11 กันยายน 2552

เม็ดเงินไหลเข้า...เล่นกลุ่มไหน ?

เม็ดเงินไหลเข้า...เล่นกลุ่มไหน ?


พลังของเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างประเทศกำลังส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นไปเหนือทะลุ 700 จุด และมีทีท่าว่าจะยังดันตลาดหุ้นให้ขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเมื่อกลับมาวิเคราะห์การไหลเข้าของเม็ดเงินอย่างกะทันหัน เรายังเชื่อว่าเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาพักระยะสั้นเพื่อ
1. หากำไรในตลาดหุ้นที่ยังมีช่องให้เล่น
2. มีแนวโน้มว่าทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยในหลายประเทศ (ไต้หวัน เกาหลี และอินเดีย) จะเร็วกว่าที่คาดไว้ส่งผลให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าไทย
3. มาจากผลการประเมินดัชนีหุ้นในเอเชีย (จาก IBES) ผ่านค่า P/E 12 เดือนล่วงหน้า และ P/BV จะพบว่าทุกตลาดเล่นกันเกินพื้นฐานของค่า P/E และ P/BV เฉลี่ย 5 ปี แล้ว อย่าง

จีน เทรดที่ค่า P/E 14.3 เท่ากับ P/E เฉลี่ย 5 ปีที่ 13.1 เท่า ค่า P/BV ที่ 2.5 เท่าเทียบค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 2.6 เท่า
ฮ่องกง เทรดที่ค่า P/E 17.1 เท่าเทียบที่ 15.9 เท่า P/BV ที่ 1.5 เทียบเฉลี่ย 1.7 เท่า
อินเดีย เทรดที่ค่า P/E ที่ 17 เทียบค่าเฉลี่ย 15.5 เท่า P/BV ที่ 3.5 เทียบเฉลี่ย 4.1 เท่า
อินโดนีเซีย เทรดที่ค่า P/E 13.8 เทียบเฉลี่ย 11.2 เท่า P/BV ที่ 3.8 เทียบเฉลี่ย 3.7 เท่า
เกาหลี เทรดที่ค่า P/E ที่ 11.8 เทียบเฉลี่ย 10.1 เท่า P/BV ที่ 1.5 เทียบเฉลี่ย 1.6 เท่า
มาเลเซีย เทรดที่ P/E 15.3 เทียบเฉลี่ย 13.8 เท่า P/BV ที่ 2 เทียบเฉลี่ย 2 เท่า
ฟิลิปปินส์ เทรดที่ P/E 14.7 เทียบเฉลี่ย 13.2 เท่า P/BV ที่ 2.5 เทียบเฉลี่ย 2.2 เท่า
สิงคโปร์ เทรดที่ P/E ที่ 15.8 เทียบเฉลี่ย 13.9 เท่า P/BV ที่ 1.7 เทียบเฉลี่ย 1.8 เท่า
ไต้หวัน เทรดที่ค่า P/E ที่ 22.5 เทียบเฉลี่ย 14.3 เท่า P/BV ที่ 1.9 เทียบเฉลี่ย 1.9 เท่า


ไทยเทรดกันที่ค่า P/E ปัจจุบันที่ 11.2 เทียบเฉลี่ย 5 ปีที่ 9.9 เท่า P/BV ที่ 1.7 เท่าเทียบค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 2 เท่า

หากโยงการประเมินที่กล่าวมาข้างต้นเทียบกับการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคนับตั้งแต่ต้น Q3 ถึงปัจจุบัน เราก็จะเห็นภาพได้ชัดขึ้น คือ ตลาดที่ขึ้นได้น้อยสุด นำโดยไต้หวัน อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เนื่องจากตลาดหุ้นเหล่านี้กำลังเทรดกันที่ค่า P/E และ P/BV ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีมาก

