26 มีนาคม 2552

TFEX ปรับแสดง 5 ระดับ

TFEX ปรับเกณฑ์ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตและขยาย Best bid/Best offer เป็น 5 ระดับ

ตลาดอนุพันธ์ผ่อนเกณฑ์ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต โดยขยับเพดานปริมาณการซื้อขาย และปลดเกณฑ์จำกัดราคาซื้อขาย 5% พร้อมขยายการแสดงข้อมูลราคาเสนอซื้อขาย (Best bid/Bestoffer) จาก 3 ระดับเป็น 5 ระดับสำหรับทุกช่องทาง เริ่ม 23 มีนาคมนี้ เชื่อมั่นเกณฑ์ใหม่ช่วยลดข้อจำกัดการซื้อขาย เอื้อให้ผู้ลงทุนซื้อขายสะดวกขึ้น

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า"ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2552 ตลาดอนุพันธ์จะปรับแนวทางการซื้อขายอนุพันธ์ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยเพิ่มจำนวนสัญญาสูงสุดต่อหนึ่งคำสั่งซื้อขาย (Maximum volume per order) พร้อมกับการยกเลิกเกณฑ์ห้ามส่งราคาเสนอซื้อ (Bid) และเสนอขาย (Offer) ที่เปลี่ยนแปลงจากราคาซื้อขายล่าสุด (Last) มากกว่าร้อยละ 5 สำหรับการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนและบริษัทสมาชิก และรองรับปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ต้องมีการปรับปรุงเกณฑ์เดิมที่ใช้ตั้งแต่เปิดตลาดอนุพันธ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2549"

ปัจจุบัน ผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งเสนอซื้อเสนอขาย SET50 Index Futures ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้สูงสุดไม่เกิน 20 สัญญาต่อหนึ่งคำสั่ง ส่วน SET50 Index Options และ Stock Futures นั้นส่งได้สูงสุดไม่เกิน100 สัญญาต่อหนึ่งคำสั่ง ดังนั้น หากผู้ลงทุนต้องการซื้อขายอนุพันธ์มากกว่าจำนวนที่กำหนด จะต้องแบ่งการส่งคำสั่งออกเป็นหลาย ๆ ครั้ง หรือให้เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทโบรกเกอร์เป็นผู้ส่งคำสั่งให้แทนทั้งนี้ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2552 เป็นต้นไป ผู้ลงทุนสามารถกำหนดปริมาณซื้อขายต่อคำสั่งผ่านอินเทอร์เน็ตได้เพิ่มขึ้น โดย SET50 Index Futures ส่งได้สูงสุดคำสั่งละ 100 สัญญา SET50 Index Options และ Stock Futures ส่งได้สูงสุดไม่เกิน 500 สัญญาต่อหนึ่งคำสั่ง

นอกจากนี้ ตลาดอนุพันธ์ยังได้ปรับปรุงเกณฑ์การเสนอซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งเดิมผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งเสนอซื้อขาย SET50 Index Futures และ Stock Futures ในราคาที่ต่างไปจากราคาที่มีการตกลงซื้อขายล่าสุดได้ไม่เกินร้อยละ 5 และส่งคำสั่งเสนอซื้อขาย SET50 Index Options ในราคาที่แตกต่างจากราคาปิดของดัชนี SET50 ในวันทำการก่อนหน้าได้ไม่เกินร้อยละ 5 แต่เกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ ตลาดอนุพันธ์จะอนุญาตให้ผู้ลงทุนสามารถเสนอราคาซื้อขายได้ แม้จะเป็นราคาที่แตกต่างไปมากกว่าร้อยละ 5 อย่างไรก็
ตาม จะกำหนดให้ต้องมีข้อความเตือนและผู้ลงทุนต้องยืนยันว่าต้องการจะส่งคำสั่งซื้อขายในระดับราคาดังกล่าวจริง ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่เจ้าหน้าที่การตลาดใช้งานอยู่

ที่มา : News TFEX www.tfex.co.th

Gold Futures

ลักษณะของสัญญา

Gold Futures เปิดซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 โดยมีลักษณะของสัญญาสรุปได้ดังนี้

