07 พฤษภาคม 2552

600 จุดเป้าหมายต่อไป

600 จุดเป้าหมายต่อไป
ชื่อ:  zzzz.gif ครั้ง: 92 ขนาด:  18.4 กิโลไบต์

หุ้นไทยเริงร่าวิ่งฝ่าด่าน 500 จุดแบบสบาย วานนี้ทะยานปิด 523.14 จุด บวก 16.88 จุด วอลุ่มพุ่งทะลุ 3 หมื่นล้านบาทสูงสุดในรอบปี นักลงทุนรอเวลาแรลลี่ต่อดันดัชนีฯ เด้งจอดสถานีถัดไปเป้าหมาย 600 จุด พลังงาน- แบงก์ยกขบวนหุ้นใหญ่เฮฮายกก๊วน เศรษฐกิจโลกฉายแววฟื้นตัว แถมต่างชาติยังกระหน่ำซื้อไม่เลิก ล่าสุดซื้อต่ออีกเกือบ 900 ล้านบาท หลายโบรกเกอร์เล็งปรับเป้า SET Index ขึ้นหลังจบ Q2/52 ระบุหุ้นไทยถูกสุดๆ ราคายังต่ำกว่า Book Value


และแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงทะลุด่านหิน 500 จุด โดยในห้วงสัปดาห์นี้แม้จะมีวันหยุดยาวจากหลายเทศกาลสำคัญ ทั้งวันแรงงานแห่งชาติ วันฉัตรมงคล ส่งผลให้การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต่อเนื่อง แต่ดัชนีฯ ก็ยังเคลื่อนไหวแดนบวก โดยวานนี้ (6 พฤษภาคม 2552) ดัชนีฯ ปิดที่ 523.14 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวัน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นถึง 16.88% จากวันก่อนหน้า และมีมูลค่าการซื้อขายถึง 30,862.91 ล้านบาท คิดเป็นการซื้อขายสูงสุดในรอบ 1 ปี


แรงซื้อโหมเข้ามาหนาแน่นในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ โดย 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ปิดที่ 212.00 บาท เพิ่มขึ้น 12.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,303.06 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 111.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,771.54 ล้านบาท อันดับ 3 ได้แก่ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR ราคาปิดที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,051.36 ล้านบาท อันดับ 4 ได้แก่ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ราคาปิดที่ 303.00 บาท เพิ่มขึ้น 13.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,902.37 ล้านบาท และ บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ราคาปิดที่ 19.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,467.44 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้น PTT ดันดัชนีฯ ปรับขึ้นมากที่สุดถึง 4.6793 จุด รองลงมาได้แก่ PTTEP ดันดัชนีฯ เพิ่มขึ้น 0.8768 จุด และอันดับ 3 ได้แก่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB ดันดัชนีฯ เพิ่มขึ้น 0.8402 จุด

อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่นเมื่อวานนี้เป็นผลจากจิตวิทยาลงทุน หลังนายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลาง
สหรัฐฯ (เฟด) ระบุว่าภาวะตกต่ำของตลาดที่อยู่อาศัยที่มีมายาวนานกว่า 3 ปี อาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และคาดการณ์ว่าภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลกจะสิ้นสุดได้ในปีนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นเม็ดเงินไหลจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังทิศทางของค่าเงินบาทแข็งค่า โดยฟากนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิถึง 3,815.99 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 234.95 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขายสุทธิ 4,050.94 ล้านบาท ล่าสุดวานนี้(6 พฤษภาคม 2552)นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 869.25 ล้านบาท

นอกจากนี้ กรณีคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (2553-2555)วงเงิน 1,431,330 ล้านบาท แม้ปรับลดลงจากเดิมที่ 1.56 ล้านล้านบาท ภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุน เช่นเดียวกับการจัดงาน Money Expo 2009 ที่มีขึ้นวันที่ 7 -10 พฤษภาคมนี้ ก็มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุน โดยภายในงานมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายและเป็นโอกาสสร้างกำไรให้นักลงทุน ซึ่งจากปัจจัยข่าวดีดังกล่าวส่งผลให้หลายโบรกเกอร์มีการปรับประมาณการ SET Index โดยมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และประเมินว่ามีโอกาสที่ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นแตะ 600 จุดเป็นเป้าหมายถัดไป

