10 เมษายน 2552

ไปไม่ได้!!

ไปไม่ได้!!
[10 เม.ย. 52 - 04:59]

ดัชนีหุ้นวันที่ 9 เม.ย.52 ปิดที่ 444.07 จุด บวก 0.50 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 13,296 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ระบุว่าดัชนีหุ้นดีดตัวขึ้นได้สูงสุดถึง 7 จุด จากตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นหลังมีข่าวรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมเพิ่มวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 154 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังออกงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหญ่ไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 757 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

แต่ตลาดหุ้นไทยถูกแรงขายทำกำไรออกมากดดันให้ดัชนีชะลอตัวเหลือบวกได้เพียงเล็กน้อย หลังสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองบานปลาย มีกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ปิดขวางการจราจรทุกช่องทางแยกที่มุ่งหน้าเข้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้สถานการณ์มีความตึงเครียดขึ้นและทางการอาจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ได้

ทั้งนี้ มองแนวโน้มตลาดว่า นักลงทุนยังไม่มั่นใจกับสถาน-การณ์การเมืองทำให้ส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุน แนะกลยุทธ์การลงทุนให้เทขายทำกำไร เมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและรอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง

ปิดท้าย “สมบัติ นราวุฒิชัย” เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ มองการปิดถนนย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น แต่ระยะยาวการชุมนุมน่าจะคลี่คลายด้วยดี สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามในระยะนี้ คือ ปัญหาการเมืองในประเทศ, ภาวะเศรษฐกิจประเทศใหญ่ที่เป็นลูกค้าของไทย รวมถึงผลประกอบการสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ที่จะเป็นปัจจัยชี้นำตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน โดยติดตามการเมืองในช่วง 2-3 วันนี้ ส่วนของนักลงทุนระยะยาวควรหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นที่ธุรกิจแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดมากและเป็นธุรกิจที่สามารถพลิกฟื้นได้หากเศรษฐกิจฟื้นตัว.


อินเด็กซ์ 51


วิธีการอ่านงบดุล

วิธีการอ่านงบดุล(การลดพาร์และการแตกพาร์)

(บทความนี้มาจากเซ็ทเทรด เขียนโดยคุณ Red_devil)


สิ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม คือวิธีการอ่านงบการเงิน
โดยทั่วไปนักลงทุน(รวมทั้งผม)มักจะมุ่งเน้น ในการดู
งบกำไรขาดทุนเป็นหลัก แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคืองบ
ดุลซึ่งจะบอกถึงสถานะความแข็งแกร่งของธุรกิจได้หาก
เราเอามาดูถึงแนวโน้มของารเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หรือ
การลดลงของหนี้สินหรือแม้แต่การเพิ่มขึ้นของกำไรสะสม
สิ่งที่เราควรจะทราบคือ งบดุลเป็นการ Balance ของ
ส่วนของสินทรัพย์เปรียบเทียบกับหนี้สินและส่วนของผู้
ถือหุ้นโดยมีสมการดังนี้


สินทรัพย์ = หนี้สิน+ส่วนของผู้ถือหุ้น


ในส่วนของสินทรัพย์ก็ประกอบด้วย เงินสด,ลูกหนี้,สินค้า
คงเหลือ,สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆรวมไปถึงที่ดิน,อาคาร
สิ่งปลูกสร้างและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นต้น


หนี้สิน หมายถึง หนี้สินจำพวกเงินเบิกเกินบัญชี,เงินกู้ระยะ
สั้น,เจ้าหนี้การค้า,หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆรวมไปถึงเงินกู้
ระยะยาวเป็นต้น



ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทุนเรือนหุ้น+กำไร(ขาดทุน)สะสม