ส่วนตลาดที่ขึ้นได้แรงที่สุดในขณะนี้คือ ไทย รองลงมา คือเกาหลีจะพบว่าแม้ตอนนี้ค่า P/E จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีแต่ไม่มาก ที่สำคัญค่า P/BV ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี จากภาพที่กล่าวมาเราพอเห็นแล้วว่าการไหลเข้าของเม็ดเงินมายังตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นเพราะมีช่องให้เล่น คือค่า P/BV ปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีสูงที่สุด แม้จะมีประเด็นกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า แต่เรากลับมองว่าการไหลเข้าแบบนี้จะอยู่ไม่นาน เพราะที่ผ่านมาหากเริ่มมีการโยกเม็ดเงินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แสดงว่าเม็ดเงินเหล่านั้นกำลังจะทำกำไรให้เร็วที่สุด ประกอบกับเริ่มมีสัญญาณที่แปลก ๆ คือจู่ ๆ ราคาทองคำกลับพุ่งขึ้นแรงพร้อมราคาน้ำมัน อาจเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาเล่นหุ้น หรือทองคำ หรือเล่นน้ำมันล่วงหน้ากำลังดันราคาสินทรัพย์ดังกล่าวให้สูงที่สุดเพื่อขายทำกำไรเพื่อรับข่าวอะไรบางอย่าง ? หรือนำเงินไปปิดงบ Q3

เนื่องจากใน Q3 นี้ผลดำเนินงานของ Bank of America และ Citigroup จะออกมาขาดทุนขณะที่ Goldman Sach กำไรลดลงจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มาก และการแนะนำให้เข้าเล่นในรอบนี้ของเรามาจากการเกาะเม็ดเงินของต่างชาติเท่านั้น เพราะระดับดัชนีที่เป็นอยู่มันเกินพื้นฐานของปีนี้ไปมากแล้ว โดยระดับที่ประมาณ 720-730 จุดคือระดับดัชนี SET ในปีหน้าที่เราคาดการณ์เอาไว้ หากเห็นก่อนในปีนี้ ปีหน้าคงจะเห็นได้ยาก แม้หลาย ๆ ฝ่ายจะมองว่าปีหน้าทุก ๆ อย่างจะดีขึ้นแต่ให้โปรดระวัง? เพราะโลกยังต้องเผชิญกับปัญหาอีกหลายเรื่อง

แม้เรายังไม่รู้ว่าระยะเวลาที่เม็ดเงินเหล่านี้จะอยู่ในตลาดหุ้นไทยนานขนาดไหน แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องมีที่ลง โดยปกติเวลามีเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างชาติมักจะเข้าลงทุนในหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ หรือปูน

เราแสดงดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานที่เป็นผู้ผลิตน้ำมัน และโรงกลั่นในเอเชีย ตั้งแต่ต้น Q3 ถึงปัจจุบันเราก็จะเห็นได้ชัดว่าหุ้นในกลุ่มนี้ของไทย (PTT/PTTEP/TOP/BCP//ESSO) ปรับตัวขึ้นมาสูงเป็นอันดับ 3 หรืออาจพูดได้ว่าเป็นอันดับ 1 ก็ได้เพราะปากีสถาน และศรีลังกาเป็นตลาดที่เล็กมาก ดังนั้นการขึ้นแรงขนาดนี้ถือว่ามีความเสี่ยงมากเกินไปที่จะเข้าลงทุน ขณะเดียวกันเมื่อเรามาดูหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในเอเชียด้วยกันเองจะพบว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทยขึ้นได้ในระดับกลาง ๆ ตรงนี้กำลังจะบอกว่าความเสี่ยงของการเล่นหุ้นธนาคารจะต่ำกว่าพลังงานที่หลังจากนี้อาจผันผวนตามราคาน้ำมันได้อีก

