่งนี้ จำนวนเกือบ 56,000 คน และประชาชนที่มาติดต่อราชการ

โดย ศูนย์จะจัดรถชัตเตอร์บัส รับส่งข้าราชการต่อเชื่อมมาที่สถานีองค์การสื่อสาร จากนั้นวิ่งมุ่งหน้าตรงไปยัง สถานีเมืองทองธานี ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง โดยเมืองทองธานีอาจออกแบบให้ มี1-2 สถานีเนื่องจากต้องนำรถเข้า-ออกภายในโครงการ

ทั้งนี้จากแผนเดิมได้กำหนด แนวเส้นทางไว้ 7 สถานี ประกอบด้วย สถานีหมอชิต ซึ่งอยู่บริเวณ สถานีปลายทางของรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต

จากนั้นใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเข้าสู้ถนนวิภาวดีรังสิต เข้าสู่สถานีหอวัง วิ่งเข้าสู่ทางยกระดับดอนเมือง และเดินทางตามเส้นทางยกระดับดอนเมืองเป็นระยะทาง 8กิโลเมตร เลี้ยวเข้าสู่ถนนแจ้งวัฒนะ เป็นระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร ผ่านแยกหลักสี่ จะเป็นสถานีองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ถัดไปเป็นสถานีการสื่อสารแห่งประเทศไทย สถานีกรมการกงสุลและเลี้ยวเข้ารับส่งผู้โดยสาร ที่สถานีศูนย์ราชการใหม่แจ้งวัฒนะ วนไปสถานีตลาดพงษ์เพชร ซึ่งมีย่านธุรกิจบนถนนแจ้งวัฒนะ อยู่ใกล้เคียงจำนวนมาก เข้าสู่สถานีคลองประปา

ระบบโครงข่ายคมนาคม เฮโลมาลงที่ถนนแจ้งวัฒนะขนาดนี้ ยิ่งตอกย้ำให้ ทำเลนี้ยิ่งรุ่งขึ้นไปอีกโดยเฉพาะ เมืองทองธานี ขณะนี้ราคาที่ดินปาเข้าไป 120,000 บาทต่อตารางวาแล้ว จากอานิสงส์ศูนย์ราชการ หากมีบีอาร์ที ของกทม. เสิร์ฟถึง ด้านในโครงการอีก ไม่รู้จะพุ่งอีกสักกี่ตลบลองคิดดู !!!

หลังกรุงเทพมหานคร ก่อสร้างโครงการระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษหรือ ( Bangkok BRT) นำร่องระยะที่ 1 ในเส้นทางช่องนนทรี -ราชพฤกษ์ ไปแล้ว สมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯกทม. และปัจจุบันมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 80% ล่าสุด ผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน "ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร เร่งเดินหน้า โครงการ บีอาร์ที ต่อเนื่อง เป็นสายที่ 2 ได้แก่ โครงการบีอาร์ที เส้นทาง หมอชิต -แจ้งวัฒนะ (เมืองทองธานี) หรือ หมอชิต -ศูนย์ราชการเดิม ระยะทาง 17 -18 กิโลเมตร ประมาณ 5-6 สถานี มูลค่าไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบใหม่ เนื่องจากผู้ว่าฯกทม. เห็นว่าควรลากแนว บีอาร์ที ยื่นออกไปรับผู้โดยสารถึงเมืองทองธานี เขตปกครองของจังหวัดนนทบุรี ที่มีปริมาณการเข้าใช้พื้นที่เฉลี่ยวันละเกือบแสนคน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ จราจรติดขัดในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีคาดว่าแบบจะแล้วเสร็จ ในกลางเดือนมีนาคมนี้


ราคาน้ำมันดิบร่วงปิดที่ $70.47

ราคาน้ำมันดิบร่วงปิดที่ $70.47
หลังเงินดอลลาร์ดีดตัว-หุ้นร่วง


สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (16 มิ.ย.) ตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ร่วงลงเป็นวันที่ 2 รวมถึงปัจจัยเรื่องเงินดอลลาร์ซึ่งแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ โดยดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้โภคภัณฑ์ราคาแพงขึ้น ซึ่งลดความน่าดึงดูดใจให้นักลงทุนเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร

สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 15 เซนต์ ปิดที่ 70.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ปิดดีดขึ้น 1.81 เซนต์ แตะ 2.0711 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ขยับลงไม่ถึงเพนนี ปิดที่ 1.8250 ดอลลาร์ต่อแกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนส.ค. ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ปิดทรงตัวที่ 70.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ในช่วงเช้า สัญญาน้ำมันดิบดีดขึ้น 3% สู่ระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 72.77 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 3 วันที่ราคาน้ำมันเดินหน้าขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว หลังจากที่ผู้นำบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน พิจารณาที่จะลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์

แต่จากนั้นราคาน้ำมันได้กลับมาปรับตัวลงตามทิศทางของตลาดหุ้นที่ร่วงลงในภาคบ่าย รวมถึงดอลลาร์ที่ดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดที่ 69.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระหว่างวัน

บลูมเบิร์กรายงานว่า ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขี้นเมื่อเทียบกับยูโร ที่ระดับ 1.3848 ดอลลาร์ หลังจากที่แตะ 1.3933 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนตัวที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเงินดอลลาร์กับอีก 6 สกุลเงินหลัก ลดลง 0.5% แตะ 80.724

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหอบเงินจากตลาดหุ้นมาลงทุนในตลาดพลังงานแทน ซึ่งส่งให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงอย่างรวดเร็วจนแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนที่ 73.23 ดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว และปรับตัวสูงขึ้นแล้ว 58% นับแต่ต้นปี แต่ทิศทางราคาเริ่มกลับตรงกันข้ามในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสัญญาน้ำมันดิบลดลง 64 เซนต์ ปิดที่ 72.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์ หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 70.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากเริ่มมีความกังวลว่ากระแสคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น จะยั่งยืนถาวรหรือไม่

สตีเฟน ชอร์ก ประธานชอร์ก กรุ๊ป อิงค์ บริษัทที่ปรึกษาการค้าด้านพลังงาน กล่าวว่า เงินดอลลาร์เป็นปัจจัยชี้นำตลาด ถ้าดอลลาร์ดีดขึ้น น้ำมันก็จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้าม

ตลาดกำลังรอดูรายงานปริมาณน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ล่าสุดซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพุธโดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (อีไอเอ) ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบและการบริโภค และคาดว่าจะมีผลต่อราคาน้ำมัน Nymex ในคืนนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็นคาดว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลง 2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว



แรงขายต่างชาติ

แรงขายต่างชาติ-สถาบันกดดันหุ้นไทยปิดร่วง 2.51%
นครหลวงไทยคาดกลุ่มรับเหมา-แบงก์เด้งรับพ.ร.บ.กู้เงิน แต่ดัชนีภาพรวมยังไม่สดใส

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดได้เก็งกำไรตามข่าวพ.ร.บ. กู้เงิน ของรัฐบาลไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และสถาบันการเงิน เพราะจากรายละเอียดของโครงการกู้เงินนั้น รัฐบาลจะนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถึง 70% ซึ่งจะทำให้ บมจ. ช. การช่าง (CK) บมจ. ซีฟโก้ (SEAFCO) และผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่รายอื่น รวมถึงกลุ่มสถาบันการเงินที่เป็นแหล่งเงินทุนให้กับภาคเอกชนได้รับประโยชน์โดยตรงได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการลงทุนที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ กลุ่มเหล็กต้นน้ำ คือ บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) ก็น่าจะได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นผู้ประกอบการเหล็กต้นน้ำรายใหญ่ของประเทศ

นายสุกิจได้ประเมินแนวรับถัดไปของดัชนีหุ้นไทยไว้ที่ 590 จุด และหลังจากนั้นที่ 550 จุด หลังจากที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงกว่าปกติ และยังมีแรงขายของต่างชาติออกมาในภูมิภาคมากขึ้นด้วย

“เชื่อว่าหุ้นไทยยังลงไปกว่าระดับ 600 จุดได้ หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้าไปตลาดพันธบัตรได้ และยังเริ่มเห็นแรงขายต่างชาติออกมาในตลาดหุ้นภูมิภาคอีกด้วย จึงถือเป็นความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจะปรับลดลงได้มากกว่าที่ผ่านมา จึงน่าจะรอดูทิศทางเงินทุนต่างชาติให้ชัดเจนก่อนด้วย หรือรอให้ดูสถานการณ์ให้นิ่งกว่านี้อีกนิด” นายสุกิจกล่าว


