12 มิถุนายน 2552

ต่างชาติขายทิ้งหุ้น TSTH

ต่างชาติขายทิ้งหุ้นทาทาสตีล
จีสตีลแจงทวงหนี้ได้1.8พันล.



สถาบันต่างชาติ ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นทาทาสตีล โดยเฉพาะโกลด์แมนแซคส์-สเตท สตรีทแบงก์-นอร์ทรัสต์นอมินีส์ โละขายเกลี้ยง จากเดิมเคยถือลงทุน ขณะที่เอชเอสบีซี นอมินี ขายกว่า 100 ล้านหุ้น ด้านโบรกเกอร์ แนะเก็งกำไร เหตุราคาวิ่งขึ้นมาแรง 3 เดือน 116% ด้านจีสตีล แจงตลาดตามหนี้ได้ราว 1.8 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 52%

จากการสำรวจโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุดของบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) ณ วันที่ 1 มิ.ย.2552 เปรียบเทียบกับการปิดสมุดทะเบียนครั้งก่อน ณ วันที่ 30 มิ.ย.2551 พบว่าสถาบันการเงินต่างประเทศไทย ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นทั้งหมดจากเดิมที่เคยถือลงทุนในระดับสูง และมีบางแห่งที่ทยอยลดสัดส่วนลง

สถาบันที่ได้ลดสัดส่วนการถือครองลงทั้งหมด ได้แก่ โกลด์แมนแซคส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จากเดิมที่เคยถือหุ้น 61.14 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.75% เคซีส์ แบงก์ ลักเซมเบิร์ก จากเดิมเคยถือหุ้น 60.76 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.74% สเตท สตรีท แบงก์ แอนด์ ทรัสต์ คอมปะนี ฟอร์ ออสเตรเลีย จากเดิม 45.91 ล้านหุ้นคิดเป็น 0.56 % สเตท สตรีท แบงก์ แอนด์ ทรัสต์ จากเดิม 44.90 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.55% นอร์ทรัสต์ นอมีนีส์ จากเดิม 41.03 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.50% ขณะที่ เอชเอสบีซี (สิงคโปร์) นอมีนีส์ พีเออี ได้ทยอยลดสัดส่วนการถือครอง ล่าสุดถือหุ้น 46 ล้านหุ้นคิดเป็น 0.56% จากเดิมที่เคยหุ้น 146.18 ล้านหุ้นคิดเป็น 1.79%

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2552 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 116.87% จากราคา 0.83 บาท เป็น 1.80 บาท ขณะที่ราคาเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 1.86 บาท ณ 2 มิ.ย.2552 และต่ำสุดที่ 0.82 บาท ณ 1 เม.ย.2552 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.34 บาทต่อหุ้น
บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า บริษัทได้แนะนำให้ขายหุ้นทาทา สตีล เนื่องจากประเมินว่าจะเป็นหลักทรัพย์ที่มีโอกาสจะถูกถอดออกจากการคำนวณในดัชนี SET 50 index ที่จะใช้ระหว่างเดือนก.ค.ถึง สิ้นธ.ค.2552 นี้

นักวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย แนะนำให้เก็งกำไรหุ้นทาทา สตีล โดยราคาเหมาะสมของหุ้นในปีนี้อยู่ที่ 1.70 บาท เนื่องจากประเมินว่าบริษัทจะได้รับผลบวกจากการกระตุ้นการก่อสร้างของรัฐบาล เพราะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเท่ากับ 35-40% ซึ่งแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกปี 2552 มีความผันผวนลดลงและเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ประกอบกับนโยบายไม่เก็งกำไรในสินค้าคงเหลือ ทำให้บริษัทสามารถบริหารส่วนต่างราคากับต้นทุนวัตถุดิบดีขึ้น และมีระดับอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงกว่า 13.15%

รวมถึงกำลังการผลิตและราคาขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในการผลิตเหล็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหนุนให้กำไรใน 3 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างมั่นคง 16% โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิปี 2552 อยู่ที่ 1.52 พันล้านบาท และปี 2553 เท่ากับ 1.82 พันล้านบาท และปี 2554 อยู่ที่ 2 พันล้านบาท เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิ 81 ล้านบาทในปี 2551

ขณะที่นายริวโซ โอกิโน กรรมการ บริษัท จี สตีล แจงตลาดถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ของ อุตสาหกรรมเหล็ก และรายงานความคืบหน้าในการติดตามหนี้การขายเศษเหล็ก ตามที่ผู้สอบบัญชี ไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทในปี 2551 ต่อเนื่องมาจนถึง งบการเงินไตรมาส 1 ปี 2552 ว่า