หากเราลองสมมุตว่าบริษัทAมีหุ้น1,000หุ้นราคาพาร์10
บาทมีสินทรัพย์ในขณะนั้น10,000บาทหนี้สิน300บาท
ขาดทุนสะสม 300 บาท
เมื่อเรานำมาใส่ในงบดุลจะได้ว่า
สินทรัพย์=หนี้สิน+ส่วนผู้ถือหุ้น จะได้
10,000 = 300 + (10,000-300)
เมื่อ ทุนเรือนหุ้น=1,000หุ้นx10บาท=10,000บาท

หากเราต้องการล้างขาดทุนสะสมทำได้โดยการลดทุน
(ลดพาร์) ตามตัวอย่างดังนี้
10,000 = 300 + (1,000x9.7)+[(1,000x0.3)-300)]
โดยกันตัดส่วนของในวงเล็บหลังสุดออก แล้วลดทุนลง
เหลือหุ้นละ9.7บาทก็จะได้เฉพาะ
10,000 = 300 + (1,000x9.7) เท่านั้น

จะเห็นได้ว่า จำนวนหุ้นเท่าเดิม แต่ราคาพาร์ลดลง
สรุปแล้วการจัดการแบบนี้เป็นการจัดการตัวเลข
ทางบัญชีในงบดุลเท่านั้นเอง ส่วนการจะเพิ่มทุน
ในลำดับต่อไปนั้นก็แล้วแต่ว่ากิจการจะต้องการเม็ด
เงินใหม่เข้ามาหรือไม่.........

ถ้างบดุลของแต่ละบริษัทฯที่ส่งให้ ตลท.
โดยผ่านการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบบัญชีแล้ว
แต่ตัวเลขมีการแต่งขึ้น เช่น SECC
แบบนี้ ทำยังไงดี เราจะเชื่อใครได้อีก
ปล. เป็นคำถามวงกาแฟตอนเช้าที่ทำงานผมเอง

มาเพิ่มข้อมูลให้อีกนิดเรื่องการแตกพาร์ ซึ่งหลายคนอาจ
สับสนระหว่างการลดพาร์กับการแตกพาร์ จึงข้ออธิบาย
เรื่องการแตกพาร์ ไว้ดังนี้
การแตกพาร์หมายถึงการเปลี่ยนราคาพาร์ให้ต่ำลงและเพิ่ม
จำนวนหุ้นตามจำนวนที่เปลี่ยนไปด้วย
ตัวอย่างเช่น..........
บริษัท ABC มีราคาพาร์เท่ากับ100บาท มีจำนวนหุ้น
เท่ากับ1000หุ้นบริษัทนี้ได้เปลี่ยนราคาพาร์จาก 100บาท
ลงมาเหลือ 1 บาท ถามว่าจำนวนหุ้นจะเปลี่ยนเป็นเท่าไหร่?
วิธีหาจำนวนหุ้น ตามสมการดังนี้
ก่อนแตกพาร์ = หลังแตกพาร์
(ราคาพาร์ x จำนวนหุ้น)(ก่อน)=(ราคาพาร์xจำนวนหุ้น)(หลัง)
100 x 1000 = 1x จำนวนหุ้น(หลัง)
จำนวนหุ้น(หลังแตกพาร์) = 100,000 หุ้น

สรุป ความแตกต่าง ของการลดพาร์ และ การแตกพาร์
การลดพาร์ จำนวนหุ้นไม่เปลี่ยนราคาพาร์เปลี่ยนหากเป็น
ตามตัวอย่างคือการเอาส่วนทุนไปลดขาดทุนสะสม
การแตกพาร์คือการเปลี่ยนราคาพาร์ซึ่งส่งผลให้จำนวน
หุ้นแปรผันตามไปด้วย หากเป็นตามตัวอย่างกรณีแตกพาร์
ลงมา100 เท่าจะส่งผลให้จำนวนหุ้นหลังแตกพาร์เพิ่มขึ้น
100เท่าเช่นกัน ทั้งนี้หากเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดที่มีการ
แลกเปลี่ยนซื้อขายเช่นในตลาดหลักทรัพย์จะทำให้เพิ่ม
สภาพคล่องและราคาที่เหมาะแก่การซื้อขายได้ง่ายขึ้น