  • สินค้าอ้างอิง คือ ทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5%

  • ขนาดของสัญญา คือ 1 สัญญามีขนาดเท่ากับ ทองคำน้ำหนัก 50 บาท หรือ 762.2 กรัม (ทองคำน้ำหนัก 1 บาท = 15.244 กรัม)

  • เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ คือ เดือนคู่ (กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน สิงหาคม ตุลาคม และธันวาคม) ใกล้ที่สุด 3 ลำดับ
  • ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำ คือ 10 บาท ต่อ 1 สัญญา
  • ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงสุดแต่ละวัน คือ ไม่เกิน + 20 % ของราคาที่ใช้ชำระราคาในวันทำการก่อนหน้า
  • เวลาซื้อขาย คือ

    Pre-open:

    9:15 - 9:45

    Morning session:

    9:45 - 12:30

    Pre-open:

    14:00 - 14:30

    Afternoon session:

    14:30 - 16:55

  • การจำกัดฐานะ คือ
    ตลาดอนุพันธ์อาจประกาศกำหนดจำนวนการถือครองสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงสุดได้ตามที่เห็นสมควร
  • วันซื้อขายวันสุดท้าย คือ
    วันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ โดยในวันนั้น สัญญาที่จะหมดอายุจะซื้อขายได้ถึงเวลา 16.30 น.
  • ราคาที่ใช้ชำระราคาในวันซื้อขายวันสุดท้าย คือ
    • ใช้ราคา London Gold AM Fixing เป็นราคาอ้างอิงในการคำนวณ Final Settlement Price โดยการคำนวณจะปรับอัตราแลกเปลี่ยน น้ำหนักและความบริสุทธิ์ของทองคำตามสูตรการคำนวณ ดังนี้

    • ราคาต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท =

    London Gold AM Fixing x (15.244/31.1035) x (0.965/0.995) x (THB/USD)
โดยที่

London Gold AM Fixing เป็นราคาต่อ 1 troy ounce ของทองคำที่มีความบริสุทธิ์99.5%

ซึ่งมีน้ำหนักเท่ากับ 31.1035 กรัม โดยสามารถตรวจสอบราคาได้จาก http://www.lbma.org.uk/stats/goldfixg
    • ทองคำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
    • 0.965 คือ ตัวแปรที่ใช้ปรับค่าความบริสุทธิ์ของทองคำให้เป็น 96.5%
    • อัตรา แลกเปลี่ยน (THB/USD) เป็นอัตรา Thai Baht PM Fixing โดยคำนวณมาจากค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ ในชมรม ACI Thailand โดยสามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนได้จาก Reuters หน้า และตลาดอนุพันธ์ก็จะมีการประกาศอัตราที่ใช้คำนวณเหล่านี้ทุก ๆ วันซื้อขายวันสุดท้ายของ Gold Futures ใน เว็บไซต์ TFEX อีกด้วย

  • วิธีการส่งมอบ / ชำระราคา คือ ชำระราคาเป็นเงินสด
  • ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและชำระราคา คือ ไม่เกินกว่า 50 บาท ต่อสัญญา โดยเรียกเก็บจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

ตลาดอนุพันธ์ TFEX

บมจ. ตลาดอนุพันธ์ฯ เป็นศูนย์กลางการซื้อขายอนุพันธที่อ้างอิงกับตราสารทุน ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่นอกเหนือจากสินค้าเกษตรกรรม

โดยตราสารอนุพันธ์ บมจ. ตลาดอนุพันธ์ฯ สามารถจัดให้มีการซื้อขายภายใต้พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 ได้แก่ ฟิวเจอร์ส (Futures) ออปชัน (Options) และออปชันบนสัญญาฟิวเจอร์ส (Options on Futures) ของสินทรัพย์อ้างอิงประเภทต่าง ๆ ดังนี้

  • อ้างอิงกับตราสารทุน ได้แก่ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ หลักทรัพย์
  • อ้างอิงกับตราสารหนี้ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย
  • อ้างอิงกับราคาหรือดัชนีราคาอื่นๆได้แก่ ทองคำ น้ำมันดิบ อัตราแลกเปลี่ยน
  • อ้างอิงกับราคาหรือดัชนีราคาอื่นๆได้แก่ ทองคำ น้ำมันดิบ อัตราแลกเปลี่ยน