เรามองว่ารอบนี้หุ้นธนาคารเล็กจะกลับมาวิ่งได้เร็วกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งจากกำลังมีข่าว และความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่า หุ้นที่แนะนำ คือ TISCO (ราคาเป้าหมายที่ 22 บาท) BAY (ราคาเป้าหมายที่ 20.5 บาท) และ TCAP (ราคาเป้าหมายที่ 19.7 บาท) ส่วนหุ้นธนาคารเล็กอีกตัวที่ เราแนะนำ ซื้อ คือ KK เนื่องจากมองว่าปีนี้จะมีกำไรสูงถึง 1,923 ล้านบาท EPS ที่ 3.65 บาท และคาดว่าจะจ่ายปันผลที่ 1.6 บาท โดยมีราคาเป้าหมายที่ 25 บาท ส่วนหุ้นธนาคารใหญ่ แนะนำซื้อเก็งกำไร KBANK ที่ราคาเป้าหมาย 82 บาท


-------------------------------------------
ที่มา...บล.ซิกโก้ นักวิเคราะห์ เกียรติก้อง เดโช

ต่างชาติโยกเงินลงทุน

ต่างชาติโยกเงินลงทุน ดันหุ้นเอเซียทะยาน

ต่างชาติโยกเงินเข้ามาลงทุน ดันตลาดหุ้นเอเซียทะยานกันถ้วนหน้า ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันพุ่งสูงสุดในรอบ 14 เดือน

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นเอเซียวานนี้ (10 ก.ย.) ดัชนีทะยานตัวในแดนบวก จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่โยกเม็ดเงินเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นเอเซีย

โดยดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันพุ่งขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนวันนี้ โดยการนำของหุ้นกลุ่มการเงิน จากความหวังที่ว่าไต้หวันจะลงนามในข้อตกลงการให้บริการทางการเงินกับจีนในเร็วๆนี้ ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่

-ดัชนีเวทเต็ดปิดปรับตัวลง 81.36 จุด หรือ 1.12% แตะ 7,332.08 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.
-ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดพุ่ง 48.6 จุด หรือ 1.1% แตะ 4,570.8 จุด
-ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดพุ่ง 201.53 จุด หรือ 1.95% แตะที่ 10,513.67
-ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทะยานขึ้น 36.91 จุด หรือ 2.3% แตะที่ระดับ 1,644.68 จุด
-ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวันนี้ร่วงลงเป็นครั้งแรกลดลง 21.38 จุดหรือ 0.73% แตะ 2,924.88 จุด
- ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวสูง 218.52 จุด หรือ 1.05% ปิดที่ 21,069.56 จุด



ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 1.08%ที่ 703.09
หลังแตะสูงสุด 710 รอบกว่า 1 ปีจากเงินทุนไหลเข้า


ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด(+1.08%) มูลค่าการซื้อขาย 36,680 ล้านบาท

ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 710.62 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 699.70 จุด

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดยังเป็นกระแสจากเงินทุนที่ไหลเข้าในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้ตลาดสามารถที่จะผ่านแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 700 จุดแบบสบายๆ และขึ้นมาสูงสุดถึง 710 จุด แต่ช่วงท้ายเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาช่วงสั้น

อย่างไรก็ตาม มองว่าตราบใด fund flow ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็มองว่าโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวลงมาแรงๆ โอกาสเห็นค่อนข้างยากอาจจะมีปรับเล็กน้อยในระหว่างวันเท่านั้น แต่เชื่อว่าโดยรวมแล้วตลาดยีงมีโอกาสจะขึ้นไปยืนเหนือระดับ 710 จุดได้ คิดว่าการที่เกิดเห็นแรงขายออกมาในช่วงบ่าย ก็คงเป็นลักษณะของการปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงธรรมดา และถ้าดูแรงซื้อที่ยังอยู่ในหุ้น big cap จึงมองว่ายังไม่น่ากังวลอะไร

"ปัจจัยแรกเงินยังไหลเข้า ปัจจัยที่ 2 ยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามา ขณะเดียวกันแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกที่มีการส่งสัญญาณที่ฟื้นตัวขึ้นมา โอกาสที่ตลาดหหุ้นจะปรับตัวขึ้นยังมีอยู่" นายวีระชัย กล่าว