อ้างอิง http://www.settrade.com/actions/cust....jsp&tid=17197

น้ำมันดิบปิดพุ่ง $2.86

น้ำมันดิบปิดพุ่ง $2.86 หลังดาวโจนส์ดีดแรง

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 6% เมื่อคืนนี้ (9 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 200 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารเวลส์ ฟาร์โก คาดการณ์ตัวเลขกำไรที่ดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม วอลุ่มการซื้อขายค่อนข้างบางเบาเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากปลีกตัวออกไปอยู่นอกตลาด ก่อนถึงวันหยุดเนื่องในวัน Good Friday

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.86 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.24 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 52.24-51.20 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 4.14 เซนต์ ปิดที่ 1.4810 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ปิดที่ 1.4288 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.47 ดอลลาร์ ปิดที่ 54.06 ดอลลาร์/บาร์เรล

แอนดรูว์ เลโบว์ นักวิเคราะห์จาก MF Global กล่าวว่า "แม้มีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกถดถอยและอาจฉุดดีมานด์พลังงานร่วงลงด้วย แต่นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคับคั่งเมื่อคืนนี้เพราะได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทะยานขึ้นขานรับรายงานคาดการณ์กำไรของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก"

เวลส์ ฟาร์โก คาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถทำกำไรในไตรมาสแรกได้ราว 3 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากธุรกิจด้านการปล่อยกู้ที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้น 246.27 จุด หรือ 3.14% ปิดที่ 8,083.38 จุดเมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน และช่วยพยุงหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นด้วย

ตลาดน้ำมันนิวยอร์กขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดขาดดุลการค้าเดือนก.พ.ร่วงลง 28.3% แตะที่ 2.597 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีพ.ศ.2542 ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 4 เม.ย.ลดลง 20,000 ราย แตะระดับ 654,000 ราย จากรอบสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ 674,000 ราย

เลโบว์กล่าวว่า ในช่วงเช้าตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวต่อเนื่องจนถึงปีหน้า แต่ในช่วงบ่ายเมื่อทางการสหรัฐรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส รวมถึงตัวเลขว่างงานและยอดขาดดุลการค้า ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นและพากันเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างหนาแน่น

นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมโอเปคในวันที่ 28 พ.ค.นี้ หลังจากโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมครั้งก่อนที่กรุงเวียนนา โดยปัจจุบันเพดานการผลิตน้ำมันของโอเปคอยู่ที่ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน

กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 3 เม.ย.พุ่งขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 361.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ดังกล่าวทำสถิติพุ่งขึ้นติดต่อกัน 5 สัปดาห์ และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี

เกาะกระดานหุ้น

เกาะกระดานหุ้น


๐ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (9 เม.ย.) ดูเหมือนจะไม่ยี่หระกับอุณหภูมิการเมืองที่ร้อนซักเท่าไหร่ ดัชนีปิดที่ 444.07 เพิ่มขึ้น 0.50 จุด วอลุ่ม 13,296 ล้านบาท ต้องตามติดวันนี้ก่อนหยุดยาวจะเป็นอย่างไร


๐ในที่สุดเสี่ย ยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ ก็หันไปพึ่งบารมีศาล หลังจากที่ถูกผู้ถือหุ้นของ เพิ่มสินสตีลเวิคส์ (PERM) สกัดกลางที่ประชุม ไม่อนุมัติส่ง 3 ตัวแทน เป็นกรรมการและกรรมการตรวจสอบ โดนกลุ่มยงวงศ์ไพบูลย์ ผู้ถือหุ้นเดิมผนึกกำลังรวมหุ้นได้ 60% มาดับฝันเสี่ย ยุทธพงษ์ งานนี้คงต้องรอกันอีกนานเพราะศาลนัดไกล่เกลี่ยเดือนส.ค.2552

