27 พฤษภาคม 2552

เศรษฐกิจไทยมีโอกาส "ถึงจุดต่ำสุดแล้ว "

เศรษฐกิจไทยมีโอกาส "ถึงจุดต่ำสุดแล้ว "ตามทิศทางดอกเบี้ย


รายงานโดย :สุกิจ อุดมศิริกุล:


ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะมานำเสนอในสัปดาห์นี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจไทย

โดยวานนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2552 ของไทยลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2551 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ และถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจาก GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส โดยไตรมาส 4/2551 นั้น GDP ของไทยลดลงลบ 6.1%

คำถามสำคัญ คือ เศรษฐกิจไทยผ่านจุดที่แย่ที่สุดหรือยัง

ในความเห็นของผมประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสลดลงต่ำสุดแล้ว จากตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2552 ที่ติดลบ 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ในไตรมาส 2-4 จะฟื้นตัวขึ้นเป็นลบ 6.8% ลบ 4.5% และ 1.5% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าการคาดการณ์เดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2/2552 ในแง่การเปรียบเทียบแบบไตรมาสเทียบไตรมาสก็คาดว่าในไตรมาส 2/2552 GDP ของไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวในด้านบวกได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถหลุดพ้นภาวะถดถอยได้
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจนั้นคงไม่เต็ม 100% ทั้งนี้เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องการบริโภค และการลงทุนของทั้งภาครัฐบาลและเอกชนที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะภาครัฐบาลที่ในปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำเป้า อาจส่งผลให้การใช้จ่ายและลงทุนล่าช้า สำหรับในด้านที่คาดว่าจะฟื้นตัว คือ การบริโภคของเอกชน ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการอัดฉีดเงิน 2,000 บาท ที่เริ่มต้นในเดือนเม.ย. ซึ่งคงต้องรอดูผลว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน เนื่องจากในช่วงดังกล่าวเกิดความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มขึ้น ประเด็นต่อมาคือ การผลิตด้านอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากคำสั่งซื้อมีการฟื้นตัว



สาเหตุที่ GDP ไตรมาส 1/2552 ต่ำกว่าคาดการณ์

หลังจากผมศึกษาดูรายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2552 แล้วพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจลดลงมากกว่าคาดการณ์ คือ รายจ่ายเพื่ออุปโภคและบริโภคของรัฐบาลที่ขยายตัว ต่ำกว่าคาดการณ์ และการลงทุนของภาครัฐบาลที่ลดลงสวนทางกับ ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นเป็นผลจากการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประเด็นที่อยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตอีกครั้ง คือ บทบาทของรัฐบาลในการช่วยพยุงเศรษฐกิจดูเหมือนจะขาดประสิทธิภาพในไตรมาส 1/2552 ดังนั้นจึงประเมินว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ

สัปดาห์หน้าผมจะมาเจาะลึกในประเด็นเรื่องเงินเฟ้อซึ่งบางท่านอาจจะลืมไปแล้ว แต่บางท่านยังคงเข็ดไม่หายกับราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ทั้งนี้ผมประเมินว่าเงินเฟ้อจะเป็นความเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นเหตุผลเบื้องหลังเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้ธปท. ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งที่ผ่านมา


3บลจ.เร่งขายกองทุน

ตลาดขาขึ้น-ลูกค้าแห่จอง เอื้อ3บลจ.เร่งขายกองทุน


พรีมาเวสท์เสนอขาย 2 กองทุนตราสารหนี้ใหม่ หวังโกยยอดซื้อต่อเนื่อง หลังลูกค้าตอบรับกองทุนเปิดออยล์ฟันด์ดี ดันยอดจองทะลุ 100 ล้านบาท ส่วนทิสโก้ฉวยจังหวะตลาดขาขึ้น รีบออกกองทิสโก้ไชน่า-อินเดียพ่วงแคมเปญแจกบัตรของขวัญกระตุ้นการขาย ด้านกรุงไทยรุกขายอีกเอฟไอเอฟเกาหลีใต้ 12 เดือนให้ดอกเบี้ย 2.06%


นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บลจ.พรีมาเวสท์ เปิดเผยว่า หลังจากเสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดพรีมาเวสท์ ออยล์ ฟันด์ (POIL) แก่ผู้ลงทุน ช่วงวันที่ 7-26 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้อีกครั้งวันที่ 29 พ.ค.นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้พรีมาเวสท์ยังส่งกองทุนใหม่อีก 2 กองทุนเสนอขายแก่ผู้ลงทุนต่อเนื่องทันที คือกองทุนเปิดพรีมาเวสท์เอฟไอเอฟ 9M 1 หรือ PFIF9M1 อายุโครงการเพียง 9 เดือน เสนอขาย 26 พ.ค. - 1 มิ.ย.นี้ โดยกองทุน PFIF9M1 นี้ มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ของรัฐวิสาหกิจของประเทศเกาหลีใต้

โดยผลตอบแทนของตราสารที่คาดว่าจะได้รับรวมกัน คือ ประมาณ 3% ต่อปี เมื่อหักค่าใช้จ่าย 0.35% ต่อปี ประมาณผลตอบแทนที่กองทุนจะได้รับคือ 2.65% ต่อปี โดยกองทุน PFIF9M1 ได้ทำการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนไว้

ส่วนอีกกองทุนคือกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ฟิกซ์อินคัม 3M 1 หรือ KPF3M1 อายุโครงการเพียง 3 เดือน เสนอขาย 2-9 มิ.ย.นี้ มีนโยบายการลงทุนเน้นลงทุนตราสารหนี้ออกโดยสถาบันการเงิน และหรือตราสารหนี้ภาคเอกชน มีความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- ขึ้นไป

ด้านนายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการลดหย่อนภาษี และการลงทุนในกอง RMF ตราสารหนี้และตราสารทุนในประเทศเพียงอย่างเดียวนั้น “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ” ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