แนวโน้มพรุ่งนี้เนื่องจากเป็นสุดสัปดาห์ก็ต้องระวังแรงขายในช่วงสั้นๆ แต่ถ้าปรับตัวลงมาน่าจะเป็นจังหวะของการเข้าไปซื้อเล่นรอบใหม่ได้ เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดว่าตลาดจะลงหรือจะขึ้นต่อไปให้ดูจำนวนซื้อสุทธิของต่างชาติเป็นหลักมากกว่า

นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีสูงสุดที่ 710 จุดของวัน สูงสุดในรอบประมาณ 1 ปี 1 เดือน โดยจุดสูงสุดครั้งก่อนอยู่ที่ 715 จุด เมื่อวันที่ 11/08/08



โบรกฯทำนายหุ้นไทยวันนี้เดินหน้าต่อ

นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ค่อนข้างผันผวนในแดนบวก ขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วงระหว่างการซื้อขายดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะ 710 จุด แต่ไม่สามารถยืนได้ ทำให้เผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วน ประกอบกับ ช่วงเปิดการซื้อขายบ่ายตลาดหุ้นฮ่องกงเผชิญกับแรงขายทำกำไรบ้าง ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกดดัน แต่อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มปตท. จึงช่วยหนุนให้ดัชนีฯ วานนี้เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก

สำหรับแนวโน้มของดัชนีฯ วันนี้ (11ก.ย.) มีโอกาสที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ทิศทางของราคาน้ำมันมี โอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังพบว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยน่าจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและช่วยผลักดันให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เพราะต้องยอมรับว่าในวันนี้เป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดเสาร์และ อาทิตย์ จึงอาจจะทำให้นักลงุทนบางส่วนแบ่งขายหุ้นทำกำไร

กลยุทธ์ แนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยประเมินแนวต้านดัชนีฯ 710 จุด แนวรับ 700-698 จุด


ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นต่อหรือไม่

บล. กิมเอ็งบอกดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นต่อหรือไม่
ให้ดูจาก Fund Flow ต่างชาติ และราคาน้ำมัน

มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวในรายการ Trading Hour (Afternoon) ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในวานนี้ร้อนแรงเกินคาด และอาจปิดในระดับที่สูงกว่านี้ หากตลาดหุ้นหั่งเส็งของฮ่องกงไม่อ่อนตัวลงในช่วงบ่าย ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงตาม แต่ก็ยังไม่หลุดไปจากแนวรับอันแข็งแกร่งที่ 700 จุด

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยตามประเด็นข่าวการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือ บมจ. ปตท. และตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ซึ่งคาดว่าจะอ่อนค่าลงอีกในสัปดาห์หน้า เนื่องจากไม่มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

มยุรีบอกว่า ระดับ 700 จุดได้กลายมาเป็นแนวรับ และแนวต้านในวันนี้ (11 ก.ย. 52) น่าจะอยู่ที่ระดับ 710 จุด โดยมองว่า ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง แต่จะมีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงบ่าย เพื่อเก็บเงินไว้รอดูทิศทางการลงทุนในสัปดาห์หน้า โดยบล.กิมเอ็งยังมั่นใจว่าในปีนี้ดัชนีจะขึ้นไปแตะระดับ 750 ได้

อย่างไรก็ตาม มยุรียอมรับว่า ยังเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากว่า ดัชนีจะขึ้นไปได้ถึงระดับใด หรือจะปรับฐานตามสถิติที่เกิดเป็นประจำทุกปีในเดือนกันยายนหรือไม่ แต่ขอให้นักลงทุนติดตาม Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด และหากราคาน้ำมันเริ่มทรงตัวหรือปรับฐานลงอีกครั้ง ก็อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยกำลังจะปรับลดลง


ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด (+1.08%) มูลค่าการซื้อขาย 36,680.17 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 373.00 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,898.89 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,271.89 ล้านบาท



Template by - Abdul Munir | Blogging4