๐จากที่เห็นคนขายเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเราเป็นแขกโพกหัว ต่อจากนี้ไปคนไทยจะได้เห็นคนอินเดียใช้เฟอร์นิเจอร์ไทยบ้างแล้ว เพราะ ร้อกเวิธ (ROCK) เล็งทุ่มงบสร้างโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่อินเดีย มูลค่า 300-400 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ ดุษฎี พงษ์สุทธิมนัส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ROCK บอกว่า เหตุที่ไปสร้างโรงงานไกลถึงแดนโรตี เพราะเป็นตลาดที่ยังมีการเติบโตสูงนั่นเอง และยังช่วยลดการแบกรับการจ่ายภาษีนำเข้า หลังจากอินเดียมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงถึง 31%

๐ส่วนกลยุทธ์ธุรกิจปีนี้ บอกว่ามีแผนร่วมกับพันธมิตรและเครือข่ายเพื่อขยายสินค้า เพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่ อาทิ ประเทศแอฟริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยุโรปตะวันออก โดยการขยายสินค้าไปตลาดใหม่ๆ จะช่วยสนับสนุนให้ปริมาณขายของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ก่อนจะเห็นข่าวดี “ดุษฎี” ขอบอกข่าวร้ายก่อนว่า ไตรมาส 1 ปีนี้ จะลดลงอย่างมากจากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดว่ายอดขายจะยังชะลอตัวไปจนถึงไตรมาส 2 ปี 2552 เนื่องจากในช่วงดังกล่าวอยู่ในช่วงวันหยุดยาว อีกทั้งผู้บริโภคยังขาดความมั่นใจในการจับจ่าย ซึ่งมาจากปัญหาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น

๐ฟากหุ้น พีเออี (ประเทศไทย) (PAE) วิ่งขึ้นมาจนติดกระดานราคาเพิ่มขึ้น 10 อันดับแรก วานนี้ปิดการซื้อขายที่ 0.29 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท หรือ 11% ตอนนี้ยังไม่ชัดว่าข่าวดีอะไรมาหนุนให้หุ้นกระเตื้อง แต่ ศุขสนั่น โชติกเสถียร เอ็มดี PAE เผยความคืบหน้าธุรกิจว่า ตอนนี้บริษัทเตรียมหารือกับกลุ่ม Global Process Systems inc. (GPS) ผู้ถือหุ้นใหญ่ เกี่ยวกับการปัญหาการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนท์เป็นหุ้นสามัญที่ GPS ถือไว้ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะหุ้นในตลาดปรับลงไปต่ำกว่าราคาใช้สิทธิมากแล้วนั่นเอง

๐บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ยันไม่คิดขายหุ้น แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ (CAWOW) แม้ที่ผ่านมา Performance จะไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเป็นงบดุลหรือราคาหุ้นแต่ MAJOR ก็วางแผนจะเข้าไปบริหารให้งบดุลบริษัทดีขึ้น เนื่องจากธุรกิจสถานออกกำลังกายมีค่าใช้จ่ายและค่าเสื่อมราคาสูง ผลประกอบการโดยรวมออกมาจึงไม่ดีนัก และฉุดงบการเงินของ MAJOR ไปด้วย ...แบบนี้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ารักกันยืนยาวหรือไม่กล้าตัดขาดทุนดี

๐สุดท้ายเกาะกระดานขอลาแฟนๆ หลบร้อนไปสาดน้ำสงกรานต์สัก 5 วัน กลับมาพบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอให้ผู้อ่านมีความสุขตลอดเทศกาลสงกรานต์นี้นะครับ


อีก 9 เดือน บจ.แห่ระดมทุน

เอเซียพลัสคาดอีก 9 เดือน บจ.แห่ระดมทุน 1.5 แสนล.


