07 เมษายน 2552

จอร์จ โซรอส ชี้หุ้นสหรัฐ

"จอร์จ โซรอส"ชี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังไม่อยู่ใน"ภาวะกระทิง"เหตุเศรษฐกิจสหรัฐยังหดตัวต่อเนื่อง

จอร์จ โซรอส ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับโลกแสดงความคิดเห็นว่า การซื้อขายอันคึกคักซึ่งเกิดขึ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กตลอด 4 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ไม่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะกระทิง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงหดตัวลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มหดตัวลงอย่างยืดเยื้อยาวนาน และ อาจเผชิญกับช่วงเวลาการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำในแบบที่ญี่ปุ่นเคยประสบ

"ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงอยู่ในภาวะหมี เพราะเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น วิกฤตการณ์การเงินรอบนี้รุนแรงกว่าทุกครั้งที่เราเคยประสบมา อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าตราบเท่าที่ผู้นำทั่วโลกเกาะกลุ่มกันไว้และให้ความร่วมมือกันแบบข้ามชาติ เราจะก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้" โซรอสกล่าวให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก

โซรอสมีมุมมองที่เป็นบวกต่อคณะทำงานของบารัค โอบามา โดยกล่าวว่า "โอบามาทุ่มสุดตัวในทุกๆด้าน ผมเชื่อว่ามาตรการกู้วิกฤติในภาคการธนาคารและการปรับโครงสร้างในตลาดปล่อยกู้จำนองของรัฐบาลชุดนี้จะประสบความสำเร็จ"

ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นแข็งแกร่งในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 216.48 จุด หรือ 2.79% แตะที่ 7,978.08 จุด หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนก.พ. และที่ประชุมสุดยอด G20 มีมติอัดฉีดเงินทุนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพิ่มอีก 5 แสนล้านดอลลาร์ รวมกับเงินทุนเดิมเป็น 7.5 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับช่วยเหลือประเทศที่เผชิญกับมรสุมทางเศรษฐกิจและการเงิน และจะเปิดทางให้ IMF ปล่อยกู้เงินยืมฉุกเฉินให้กับตลาดทุนทั่วโลกในกรณีที่จำเป็น

ทั้งนี้ โซรอสกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเป็นผลมาจากปัจจัยทางจิตวิทยา แต่ภาวะเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงยังคงอ่อนแอ นอกจากนี้ โซรอสกล่าวว่าปัญหาในระบบการธนาคารของสหรัฐยังไม่สามารถแก้ไขได้จนถึงขณะนี้ เนื่องจากหนี้เสียที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและมูลค่าสินทรัพย์ที่ลดน้อยลง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 สนับสนุนให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบทบาทเป็นแกนนำในการรับมือกับวิกฤตการเงินและวางระเบียบควบคุมระบบการเงินโลก และมีมติอัดฉีดงบประมาณรวม 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์การเงินและยับยั้งเศรษฐกิจโลกจากภาวะถดถอย ซึ่งครอบคลุมถึงการอัดฉีดเงินทุนให้กับ IMF เพิ่มอีก 5 แสนล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมกับเงินทุนก้อนเดิมเป็น 7.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงิน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน

ที่มา: IQ ข่าวเศรษฐกิจ 07/04/2009 14:42:17

คอหวยมีเฮ!

คอหวยมีเฮ! ออนไลน์ใกล้ออกแล้ว
[7 เม.ย. 52 - 04:50]

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้สรุปผลการศึกษาในการจำหน่ายสลากแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ด้วยเครื่องจำหน่ายสลากอัตโนมัติ หรือหวยออนไลน์ เรียบร้อยแล้วและพร้อมที่จะเสนอให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง พิจารณาในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบต่อไป

สำหรับแนวทางในการออกหวยบนดินในครั้งนี้ สคร.ได้ดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่กำหนดรูปแบบและกติกาในการจ่ายเงินรางวัล ตาม พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่กำหนดให้นำรายได้มาจ่ายเป็นเงินรางวัล 60% ส่วนที่เหลือ 28% นำส่งรายได้เข้าคลังและอีก 12% เป็นค่าบริหารจัดการ ส่วนกติกาการเล่นเกมหวยบนดินใหม่ มีทั้งหมด 5 รูปแบบ คือ 1. เลขท้าย 2 ตัวบน 2. เลขท้าย 2 ตัวล่าง 3. เลขท้าย 3 ตัวบน 4. เลขท้าย 3 ตัวล่าง และ 5. เลขท้าย 3 ตัวโต๊ด โดยสามารถซื้อหวยบนดินได้ในขั้นต่ำสุด 40 บาท สูงสุดไม่เกิน 1,000 บาทต่อหนึ่งรายการ และต้องซื้อแบบทวีคูณเท่านั้นเช่น 40 บาท 50 บาท หรือ 60 บาท ไม่สามารถซื้อ 45 บาท หรือ 105 บาทได้ เพื่อให้ง่ายแก่การคำนวณเงินรางวัล