แต่ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูผลการตรวจสอบสถานภาพทางการเงิน (Stress Test) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เตรียมเปิดเผยทางการในวันนี้ (7 พฤษภาคม 2552) ซึ่งล่าสุดมีข่าวอย่างไม่เป็นทางการระบุว่ามีสถาบันการเงินอย่างน้อย 10 แห่งจาก 19 แห่งว่าอาจมีเงินทุนไม่เพียงพอตามมาตรฐานและต้องมีการเพิ่มทุนรอบใหม่ แต่นักลงทุนรับรู้แล้ว

ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังไม่นิ่ง มีประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) การนิรโทษกรรมนักการเมือง ท่าทีของกลุ่มแนวร่วมประชาธิไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากนี้ ต้องติดตามการประชุมผู้นำอาเซียนในวันที่ 13 -14 มิถุนายนนี้ ที่จ.ภูเก็ต รวมถึงการประชุมกลุ่มโอเปคเพื่อพิจารณาว่าจะลดกำลังการผลิตหรือไม่ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ก็อยู่ระหว่างความสนใจของนักลงทุนว่าจะมีการแพร่ระบาดซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้หรือไม่

ย้อนดูความเคลื่อนไหว SET Index พบว่าในวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของปีก่อน ดัชนีฯ ปิดที่ 449.96 จุด จากนั้นปรับลดลงต่ำสุดที่ 408.78 จุดในวันที่ 3 มีนาคม 2552 ก่อนที่ยืนเหนือระดับ 500 จุดอีกครั้งต้นเดือนพฤษภาคม โดยวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 ดัชนีฯ ปิดที่ระดับ 506.26 จุด และวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 ดัชนีฯ ปิดที่ระดับ 523.14 จุด

****บล.บีฟิท คาดตลาดหุ้น Q2/52 เริ่มฟื้น หวังเห็น SET Index แตะ 550-600 จุด


นายเดชา แปงคำ กรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาสที่ 2/2552 หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับดัชนีฯ ปรับขึ้นอย่างต่อนื่องและมีวอลุ่มเข้ามาอย่างหนาแน่น ดังนั้นจึงคาดว่าวอลุ่มเทรดเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท/วัน ลดลงจากปีก่อนที่ 16,000-18,000 ล้านบาท/วัน ส่วน SET Index ประเมินว่าจะอยู่ที่ 550-600 จุด

' มอง Q2/52 ภาวะตลาดหุ้นน่าจะเริ่มดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวและประธานเฟด ออกมากล่าวว่าการตกต่ำของเศรษฐกิจอาจใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และคาดการณ์ว่าภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลกจะสิ้นสุดได้ในปีนี้ ส่วนวอลุ่มเทรดก็ดีขึ้นน่าจะช่วยชดเชยวอลุ่มในช่วงไตรมาส 1 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อวันได้ ' นายเดชา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยสดใสแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ โรงแรมและโรงพยาบาล ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT,บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ,ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK,ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี

' ถ้าการท่องเที่ยวฟื้นหุ้น MINT ก็น่าสนใจลงทุน กลุ่มโรงพยาบาลก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าลงทุน ส่วนพลังงานก็แนะนำ 3 ตัวเด่นๆ คือ PTT ,PTTEP, BANPU ด้านแบงก์ก็แนะนำ 3 ตัวคือ SCB, KBANK, BBL ' นายเดชา กล่าว


****บล.โกลเบล็ก มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ชี้ปีนี้อาจเห็นจุดสูงสุดที่ 500-600 จุด


นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า เชื่อว่าในขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดที่ระดับ 380 จุดแล้ว ซึ่งในระยะต่อไปมองว่าตลาดหุ้นจะมีลักษณะ Side Way Up ซึ่งมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับสูงสุด โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 500-600 จุด ซึ่งการเติบโตหลักๆ มาจากปัจจัยในประเทศ

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้จะติดลบ 3-5% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 1/2552 ลดลงเหลือ 8 พันล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 45% จากปีก่อน อีกทั้งมองว่าบทบาทนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มลดน้อยลง จากการที่มีเปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีความอนุรักษ์นิยมมากขึ้น

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะต้องติดตาม คือ สถานการณ์ทางการเมืองว่าจะมีแนวโน้มและทิศทางอย่างไร อีกทั้งติดตามในโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่จะสามารถทำให้เกิดการจ้างงาน ขณะที่ปัจัจยตลาดหุ้นในต่างประเทศก็อยู่ในช่วงรีบาวน์ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางดัชนีฯ ของตลาดหุ้นไทย