สถานการณ์ของอุตสาหกรรมเหล็กในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผล มาจากการผลักดันนโยบายการใช้จ่ายโดยตรงของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนใน โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนอุตสาหกรรม เหล็กภายในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากเดิมมาก และมีแนวโน้ม ที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้รับอานิสงส์ต่อการดำเนินกิจการอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนประเด็นลูกหนี้ 3 รายซื้อวัตถุดิบ (เศษเหล็ก) คุณภาพต่ำที่โรงงานใช้ไม่ได้ เก็บสะสม มาหลายปีและยังไม่ถึงกำหนดชำระเงิน จำนวน 3,582 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้แล้วเป็นจำนวน 358 ล้านบาทนั้น ขณะนี้บริษัท ได้รับชำระหนี้ รวมถึงสรุปแผนการ ชำระหนี้อย่างเป็นรูปธรรมแล้วคิดเป็น 52% จากจำนวนยอดหนี้ทั้งหมด สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือบริษัทอยู่ระหว่างการเฝ้าติดตามทวงถามอย่างใกล้ชิด


”ซิโน-ไทยฯ”มาแรง

”ซิโน-ไทยฯ”มาแรง
คว้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 2 ไปครอง

การเมืองเปลี่ยน ”ซิโน-ไทยฯ”มาแรง คว้างานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 2 ไปครอง เสนอราคาต่ำสุด 15,320 ล้าน รฟม.ต่อรองให้เหลือ 13,482 ล้านบาท แต่ยังเกินกรอบวงเงินครม. 12,602 ล้าน อยู่ 880 ล้าน ดีเดย์วันที่ 18 มิ.ย.เปิดซองราคาสัญญาที่3ต่อ อีก 5,962 ล้าน เริ่มก่อสร้างภายในปีนี้

นายชูเกียรติ โพธยานุวัตร รองผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดเผยว่า ผลการเปิดซองราคางานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ สัญญาที่2 จากสะพานพระนั่งเกล้า-คลองบางไผ่ ระยะทาง 11 กิโลเมตร ปรากฎว่าบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยเสนอราคา 15,320 ล้านบาท อันดับที่2 กลุ่มกิจการร่วมค้าCKTC(บมจ.ช.การช่าง-บจ.โตคิว คอนสตรัคชั่น) เสนอ 15,600.5 ล้านบาท และดับดับที่3 กลุ่มกิจการร่วมค้าITON(บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์-โอบายาชิ-เนาวรัตน์พัฒนาการ) เสนอ16,350.83 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ราคาที่บมจ.ซิโน-ไทยฯเสนอนั้นยังสูงกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติ 12,602 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาจะไปต่อรองกับผู้รับเหมาต่อไป คาดว่าจะสามารถต่อรองราคาได้อีก 12% คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 13,482 ล้านบาท เท่ากับสัญญาที่1 ที่กลุ่มช.การช่างยอมลดราคาให้จาก 16,724.50 ล้านบาท เหลือ 14,842 ล้านบาท หลังจากนั้นเสนอให้องค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญ่ปุ่น(ไจก้า) พิจารณา

“เมื่อรู้ผู้เสนอราคาต่ำสุดสัญญาที่2แล้ว สิ่งที่รฟม.จะทำคู่ขนานคือเปิดสัญญาที่3 งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ 4 แห่ง กรอบวงเงิน 5,962 ล้านบาท ต่อทันทีซึ่งไจก้าอนุญาตแล้ว คาดว่าจะเปิดซองราคาได้วันที่ 18 มิถุนายนที่จะถึงนี้”

นายชูเกียรติกล่าวอีกว่า สำหรับสัญญาที่6 เป็นงานวางรางซึ่งอยู่ในกรอบวงเงิน 36,055 ล้านบาทที่ครม.อนุมัตินั้น จะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จไม่เกิน 8 เดือนนี้ ปัจจุบันกำลังรอการยืนยันการให้กู้เงินจากไจก้า คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ทั้งนี้รฟม.จะพยายามไม่ให้ค่าก่อสร้างทั้ง 4 สัญญาเกินจากกรอบวงเงิน 36,055 ล้านบาทตามที่ครม.อนุมัติไว้ แต่ถ้าหากเกินจะต้องขอให้ครม.ขยายกรอบวงเงินเพิ่มให้ คิดว่าคงเกินไม่มาก

ทั้งนี้ในเดือนกรกฎาคมจะเสนอภาพรวมทั้งหมดให้ครม.พิจารณา เพื่อเซ็นสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมา จะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในปีนี้ คาดว่าสัญญาที่1 จะเซ็นสัญญาเดือนกรกฏาคม จะเริ่มสร้างเดือนสิงหาคม สัญญาที่2 เซ็นสัญญาเดือนตุลาคมและเริ่มสร้างเดือนพฤศจิกายน ส่วนสัญญาที่3 เซ็นสัญญาเดือนพฤศจิกายนและก่อสร้างเดือนธันวาคม ใช้เวลาก่อสร้าง 3.6 ปี



ต่างชาติกลับมาซื้อหนัก

ต่างชาติกลับมาซื้อหนัก

กลับมาซื้อสุทธิเกินสองพันล้านบาทอีกครั้ง
ในขณะที่กองทุนเริ่มกลับมาสมทบซื้อต่อเนื่อง จับตาว่าจะเข้าสู่การทำ Window Dressing ตามที่คาด หรือไม่ ?