ส่วนการกำหนดการจ่ายเงินรางวัลผันแปรตามยอดเงินรางวัลนั้น สำนักงานสลากฯจะมีการการันตีเงินรางวัลขั้นต่ำ กรณีที่มีผู้ถูกรางวัลจำนวนมากจนทำให้เงินรางวัลที่ได้รับมีจำนวนเงินน้อย กว่าที่แทง เช่นแทง 40 บาท เมื่อคำนวณตามสูตรความผันแปรแล้วอาจจะได้รับเงินรางวัลเพียง 30 บาทหรือต่ำกว่านั้น สำนักงานสลากฯจะบวกเพิ่มให้อีก 10 บาทจากยอดเงินแทงที่ถูกรางวัล เช่นแทง 40 บาท ได้รับเงินรางวัล 30 บาท ก็จะเพิ่มให้อีก 10 บาท เป็น 50 บาท เป็นต้น

นอกจากนี้ สำนักงานสลากฯยังอยู่ระหว่างการหารือกับ สคร.กรณีที่รัฐบาลจะนำเงินจากการจำหน่ายหวยบนดิน (เขียนด้วยมือ) ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วงเงิน 17,000 ล้านบาท เข้าเป็นรายได้แผ่นดินนั้นมีความจำเป็นต้องเสนอเป็นกฎหมายพิเศษหรือไม่ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังรอการตีความจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า รายได้จากหวยบนดินถือเป็นเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ หรือไม่ หากกฤษฎีกาตีความว่าเป็นรายได้ของสำนักงานสลากฯก็สามารถนำส่งเข้าคลังได้ ทันที แต่หากไม่ถือเป็นรายได้ก็ต้องออกกฎหมายพิเศษ.


ญี่ปุ่นุทุ่ม 1 แสนล้านดอลลาร์

ญี่ปุ่นุทุ่ม 1 แสนล้านดอลลาร์กระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 เม.ย.ญี่ปุ่นได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งล่าสุดเป็นมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ภายหลังนายกรัฐมนตรีทาโร่ อาโซะ ได้แนะนำให้นายคาโอรุ โยซาโนะ กระตุ้นการใช้จ่ายสาธารณะอีก 2 % ของจีดีพี และนับเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นรอบที่ 3 นับตั้งแต่เดือนต.ค.ซึ่งย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และในรอบ 35 ปี หลังจากมีการเปิดเผยตัวเลขขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสล่าสุดของปี 2008

ทั้งนี้ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้คาดว่าจะประกอบด้วยการช่วยเหลือพนักงานตก งาน,บริษัทที่ขาดเงินหมุนเวียน และกระตุ้นการใช้เทคโนโลยีพลังงานสุริยะ



รอลุ้นความเชื่อมั่น

บล. พัฒนสินแนะรอลุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้น อาจหนุนให้ดัชนีทะลุ 450 จุดได้ในสัปดาห์นี้

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ทิศทางตลาดในขณะนี้ จะเห็นได้ว่านักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นหลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีเกินคาด และที่ประชุม G-20 ยังตัดสินใจใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การที่สถาบันการเงินสหรัฐฯได้เปลี่ยนวิธีการบันทึกทางบัญชี และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มอ่อนตัว ก็ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้นด้วย

บล. พัฒนสินคาดว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 เมษายนนั้น น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% หลังGDP ของประเทศในไตรมาส 1/52 ที่น่าจะหดตัวลงอีก 5%

ในสัปดาห์นี้นักลงทุนควรจับตามาตรการที่จะเข้ามาช่วยเหลือสถาบันการเงิน สหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ และหากมีความเชื่อมั่นในตลาดเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นทะลุ 450 จุดได้ แต่หากยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามา ก็อาจปรับลดลงมาแตะที่ 430-433 จุดได้เช่นกัน ส่วนปัญหาการเมืองในประเทศก็ยังให้น้ำหนักไม่มากนัก เพราะเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบ แต่ตัวเลขการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มย่ำแย่ ก็อาจกดดันให้ตลาดปรับลดลงต่อได้

สำหรับหุ้นเด่นที่สามารถลงทุนได้ในขณะนี้ คือ หุ้นกลุ่มเดินเรือ เช่น บมจ. พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) และ บมจ. โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) เนื่องจากดัชนีค่าระวางเรือของเดือนพฤษภาคมได้ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้ จึงยังแนะนำเก็งกำไรต่อในสัปดาห์หน้า


ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 446.04 จุด เพิ่มขึ้น 3.08 จุด หรือ 0.70% ปริมาณการซื้อขาย 14,063.63 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 414.52 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,953.11 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 1,538.59 ล้านบาท


- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th


ประชุม กนง.สัปดาห์นี้

ตลาดเงินจับตาประชุม กนง.สัปดาห์นี้



กรุงเทพฯ - บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 มี.ค.-3 เม.ย.) เงินบาทปรับตัวอย่างผันผวนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค หลังจากความกังวลต่อภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ และภาคการเงินของสหรัฐ ได้หนุนเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้นในฐานะที่เป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม เงินบาทฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงต่อมา หลังจากแรงซื้อเงินดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเริ่มชะลอลงไป ขณะที่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นได้หนุนสกุลเงินในภูมิภาค และเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ สำหรับในวันที่ 3 เมษายน เงินบาทขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อยมายืนที่ระดับประมาณ 35.34 (ตลาดเอเชีย) เมื่อเทียบกับระดับ 35.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (6-10 เม.ย.) ธนาคารพาณิชย์จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคาร และเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ อีกทั้งคงจะมีการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับความต้องการใช้เงินของลูกค้าใน ช่วงวันหยุดสงกรานต์ ขณะเดียวกันจะมีการตัดจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบธนาคารในช่วงปลายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดคงจะจับตาการประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทย ในวันที่ 8 เมษายนนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25-0.50 ส่วนเงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ประมาณ 35.10-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนะจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันที่ 8 เมษายนนี้ สัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อลดความผันผวนของค่าเงินบาทของ ธปท. ตลอดจนทิศทางของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ทิศทางของเงินดอลลาร์อาจขึ้นอยู่กับการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ สำคัญ อาทิ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ สตอกสินค้าภาคค้าส่งเดือนกุมภาพันธ์ และดัชนีราคานำเข้าและส่งออกเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ธนาคารกลางสำคัญอื่น ประกอบด้วย ธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ และธนาคารกลางออสเตรเลีย ก็มีกำหนดประชุมนโยบายการเงินในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน


ที่มา:สำนักข่าวไทย

จับตาการเมืองในประเทศ

ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จับตาการเมืองในประเทศ



กรุงเทพฯ - บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 มี.ค.-3 เม.ย.) ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 446.04 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.19 จาก 440.81 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลงร้อยละ 0.87 จากสิ้นปี 2551 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลงร้อยละ 3.87 จาก 53,047.49 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 50,995.20 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 10,609.50 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 10,199.04 ล้านบาท

โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,677.68 ล้านบาท และ 620.96 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,298.64 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 154.36 จุด ขยับขึ้นร้อยละ 1.13 จาก 152.64 จุด ในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลงร้อยละ 5.26 จากสิ้นปีก่อน

ส่วนแนวโน้มสัปดาห์นี้ (7-10 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีน่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยในประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าดัชนีน่าจะแกว่งตัวลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจน รวมทั้งยังอาจมีแรงกดดันจากการเมืองในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และผลการประชุมนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ

ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 440 และ 434 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 454 และ 460 จุด ตามลำดับ.

เงาหุ้น

เงาหุ้น
[7 เม.ย. 52 - 02:24]

นักวิเคราะห์หุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวลงตามแรงกดดันที่มากขึ้นจาก สถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง หากมีผู้ชุมนุมจำนวนมากและมีความร้อนแรงมากขึ้น จะทำให้นักลงทุนกังวล
ขณะที่ยังต้องรอดูการประชุม กนง.ที่คาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% แต่หากมีการลดดอกเบี้ยลงตามคาด ก็อาจมีแรงขายออกมา เพราะช่วงก่อนหน้าหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำราคาหุ้นได้ปรับ ขึ้นมาบ้างแล้ว

ส่วนผลการประชุมของกลุ่มประเทศจี 20 หลังจากนี้ต้องดูว่าข้อตกลงจากการประชุมจะนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรมอย่างไร โดยจี 20 มีมติจัดสรรงบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย

ปิดท้ายมีข่าวเรื่องทอง...ทอง “ชาญชัย กงทองลักษณ์” กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ เผยว่า โบรกเกอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมหารือถึงโอกาสในการซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้า (โกลด์ฟิวเจอร์ส) ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงให้ผู้ลงทุนไทยในช่วงกลางคืนที่ตลาดทองคำในต่าง ประเทศเปิดทำการ ซึ่งน่าจะกระตุ้นให้นักลงทุนกล้าเปิดสถานะสัญญาเพิ่มขึ้น
หน่วยงานที่ร่วมหารือกันประกอบด้วยตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก.ล.ต., ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX และโบรกเกอร์

ทั้งนี้ โบรกเกอร์มีความเห็นว่า ทองคำเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ตามเวลาที่ต่างกันของแต่ละตลาด ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อนักลงทุนไทยในช่วงกลางคืนหลังตลาดของไทยปิดการซื้อขายไป แล้ว

เพราะหากนักลงทุนมองตลาดผิดพลาดก็ไม่สามารถปิดสถานะตัวเองได้ในช่วงนั้น ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสีย และเมื่อนักลงทุนเสียประโยชน์ก็จะไม่กล้าสร้างสถานะโกลด์ ฟิวเจอร์สมากนัก ดังนั้นเราน่าจะมีบริการที่จะให้ ลูกค้าป้องกันความเสี่ยงได้ดีขึ้น

โดยแนวคิดนี้อาจให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายโดยตรงไปยังต่างประเทศ หรือส่งคำสั่งซื้อขายให้โบรกเกอร์เป็นผู้ปิดสถานะให้ อย่างไรก็ตาม หากดำเนินการตามนี้ จะต้องแก้ไขหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต.เรื่องการให้โบรกเกอร์ ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สในต่างประเทศได้.

อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4