****บลจ. พรีมาเวสท์ มองตลาดหุ้นไทยยังน่าสน หลังราคาต่ำกว่า Book Value แนะหุ้นสื่อสารเจ๋งสุด


นางสาวศรีเนตร ฤทธิ์รงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานตลาด บลจ.พรีมาเวสท์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ เนื่องจากยังมีราคาหุ้นหลายกลุ่มที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ขณะเดียวกันพบว่ามีอัตราการเติบโตในส่วนของผลการดำเนินงาน ทั้งกลุ่มพลังงานและกลุ่มของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสวนทางกับราคาหุ้นที่ถือว่าปรับตัวลดลงมาค่อนข้างแรง จึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ

ทั้งนี้ หากจะพิจารณาถึงรายกลุ่มจะพบว่า กลุ่มโทรคมนาคมน่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากในปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่หนุนให้กับผลงานในหุ้นกลุ่มโทรคมนาคมเช่นกัน ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างมาก


****บล.บัวหลวงเตรียมปรับเป้า SET Index ใน Q2/52 หลังหุ้นวิ่งแรงทะลุ 500 จุด


นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ได้ประเมินเป้าดัชนีฯปีนี้อยู่ที่ 470-480 จุด และแม้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นยืนเหนือ 500 จุด แต่ยังไม่มีการปรับประมาณการใหม่ โดยประเมินว่าดัชนีฯ จะปรับขึ้นถึงระดับ 600 จุดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และตัวแปรอื่นที่ส่งผลต่อดัชนีฯ โดยจะรอให้จบไตรมาส 2/52 ก่อน จึงจะมีการทบทวนเป้าตัวเลขดัชนีฯ อีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน แนะถือในหุ้นขนาดใหญ่ และซื้อในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คือ ITD และหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ ได้แก่ ASP, KEST และ PHATRA


****บล.ฟาร์อีสท์ คาด พ.ค.นี้ดัชนีฯ วิ่งกรอบแนวต้าน 530 จุด แนวรับ 480 จุด แนะจับตาปัจจัยใน-นอกใกล้ชิด


นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธการลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการปรับประมาณการณ์ของดัชนีฯ ในรอบปี เนื่องจากจำเป็นต้องดูการเคลื่อนไหวของตัวเลขเศรษฐกิจจากทั้งในและนอกประเทศอีกระยะ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งระยะสั้นและยาวโดยวงเงินประมาณ 1.56 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ยังคงมองว่าดัชนีฯ ในเดือน พ.ค. น่าจะมีโอกาสไต่ระดับแนวต้านที่ 530 จุด และแนวรับที่ 480 จุด โดยแนะนำให้เก็งกำไรหุ้นที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มากนัก อาทิ MCOT, BEC, TTA, MINT, KBANK และ ADVANC

"ผมมองว่าสัปดาห์นี้ดัชนีฯ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงประมาณ 27% อีกทั้งยังมีการปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นมากเป็นการสะท้อนว่ามีเม็ดเงินไหลเข้าหุ้นจำนวนพอสมควร โดยแนะให้นักลงทุนระยะสั้นจับตาดูเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศอย่างใกล้ชิดว่ารัฐบาลแต่ละประเทศมองเศรษฐกิจของประเทศตนในทิศทางใด ซึ่งขณะนี้กลุ่มพลังงาน อสังหาฯ และปิโตรฯ เริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไปแล้ว โดยให้นักลงทุนระวังการเทขายเพื่อทำกำไร ส่วนนักลงทุนระยะกลางและยาว มองเศรษฐกิจทั่วโลกก่อน เนื่องจากยังอ่อนตัวและยังมีปัจจัยลบที่ยังไม่ชัดเจนขณะนี้ ได้แก่ ไข้หวัดพันธุ์ใหม่ 2009 (H1N1) ที่มีการระบาดข้ามทวีป โดยกระจายไปแล้ว 19 ประเทศ และผู้เสียชีวิตกว่า 159 ราย โดยจะเป็นผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวแต่ละประเทศ ซึ่งหากว่าตลาดฯ มีการปรับฐานเมื่อใด ปัจจัยลบดังกล่าวจะสะท้อนออกมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง "นายวีระชัย กล่าว



