18 สิงหาคม 2552

คาดได้ข้อสรุปปรับโครงสร้างการรถไฟฯ

คาดได้ข้อสรุปปรับโครงสร้างการรถไฟฯ ในอีก 2 สัปดาห์
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) บอกว่า แนวทางการปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สหภาพแรงงาน รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ และสามารถรายงานต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี ภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนการเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ น่าจะเริ่มทดลองวิ่งรถได้ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ หากขั้นตอนการเจรจาสามารถตกลงกันได้ โดยไม่เกิดการประท้วงขึ้น




ผู้อำนวยการ สคร. ย้ำว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้าง รฟท. เพื่อรองรับเม็ดเงินกระตุ้นการลงทุนตามแผนไทยเข็มแข็ง ซึ่งหากยังไม่ดำเนินการก็จะทำให้แผนการลงทุนล่าช้าออกไป นอกจากนี้ยังจะส่งผลต่อเจ้าของเงินกู้ที่จะปล่อยให้แก่ รฟท. ด้วย

ทั้งนี้ในการปรับโครงสร้าง รฟท. ยังมีความขัดแย้งภายใน โดยเฉพาะในส่วนการดำเนินการเดินรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ทาง ผู้บริหารต้องการให้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดำเนินการ เพื่อให้มีผู้เชี่ยวชาญมาเดินรถ แต่ทางสหภาพ ต้องการที่จะให้ตั้งเป็นหน่วยธุรกิจและให้พนักงาน รฟท. เป็นผู้เดินรถ



กลยุทธ์ช่วงนี้ถือเงินสดดีที่สุด

กลยุทธ์ช่วงนี้ถือเงินสดดีที่สุด

หุ้นทั่วโลกเจอถล่ม หลังตัวเลข ศก.สหรัฐฯ ย่ำแย่ ต่างชาติเทขายกว่า 2 พันลบ. ทำดัชนีฯหุ้นไทยวานนี้ร่วงกว่า 3% เซียนหุ้นมองสัปดาห์นี้ดัชนีฯมีโอกาสแตะ 620 จุด แนะลดพอร์ตการลงทุน หันถือเงินสด แต่หากอยากซื้อหุ้นให้สะสมหุ้นปันผลแจ่ม CPF-SPALI-ADVANC-TTA เป็นต้น

ร่วงไม่เป็นท่า สำหรับดัชนีฯวานนี้ (17 ส.ค.) ปิดตลาดที่ 632.05 จุด ลดลง 22.20 จุด หรือ 3.39% มูลค่าการซื้อขาย 26,347.42 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีฯดาวโจนส์ล่วงหน้าวานนี้ ตามเวลาประเทศไทย ( 16.02 น.) ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับตัวลดลง 179 จุด โดยได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และแนวโน้มผลประกอบการที่ซบเซาของห้างเจซีเพนนีย์

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรม พบว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.5 % ในเดือนก.ค.หลังจากลดลง 0.4 % ในเดือน มิ.ย. ดีกว่าที่คาดไว้ที่ 0.3 % และยังเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน

ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)เดือนก.ค. พบว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ทรงตัวในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น0.7 % ในเดือนมิ.ย. แต่ดิ่งลงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 1950 เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ขยับขึ้น 0.1 % ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2 % ในเดือนมิ.ย และเมื่อเทียบเป็นรายปี ดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5 % ในเดือนก.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2004 เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 1.7 % ในเดือนมิ.ย.โดยดัชนี CPI ดังกล่าวบ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป

ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ต่างปรับตัวลดลง โดยวานนี้ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 328.72 จุด หรือ 3.10% , ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดลบ 755.68 จุด หรือ 3.62% , ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดลบ 137.71 จุด หรือ -1.95% , ดัชนี ASX All ordinaries: ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปิดลบ 67.00 จุด หรือ -1.50 %

ขณะที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,138.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,208.76 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 4,347.11 ล้านบาท