บล. ฟาร์อีสท์แนะติดตามราคาน้ำมัน-ค่าเงิน-ตัวเลขเศรษฐกิจ อย่างใกล้ชิด

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้มีโอกาสปรับดลงไม่หนักมาก เนื่องจากยังพอมีแรงซื้อเข้ามาในเหล็ก และขนส่งทางเรือ ในตลาดเกิดใหม่ในช่วงท้ายการซื้อขายของเมื่อวานนี้ โดยนักลงทุนยังคงต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมา เนื่องจากเงินทุนต่างชาติยังค่อนข้างอ่อนไหวต่อปัจจัยเหล่านี้ และยังทำให้นักลงทุนมีการเข้าเร็วออกเร็ว หรือเทขายทำกำไรออกมาในระหว่างทางด้วย

ส่วนพ.ร.ก. และพ.ร.บ. การกู้เงินของรัฐบาล ถือเป็นปัจจัยที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว ซึ่งหากผลการพิจารณาไม่เป็นไปตามคาดก็จะเข้ามาเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดได้

สำหรับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังอ่อนค่าในระยะยาว ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในขณะนี้ยังปรับลดลงค่อนข้างแรง จึงยังแนะนำซื้อหุ้นบมจ. ปตท. (PTT) , บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และ บมจ. บ้านปู (BANPU) แต่หากราคาปรับเพิ่มขึ้น ก็ควรขายออกมาด้วย


ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ปิดร่วงลงต่อเนื่องอีก 15.38 จุด หรือ 2.51% มาอยู่ที่ 596.54 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 25,439.36 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,628.55 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,162.84 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 3,791.39 ล้านบาท



พักฐาน!!

พักฐาน!!


ดัชนีหุ้นวันที่ 16 มิ.ย.52 ปิดที่ 596.54 จุด ลดลง 15.38 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 25,439.36 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,157.84 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 239 บาท ลดลง 8 บาท, PTTEP ปิด 136 บาท ลดลง 4.50 บาท, BANPU ปิด 351 บาท ลดลง 12 บาท, TOP ปิด 38.75 บาท ลดลง 1.75 บาท และ PTTAR ปิด 18.90 บาท ลดลง 1 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวงมองแนวโน้มตลาดมีโอกาสรีบาวน์ดีดกลับขึ้นมาได้ หลังดัชนียืนเหนือแนวรับที่ 595 จุดได้ แต่ยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เพราะมีผลต่อทิศทางของดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นทั่วโลก

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้รอซื้อเมื่อดัชนีปรับตัวลงในหุ้นพลังงานทั้ง PTT, PTTEP และ BANPU และกลุ่มอื่น เช่น TVO, ADVANC และ TTA

ด้านเทคนิค ประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 590-595 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 600-602 จุด โดยหากผ่านไปได้ให้มารอลุ้นที่มี 615 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัสมองดัชนีจะมีแรงรีบาวน์ขึ้น จึงแนะให้เก็งกำไรหุ้นพลังงานสื่อสารและแบงก์ ส่วนหุ้นรับเหมาฯน่าเข้าไปเก็งกำไรได้ จากปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเปิดซองข้อเสนอด้านราคาค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 3 วันที่ 23-24 มิ.ย.นี้

ขณะที่ บลจ.อเบอร์ดีนมองดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาทะยานขึ้นเกือบ 40% แล้ว จากเม็ดเงินไหลเข้าต่างชาติที่ยังมีแนวโน้มไหลกลับเข้าซื้อหุ้นเอเชียต่อเนื่อง จากสภาพคล่องในตลาดโลกยังคงท่วมตลาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ

แต่อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วหากเงินทุนที่ไหลเข้ายังคงดันให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ต่างชาติก็จะต้องกลับมามองว่าราคาหุ้นอาจจะสูงเกินไปแล้ว ก็อาจต้องขายทำกำไรออกมา จึงต้องระมัดระวัง

ขณะที่การผ่าน พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.เงินกู้ จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ-วัสดุก่อสร้าง

อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4