โดยช่วงนี้เหมาะจะเข้าลงทุนในจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นสองประเทศที่ยังมีพื้นฐานเศรษฐกิจแกร่ง และเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวเห็นได้ชัด และตลาดหุ้นทั้งสองประเทศปรับขึ้นพอสมควรแล้ว ตั้งแต่ต้นปีผลการดำเนินงานของกองทุนปรับขึ้นแล้วกว่า 33% ถือว่าเป็นสัญญาณดีและเชื่อว่าหุ้นทั้งสองประเทศมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้บริษัทได้เสนอโปรโมชั่นพิเศษตั้งแต่ 1 มิ.ย. ถึง 31 ก.ค.ปีนี้ ให้ผู้ลงทุนได้บัตรของขวัญจากท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต มูลค่า 100 บาท สำหรับเงินลงทุนทุกๆ 15,000 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าสูงสุด 3,000 บาท

ส่วนนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 12 เดือน 3 (KTFF12M3) ระหว่างวันที่ 27 พ.ค. - 2 มิ.ย.นี้ อายุโครงการ 1 ปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท เป็นกองทุนมีนโยบายลงทุนตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก และหรือตราสารทางการเงินต่างประเทศที่ได้ความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับลงทุนได้

โดยจะลงทุนในสถาบันการเงินภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ ได้แก่ KDB, K- EXIM และ KOOKMIN BANK ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดทั้งด้านสินเชื่อและเงินฝากสูงสุดในเกาหลีใต้ และยังพิจารณาลงทุนใน MSB BOND ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ คาดว่าผู้ถือหน่วยจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 2.60% ต่อปี


ดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 190 จุด

ดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 190 จุด

สหรัฐ 27 พ.ค. - ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น
ช่วยให้ดัชนีหุ้นสหรัฐกลับมาพุ่งขึ้นกว่า 190 จุด

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นอย่างคึกคักจากแรงซื้อหนาแน่นในหุ้นกลุ่มบลูชิพ
หลังข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนที่ผ่านมา
พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 54.9 มากกว่าที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
ทำให้เชื่อว่าผู้บริโภคเริ่มจะเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศ และกลับมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันอีกครั้ง

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.38 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 1
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.11 พันล้านหุ้น

ข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์และดัชนีราคาผู้บริโภคที่ดีเกินคาด
ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทสร้างบ้านและบริษัทค้าปลีกดีดตัวขึ้น
โดยหุ้นเจซี เพนนี ปิดบวก 6.5%
หุ้นเบสท์ บาย ปิดบวก 5.3%
ส่วนหุ้นเคบี โฮม ปิดบวก 5.9%
หุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ปิดพุ่ง 5.1%

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นหลังจากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นแอปเปิล
โดยหุ้นแอปเปิลปิดบวก 6.8%

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ ไปปิดที่ 62.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.ปีที่แล้ว

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 8,473.49 จุด เพิ่มขึ้น 196.17 จุด
แนสแดค ปิดที่ระดับ 1,750.43 จุด เพิ่มขึ้น 58.42 จุด
และ เอสแอนด์พี ปิดที่ระดับ 910.33 จุด เพิ่มขึ้น 23.33 จุด

ที่มา สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ปรับฐานทำกำไร!!



ปรับฐานทำกำไร!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 26 พ.ค. 52 ปิดที่ 542.69 จุด ลดลง 7.82 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 15,163.24 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 542.04 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กมองแนวโน้มดัชนีมีโอกาสอ่อนตัวลงต่อ เพราะไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุนการลงทุน ขณะที่ต้องติดตามแผน ฟื้นฟูของเจเนอรัลมอเตอร์สคอร์ป (GM) ที่นับถอยหลังกำหนดเส้นตายการฟื้นฟูกิจการภายใต้เงื่อนไขการขอความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้

และติดตามการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและยอดขายบ้านเก่าเดือน เม.ย. ที่นักลงทุนหวังว่าจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น แต่การทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ของเกาหลีเหนือยังสร้างความวิตกให้เอเชียในทุกกรณี

ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องลุ้นคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ กรณี พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท วันที่ 3 มิ.ย.นี้ ถ้าพลิกล็อกออกมาเชิงลบละแย่แน่!!

แนะกลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนระยะกลางให้รอซื้อที่ดัชนีบริเวณ 540 จุด แต่หากดัชนีหลุด 540 จุด เปลี่ยนคำแนะนำให้หาจังหวะขายหุ้นออกมาก่อนกำหนดกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง

ส่วน บล.กรุงศรีอยุธยาแนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ซื้อเมื่อดัชนีปรับลดลง และฉวยจังหวะขายเมื่อดัชนีดีดขึ้น แนะหุ้นเด่น ให้ซื้อหุ้น เช่น CPALL และ CPF

ปิดท้ายมีข่าว CENTEL บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา พบผู้ลงทุน "รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์" รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินบัญชีและบริหาร ปรับเป้ารายได้ปีนี้เหลือโต 0-8% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 8-10% หลังวิกฤติการเมืองส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ ทำให้ยอดจองห้องพักชะลอตัว ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้ในส่วนของ Bangkok Convention Center ที่เซ็นทรัลเวิลด์ปีนี้ที่ 250 ล้านบาท

ส่วนการที่บริษัทไม่ต่อสัญญาแฟรนไชส์ร้านพิซซ่าฮัท จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯลดลง แต่จะช่วยลดภาระขาดทุนของพิซซ่าฮัท 40 ล้านบาทต่อปี และจะส่งผลดีต่อกระแสเงินสดของบริษัทให้ดีขึ้น!!


อินเด็กซ์ 51



Template by - Abdul Munir | Blogging4