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีซีมิโก้ กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ปรับตัวลงแรงว่าเป็นไปตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ต่างปรับตัวลดลงกันอย่างถ้วนหน้า หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯในเดือนส.ค.ออกมาไม่ดี ประกอบกับก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแรงมากแล้ว ดังนั้นเมื่อมีข่าวลบออกมาก็เป็นเหตุให้นักลงทุนแห่ขายทำกำไร

ขณะที่กรณีการชุมนุนของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ในวันจันทร์ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น จึงมองว่าปัจจัยภายในประเทศไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ คาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวลดลงได้อีกเล็กน้อย โดยเชื่อว่าการปรับลงของดัชนีฯในรอบนี้ไม่น่าจะหลุดแนวรับ 630-620 จุด อย่างไรก็ดีต้องติดตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลักหากเริ่มทรงตัวก็มีลุ้นที่จะเห็นดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศและดัชนีหุ้นไทยรีบาวน์ได้ โดยเฉพาะหุ้นไทยที่มีลุ้นรีบาวน์ขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 650 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประการตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ

กลยุทธ์แนะนำจังหวะที่ดัชนีฯลงสู่แนวรับเป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคป อย่าง พลังงาน กับ กลุ่มธนาคารพาณิชย์


****สองโบรกฯ แนะลดพอร์ต-ถือเงินสดปลอดภัยที่สุด

มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) และฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวลดลงกว่า 20 จุด เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง หลังได้รับแรงกดดันจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคช่วงต้นเดือนสิงหาคม ลดลงสู่ระดับ 63.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแค่เดือนมี.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 68.5 จากระดับ 66.0ในช่วงปลายเดือนก.ค. รวมทั้งได้รับปัจจัยลบจากเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของประเทศญี่ปุ่นเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.7% จากที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 3.9% นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงทำให้มีแรงขายออกมาในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มพลังงาน จึงเป็นตัวกดดันการเคลื่อนไหวของทิศทางตลาดหุ้นไทย


สำหรับประเด็นการเมืองในประเทศประเมินว่าไม่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก โดยให้น้ำหนักกับทิศทางของต่างประเทศและตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามมอง

นอกจากนี้ประเมินว่าดัชนีฯในสัปดาห์นี้มีโอกาสแตะระดับ 620 จุดได้ กลยุทธ์การลงทุนแนะลดพอร์ตลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือ ซื้อหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล

"ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงวันนี้ก็เป็นไปตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง อาทิ ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง 1% เพราะได้รับปัจจัยลบจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาไม่ดี อีกทั้งดัชนีฯก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเยอะพอสมควรแล้ว ทำให้มีแรงขายออกมาบ้าง ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ ค่าเงินดอลลาร์ แต่ทั้งนี้คาดว่าดัชนีฯในช่วงนี้คงปรับตัวลงไม่ลึก เพราะเมื่อดัชนีฯปรับตัวลดลงก็จะมีคนเข้ามาซื้อ ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าหุ้นไทยยังถูกอยู่ แต่ทั้งนี้คงต้องเลือกดูเป็นรายตัว"มล.ทองมกุฎ กล่าว

ด้านนายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า สัญญาณเทคนิคของดัชนีในช่วงสัปดาห์นี้เป็นเชิงลบ ดังนั้นนักลงทุนควรลดพอร์ตการลงทุนและหาทางถือเงินสดให้ได้มากที่สุด หรือดัชนีรีบาวน์ขึ้นให้หาจังหวะขายทำกำไร

ทั้งนี้ต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์และดัชนีในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในวันนี้ปรับตัวลดลงทุกตลาด จึงมองว่าความเสี่ยงมีมากขึ้น ทั้งนี้ประเมินวแนวรับ 624 จุด แนวต้าน 645 จุด

****โบรกฯ ประสานเสียงหากอยากเล่นหุ้น ซื้อหุ้นปันผลดีที่สุด

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำซื้อสะสมหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และ เศรษฐกิจในประเทศ พร้อมกับยังสามารถจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง TVO ราคาเหมาะสม 16.86 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลจ่ายเฉพาะ 6 เดือนแรกของปี 2552 คาดไว้ที่ 0.79 บาท, CPF ประกาศจ่ายปันผล 0.23 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 20 ส.ค.2552 TTA ราคาเหมาะสม 31.60 บาท ADVANC ประกาศจ่ายปันผล 3 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 25 ส.ค. 2552


สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุน SCRI แนะนำ “ซื้อสะสม” หุ้นในกลุ่มที่ประกาศจ่ายเงินปันผลสูงโดยมีอัตราผลตอบแทนผลดำเนินงาน 1H/52 สูงกว่า 4% อาทิ BCP-DR1 , SPALI ล MCS (แต่กลยุทธ์จะเป็นการขายทำกำไรก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD) และ ทยอยขายทำกำไร กลุ่มอสังหาฯ ที่ราคาสูงกว่าราคาเหมาะสม LH , SIRI

SCRI ยังคงคำแนะนำให้ขายทำกำไรส่วนที่ 2 (จากทั้งหมด 3 ส่วน) ของพอร์ตลงทุนอิงตามระดับดัชนีที่ 660 จุด แต่มีจุด stop loss สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ที่ระดับ 630 – 635 จุด

บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ระบุว่า หลังจบฤดูกาลประกาศงบคาด SET ระยะสั้นจะเริมพักฐาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศที่ยังเป็นกลาง ทำให้คาดการปรับตัวของ SET จะยังอยู่ในลักษณะ Sideways ไม่ได้ดิ่งลงแรง ดังนั้น ยังพอเล่นสั้นได้ แต่ให้จำกัดพอร์ตลดความเสี่ยงโดยปรับกลยุทธ์จากซื้อสะสมขาขึ้น เป็น Trading Buy แทน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น 30%(เดิม 50%) โดยแนะนำขายทำกำไรหุ้นที่ประกาศงบแล้วไปแล้วและหมดประเด็น และโยกเงินมา TradingBuy ตามภาวะตลาด โดยเน้นหุ้นมีประเด็น เช่น หุ้นที่รอขึ้น XD หรือ หุ้นที่แนวโน้มครึ่งปีหลังยังดี โดยเราแนะนำ CPF BCP TMB TTA TOP IRPC ADVANC เพิ่มเติม THAI บล.เคทีซีมิโก้ ระบุว่า โดยเน้นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลระหว่างกาลดี อาทิ BCP D/Y 6.5% , AIT D/Y 6.3% , SPALI D/Y 5.2%

บล.พัฒนสิน ระบุว่า กลยุทธ์ลงทุน หากต้องการซื้อเพิ่มเฉพาะหุ้นปันผลดี ได้แก่ SPALI ,TVO , MCS, CPF, ADVANC, BECL , TOP และ PSL


ปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯในสัปดาห์นี้

ปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯในสัปดาห์นี้

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้
โดยวันอังคารกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ค.
และลุ้นดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.
วันพุธกระทรวงพลังงานจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์

วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยตัวเลขว่างงานประจำสัปดาห์
และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจประจำเดือนส.ค.
ส่งท้ายวันศุกร์สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะรายงานยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนก.ค.
และติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด !

ดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 180 จุด

ดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 180 จุด

สหรัฐ 18 ส.ค. - ความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ฉุดให้ดัชนีหุ้นสหรัฐดิ่งลงกว่า 180 จุด ส่วนราคาน้ำมันลงมาเคลื่อนไหวที่ 66 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีปรับลดลง หลังจาก โลว์คอสต์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าปลีก
เผยยอดขายของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ลดลงถึง 19%
สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากผู้บริโภคลดการใช้จ่าย เพราะไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจ
ชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอาจยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาดไว้

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ปรับลดลง 76 เซนต์ ไปปิดที่ 66.75 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.22 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 9 ต่อ 1
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.95 พันล้านหุ้น

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ 9,135.34 จุด ลดลง 186.06 จุด
แนสแดค ปิดที่ 1,930.84 จุด ลดลง 54.68 จุด
และเอสแอนด์พี ปิดที่ 979.73 จุด ลงไป 24.36 จุด

ที่มา :สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Template by - Abdul Munir | Blogging4