ดัชนีพุ่งความเสี่ยงเพิ่ม แต่ยังถือทำกำไรต่อไปได้

บล. เกียรตินาคินชี้ดัชนีพุ่งความเสี่ยงเพิ่ม แต่ยังถือทำกำไรต่อไปได้

วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถปิดที่ระดับสูงสุดของวันนี้ได้ อาจทำให้ความเสี่ยงของผู้ที่จะเข้าลงทุนในขณะนี้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังสามารถถือไว้เพื่อทำกำไรต่อไปอีกได้ (Let Profit Run)

อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้จะเปิดทำการอีกเพียง 1 วัน ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่น ๆ จะเปิดทำการอีก 2 วัน ประกอบกับผลการทดสอบ Stress Test ของสถาบันการเงินสหรัฐฯยังไม่ชัดเจน ทำให้ดัชนีหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนได้ในระยะนี้ ดังนั้น หากดัชนีในวันนี้ยังปรับเพิ่มขึ้น ก็ควรระมัดระวังในการขายทำกำไรด้วย และถ้าเข้าไล่ราคาในช่วงนี้ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยง และควรตัดขาดทุนเมื่อตลาดมีข่าวลบเกิดขึ้น

สำหรับหุ้นบางตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว เช่น บมจ. ปตท. (PTT) และ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) นับเป็นการสะท้อนของราคาตามราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ทั้งยังเป็นผลมาจากการคาดการณ์ผลประกอบการที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดย บล. เกียรตินาคินยังแนะนำให้ถือลงทุนหุ้นดังกล่าวต่อไปได้ และอาจขายออกมาในระดับราคาที่พอใจ เพราะยังมองว่าตลาดยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ระดับสูงสุดของวันที่ 523.14 จุด เพิ่มขึ้น 16.88 จุด หรือ 3.33% มาอยู่ที่ 30,862.91 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 808.71 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 853.32 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 1,662.03 ล้านบาท


- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th


ลุ้น!ขึ้นต่อ

ลุ้น!ขึ้นต่อ

ดัชนีหุ้นวันที่ 6 พ.ค. 52 ปิดที่ 523.14 จุด เพิ่มขึ้น 16.88 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 30,862.91 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 869.25 ล้านบาท

ฝ่าย วิเคราะห์ บล.บัวหลวงประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะสั้น คาดว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้จากกระแสเงินทุนไหลเข้าเอเชียต่อเนื่อง เพราะมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจกว่าตลาดอื่น

แนะ กลยุทธ์การลงทุน ให้ถือหุ้นขนาดใหญ่และซื้อหุ้นกลุ่มรับเหมา ก่อสร้างคือ ITD และหุ้นหลักทรัพย์ ได้แก่ ASP, KEST และ PRATRA ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 510 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 530 จุด

ฝ่าย วิเคราะห์ บล.ไซรัสมองแนวโน้มตลาดว่า ยังสามารถปรับตัว เพิ่มขึ้นได้อีกตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ช่วงปลายสัปดาห์นี้ที่จะเป็นช่วงวันหยุดยาวอาจทำให้นักลงทุนเทขายทำกำไร ออกมา จากความวิตกเกี่ยวกับผลสรุปของ Stress Test อย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางสหรัฐฯที่มองว่า หลายสถาบันการเงินยังมีปัญหาด้านเงินทุน

แนะกลยุทธ์ หากลงทุนระยะสั้นแนะให้ขายทำกำไรและรอเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดพักฐาน ส่วนการลงทุนระยะยาวแนะให้ขายปรับพอร์ตด้านเทคนิคให้แนวรับที่ 515-510 จุด แนวต้านอยู่ที่ 525-530 จุด

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ชี้ว่า นักลงทุนยังคงจับตามองการประกาศผลของ Stress Test ว่า สถาบันการเงินสหรัฐฯต้องเพิ่มทุนหรือไม่ ซึ่งล่าสุดรัฐบาลออกมาประกาศให้เงินเพิ่มทุนแก่สถาบันการเงินไปแล้ว 10 แห่ง วงเงิน 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และตัวเลขการว่างงานที่นักลงทุนยังคงต้องติดตาม

ทั้งนี้มองว่าดัชนี หุ้นไทยเดือน พ.ค.น่าจะไต่ระดับแนวต้านที่ 530 จุด และแนวรับที่ 480 จุด โดยแนะเก็งกำไรหุ้นที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มาก เช่น MCOT, BEC, TTA, MINT, KBANK, ADVANC เป็นต้น

ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน อสังหาฯ และปิโตรฯ เริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไปแล้ว ให้ระวังแรงขายทำกำไร.


อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4