เช่นเดิม...
ช่วงนี้ติดตาม2Factor ใหญ่ๆ คือ Fund Flowต่างชาติ และ Window dressing !!



ชื่อ:  ScreenHunter_492.gif ครั้ง: 366 ขนาด:  17.6 กิโลไบต์

ที่มา:ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


หุ้นไทยปิดบวก 0.40%

หุ้นไทยปิดบวก 0.40% บล. ธนชาตมองเป็นโอกาสขายทำกำไร


นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล. ธนชาต กล่าวว่า การที่ดัชนีหุ้นและราคาหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นเร็วในช่วงที่ผ่านมา จึงมีความเสี่ยงที่จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาได้ โดยแนะนำว่า นักลงทุนระยะสั้นควรติดตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะจะมีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้นโดยตรง ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นติดต่อกันหลายวัน จะทำให้มีแรงเทขายทำกำไรครั้งใหญ่ออกมาได้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องติดตามกระแสเงินทุนต่างชาติที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยด้วย โดยหากยังมีเงินทุนต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง ก็อาจทำให้หุ้นไทยสามารถเคลื่อนไหวทะลุ 640-650 จุดได้

นายพิชัยแนะนำว่า การปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้น ถือเป็นจังหวะที่ดีในการขายทำกำไร เพื่อถือเงินสดไว้รอซื้อในช่วงปรับฐานลง หรือนักลงทุนอาจเลือกลงทุนในหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ (Defensive Stock) ที่ราคายังถูกและกระแสเงินสดยังมีแนวโน้มที่ดีก็ได้


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดที่ 627.07 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ 0.40% ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 34,257.74 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 102.59 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 2,159.63 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยในประเทศ ขายสุทธิ 2,262.22 ล้านบาท



ผันผวน!!

ผันผวน!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 11 มิ.ย.52 ปิดที่ 627.07 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 34,255 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,159 ล้านบาท

ตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนขายทำกำไรสลับออกมาตลอดทั้งวันในจังหวะที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้น

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน มองว่า กรณีที่มอร์แกนสแตนเลย์ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า ดัชนีตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น

โดยข้อมูลจากเอ็มเอสซีไอระบุว่า ปีนี้ดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดเกิดใหม่ ได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว 39% สูงกว่าดัชนีเอ็มเอสซีไอเวิลด์ที่เพิ่มขึ้นเพียง 7.3% ประเด็นดังกล่าวได้ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน

ขณะที่มองแนวโน้มตลาดจะยังคงผันผวนและมีโอกาสปรับฐานลง แนะกลยุทธ์ ให้เทขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น

ฝ่ายกลยุทธ์ บล.ฟาร์อีสท์ ชี้ว่า ตลาดได้รับผลดีที่รัฐบาลเตรียมคลอดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ 1.4 ล้านล้านบาท คาดว่าตลาดมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ

ส่วนการเตรียมเบิกจ่ายเช็คช่วยชาติรอบ 2 มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท จะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพาณิชย์และบันเทิง จึงแนะให้เก็งกำไร รวมทั้งหุ้นพลังงานที่ยังได้รับแรงส่งจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น

ปิดท้าย มีข้อมูลนับจากต้นปีถึง 11 มิ.ย.ที่ดัชนีหุ้นบวกขึ้นมาร่วม 200 จุด พบว่ามูลค่ามาร์เกตแค็ปของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาถึง 1.18 ล้านล้านบาท จากต้นปีอยู่ที่ 3.79 ล้านล้านบาท ล่าสุดขยับขึ้นมาใกล้แตะ 5 ล้านล้านบาทแล้ว

ขณะที่ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยขึ้นมาอยู่ที่ 21.24 เท่า จากต้นปีที่อยู่ที่ระดับ 7.46 เท่า

"ชนิตร ชาญชัยณรงค์" ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหุ้นแนะ ให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานมากกว่าดูค่าพี/อี และยอมรับว่าหุ้นใหญ่ 100 อันดับแรกราคาอาจขึ้นมาสูงแล้ว

จึงอยากให้นักลงทุนหันมาพิจารณาหุ้นขนาดกลางที่มาร์เกตแค็ป ต่ำกว่า 8 พันล้านบาท รวมทั้งหุ้นในตลาด mai ซึ่งยังมีหุ้นดีๆที่น่าสนใจลงทุนอีกมาก.


อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4