เอเซีย พลัส ระบุ 9 เดือนที่เหลือ บจ.ต้องระดมทุนออกหุ้นกู้และตั๋วบี/อีอีกมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจ หลัง 3 เดือนแรกออกไปแล้ว 1.8 แสนล้านบาท พร้อมประเมินแนวโน้มการเพิ่มทุน จะเกิดขึ้นในช่วง 6-12 ปี


นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ บล.เอเซีย พลัส และอุปนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรม (real sector) เริ่มประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน เพราะประสบปัญหาสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น และตามมาด้วยเจ้าหนี้เร่งรัดการชำระหนี้ และส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดในการดำเนินการ (cash flow operation หรือ CFO) โดยกลุ่มเหล็ก ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากปัญหาดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการติดตามข้อมูลกลุ่มบริษัทจดทะเบียนปี 2551 มีเงินสด รวม 4.08 แสนล้านบาท และกระแสเงินในการดำเนินการรวม 4.82 แสนล้านบาท โดยกลุ่มที่มีเงินสดที่แข็งแรง เช่น กลุ่มพลังงานและน้ำมัน เช่น บริษัท ปตท. (PTT) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP), กลุ่มพาณิชย์ เช่น ซีพี ออลล์ (CPALL), บิ๊ก ซี (BIG-C), แม็คโคร (MARCO), กลุ่มเดินเรือ เช่น พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL), โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)

เธอกล่าวว่า ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้บริษัทจดทะเบียนเริ่มระดมทุนผ่านตลาดทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ และออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (B/E) เนื่องจากการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ทำได้ค่อนข้างยากแม้ว่าบริษัทจะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำคืออยู่ที่ประมาณ 1 เท่าก็ตาม โดยใน 3 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า 35 บริษัทจดทะเบียนระดมทุนโดยออก ตั๋วบีอี รวมมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท และอีก 15 บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนที่เหลือปีนี้ จากการสำรวจพบว่ามีประมาณ 25 บริษัทจดทะเบียนที่มีแผนออกหุ้นกู้ และตั๋ว บีอี รวมมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท โดยวัตถุประสงค์ของการระดมทุนดังกล่าว ก็เพื่อต้องการนำมาปรับโครงสร้างทางการเงิน (refinance) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และคาดว่าการระดมทุนโดยการออกตราสารทางการเงินดังกล่าวคงจะทำได้เพียงในปีนี้เท่านั้น เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 0.75% ในช่วงปลายปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% แต่ในปีหน้าคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินในการลงทุนในโครงการต่างๆ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

“คาดว่าตลาดหุ้นกู้จะปิดภายในสิ้นปีนี้ และการระดมทุนโดยการเพิ่มทุนจะตามมา โดยจะเริ่มเห็นการเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนเพื่อใช้เงินรองรับสภาพคล่องมากขึ้นในปลายปี 2552 ต่อเนื่องในปี 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นน่าจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว”

นอกจากการระดมทุนแล้ว บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังปรับลดการจ่ายปันผล และงดจ่ายปันผล เพื่อสำรองเงินรักษาสภาพคล่อง โดยในปีนี้คาดว่าอัตราการจ่ายปันผลจะลดลงเหลือ 40% จากปี 2551 อยู่ที่ 80% ของกำไรสุทธิ

เธอ แนะนำว่า กลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนจะต้องดูสภาพคล่องทางการเงินด้วย เพราะเป็นปัจจัยหลักต่อความอยู่รอดของกิจการ เพราะทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจจะเห็นบริษัทปิดกิจการ และล้มละลายเป็นจำนวนมาก โดยปัจจัยที่ต้องพิจารณาดูว่า หุ้นที่จะลงทุนมีสุขภาพดีหรือไม่นั้นคือ มีกระแสเงินสดในการดำเนินการ (CFO) เพียงพอสามารถชำระหนี้ระยะสั้นและยาวได้ และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้น-ระยะยาว รวมถึงมีความสามารถในการจ่ายปันผลได้



Template by - Abdul Munir | Blogging4