ในปัจจุบัน บมจ. ตลาดอนุพันธ์ฯ ได้เปิดซื้อขายอนุพันธ์
ทั้งสิ้น 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
  1. SET50 Index Futures
  2. SET50 Index Options
  3. Single Stock Futures
  4. Gold Futures
โดยมีรายละเอียดดังนี้

วันที่ 28 เม.ย.49 เปิดซื้อขาย SET50 Index Futures
วันที่ 29 ต.ค.50 เปิดซื้อขาย SET50 Index Options
วันที่ 24 พ.ย. 51 เปิดซื้อขาย Single Stock Futures
วันที่ 02 ก.พ.52 เปิดซื้อขาย
Gold Futures


ทั้งนี้ ในลำดับถัดไป บมจ. ตลาดอนุพันธ์ฯ จะเปิดซื้อขายฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยหรือพันธบัตรรัฐบาล (Interest rate Futures)

PTTEP <99.00 บาท : ซื้อเก็งกำไร>

PTTEP <99.00> ปรับเพิ่มปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมขึ้นจากการรวมโครงการ Coogee Resources แต่รายจ่ายการลงทุนก็เพิ่มขึ้นด้วย


บมจ. ปตท. สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม
PTTEP <99.00>

คำแนะนำ
ใหม่ : ซื้อเก็งกำไร
ก่อนหน้านี้ : ซื้อเก็งกำไร
เป้าหมาย :
110.00 บาท

  • ปรับปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมปีนี้เพิ่ม 2.3%

บริษัทได้เปิดเผยประมาณการรายจ่ายลงทุน (Capital expenditure) และรายจ่ายดำเนินงาน (Operating expenditure) ของบริษัทและบริษัทย่อย ในช่วงปี 2552-2556 รวม 5 ปี ใหม่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 485,166 ล้านบาท ในส่วนของรายจ่ายลงทุน เพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ยประมาณ 12.8% จาก 302,652 ล้านบาท เป็น 341,293 ล้านบาท จากการรวมต้นทุนการสำรวจ, พัฒนาและดำเนินการผลิตปิโตรเลียมของโครงการ Coogee Resources Limited ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งบริษัทได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดไปในปลายปีก่อนและเปลี่ยนชื่อเป็น โครงการ พีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย (PTTEP Australasia) โดยรายจ่ายลงทุนส่วนใหญ่จะเพิ่มในปีนี้คิดเป็นประมาณ 54.1% ของประมาณการเดิมเป็น 108,172 ล้านบาท ในส่วนของประมาณการปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันของโครงการในปัจจุบันที่มีอยู่ 40 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์แล้วรวม 16 โครงการ ก็มีการเพิ่มปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมในปีนี้ขึ้น 2.3% จาก 234,878 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เป็น 240,240 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากการรวมปริมาณการผลิตของโครงการ PTTEP Australasia (มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมทั้งหมดประมาณ 27 ล้านบาร์เรล) เข้ามา จากการรวมโครงการดังกล่าว ทำให้ปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมเฉลี่ย 5 ปี เพิ่มขึ้น 6.4% เป็น 284,154 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน

  • ปรับลดประมาณการผลกำไรในปีนี้ลงตามค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

เราปรับลดประมาณการผลกำไรในปี 2552 ลง 4% เป็น 29,221 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.84 บาท ลดลง 30% yoy ตามการปรับเพิ่มปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมในปีนี้เพิ่มขึ้น 2.3% และประมาณการรายจ่ายลงทุนในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 54% และปรับลดประมาณการผลกำไรในปีหน้าลง 6% เป็น 35,462 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 10.72 บาท จากผลดังกล่าวทำให้ราคาที่เหมาะสมตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ลดลงจาก 114 บาท เป็น 110 บาท

  • ปรับราคาที่เหมาะสมเป็น 110 บาท แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ตามทิศทางราคาน้ำมัน

ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวขึ้นมา 19% ในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมาตามราคาน้ำมันที่มีการฟื้นตัวขึ้นจากระดับ 35 เหรียญ/บาร์เรลมาอยู่ที่ 53 เหรียญ/บาร์เรลในปัจจุบัน (ราคาน้ำมันฟื้นตัวจาก demand-supply ที่กลับมาสมดุลมากขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง) จนทำให้มี upside เหลือเพียง 11% จากราคาที่เหมาะสมของเราที่ 110 บาท อ้างอิงราคาน้ำมันดิบที่ 50 เหรียญ/บาร์เรล แม้เราจะยังคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร แต่ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาประกอบการเก็งกำไรคือ ทิศทางของราคาน้ำมัน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นได้ต่อ ราคาหุ้นก็มีโอกาสปรับขึ้นได้ แต่หากราคาน้ำมันมีทิศทางอ่อนตัวลง นักลงทุนควรจะลดความเสี่ยงด้วยการทยอยขายทำกำไรออกไปก่อน

ที่มา บล.กิมเอ็ง

ภาวะตลาดหุ้นรายวัน 26/03/52

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 26/03/52

ภาพวันวาน

ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียอ่อนตัวลงเพื่อการปรับฐานระยะสั้น รวมถึงตลาด
หุ้นไทย อ่อนตัวลงระหว่างวัน 4.28 จุด และดีดตัวขึ้น ปิดลบลดลงที่ระดับ
436.92 จุด มูลค่าการซื้อขายลดลงเหลือเพียง 7,939 ล้านบาท
ต่างชาติซื้อสุทธิ 463.12 ล้านบาท

ประเด็นร้อนวันนี้
เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว กดดัน ECB ปรับลดดอกเบี้ยฯลงต่อเนื่อง
รัฐบาลเยอรมนีคาดว่าจะมีการปรับลดคาดการณ์ GDP Growth
ในปี 2552 เป็นติดลบ 4.5% จากเดิมคาดว่าติดลบ 2.25% รวมถึงรายงาน
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Ifo) ในเดือน มี.ค.ลดลงสู่ระดับ 82.1 จาก 82.6
ในเดือน ก.พ. และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 19 ปี จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่ม
แรงกดดันต่อการพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป(ECB)
ให้มีการปรับลดลงต่อเนื่อง โดยมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ
ลงราว0.5-1% สำหรับการประชุมในวันที่ 2 เม.ย.2552 นี้ ทั้งนี้ เชื่อว่า
กลุ่มประเทศยุโรปจะยังจำเป็นทีจะต้องดำเนินทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในระดับต่ำต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2552 นี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก
วิกฤติการณ์การเงิน เช่นเดียวกับประเทศในแถบเอเชีย คาดว่าจะยังคงเน้นการลด
อัตราดอกเบี้ยฯต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังต่อการฟื้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงคาดว่า
แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะลดลงได้อีกราว 1% จนถึงสิ้นปี 2552
หรือลงมาที่ 0.5% ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เชื่อว่าจะ เป็นปัจจัยหนุน
ต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่อไป

ภาครัฐเร่งการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และการบริโภคในประเทศ
ภาครัฐเดินหน้าการลงทุนขนาดใหญ่ โดยล่าสุด ที่ประชุมสภาฯ
เห็นชอบร่างหนังสือการขอกู้เงินจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของ
ญี่ปุ่น(ไจก้า) สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต
(จาก 2 เส้นทาง คือ บางซื่อ-ตลิ่งชัน และ บางซื่อ-รังสิต) วงเงิน6.51
หมื่นล้านบาท จากเดิม 5.98 หมื่นล้านบาท และยังได้อนุมัติวงเงินสำหรับ
จัดหาตู้รถไฟฟ้าอีก 1.04 หมื่นล้านบาทของโครงการสายสีแดง มูลค่าโครงการ
รวม 7.55 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้นอกเหนือจากการลงทุนโครงการก่อสร้างสาธารณูป
โภคขนาดใหญ่ ที่จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเพิ่มเติมแล้ว
โครงการให้เงินช่วยเหลือ 2,000 บาทแก่ผู้มีรายได้ต่ำ เป็นอีกแนวทางหนึ่งใน
การช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับทิศทางอัตรา
ดอกเบี้ยฯในประเทศที่อยู่ในขาลง โดยล่าสุด ธนาคารกรุงเทพ ประกาศปรับลด
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภทลง 0.25–0.5% และลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25%
จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนและการใช้จ่ายในประเทศได้
แนะนำอ่อนตัวซื้อสะสม BIGC(FV@B48.8), CPALL(FV@B14),
BEC(XD เงินปันผล 0.75/หุ้น วันที่ 27 มี.ค.52)

ปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศ กดดันตลาดหุ้นไทยปรับฐาน
คาดว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะมีแนวโน้มปรับฐานต่อเนื่อง โดยมีแนวรับ
ที่ระดับ 432 จุดแนวต้าน 440 จุด ประกอบกับปัจจัยการเมืองในประเทศที่มี
การเคลื่อนไหวนอกสภาฯของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ที่จะมีการชุมนุมบริเวณทำเนียบ
รัฐบาล คาดว่าจะส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนมูลค่าการซื้อขายลดลง
เพื่อรอดูความชัดเจนของสถานการณ์อีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน : แนะนำซื้อสะสมหุ้นรับเหมาฯ และกลุ่มการบริโภคในประเทศ
กลุ่มรับเหมาฯ ITD(FV@B2.91), CK(FV@B4.57), STEC(FV@B3.83)
กลุ่มการบริโภค BIGC(FV@B48.8), CPALL(FV@B14)
,BEC(XD เงินปันผล 0.75/หุ้น วันที่ 27 มี.ค.52)

Investor’s Plus
แนวรับ / แนวต้านใน 1 สัปดาห์ของดัชนีตลาด : 420/450 จุด

ตลาดวันนี้ : คาดวันนี้ดัชนีแกว่งตัวด้านข้าง แนวรับ 432 จุด แนวต้าน 440 จุด

เลิกหวังเช็คช่วยชาติ

หมดหวังเช็คช่วยชาติพยุงตลาดหุ้น

เลิกหวังเช็คช่วยชาติ 2 พันบาทพยุงตลาดหุ้นไทยวันนี้ กูรูชี้กลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์เต็มๆ หลังประชาชนเลือกซื้อของจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ฟากตลาดหุ้นรับข่าวดีไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้วไม่มีผลลงทุน แถมเศรษฐกิจและการเมืองยังไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงเดินหน้าชุมนุมใหญ่กดดัน ฟันธง! ช่วงนี้ไม่ใช่จังหวะซื้อหุ้น ขายลดพอร์ต ปลอดภัยกว่า


เช็คช่วยชาติ 2 พันบาทส่งตรงถึงมือผู้ประกันตนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทวันนี้ (26 มี.ค.52) เป็นล็อตแรกแล้ว ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เข็นกลยุทธ์เด็ดกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคภายในประเทศช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หวังกอบกู้เศรษฐกิจไทยฟื้นโดยเร็ว โดยนายกฯ ระบุว่า การแจกเช็คช่วยชาติ 2 พันบาท จะทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจและถือเป็นจุดหนึ่งที่จะเสริมราย ได้ให้กับผู้มีรายได้น้อยในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ด ขณะเดียวกันยังเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งช่วง 2 เดือนจากนี้ รัฐบาลจะมีมาตรการเพื่อนำงบประมาณกลางปีออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยให้การลงทุนกลับมาคึกคักได้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้

ล่าสุด นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า เช็คเงินสดช่วยชาติ 2 พันบาท เป็นมาตรการของรัฐบาลช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพแก่ผู้ที่มีรายได้น้อยจำนวน เกือบ 10 ล้านคน โดยจะแจกล็อตสุดท้ายวันที่ 9 เมษายน 2552 เพื่อนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเช็คช่วยชาติ ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่เห็นผลได้ทันที นอกเหนือจากการช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนแล้ว ยังส่งผลรวมต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเม็ดเงินที่รัฐบาลอนุมัติประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เมื่อถึงมือประชาชนกว่า 9 ล้านคน และประชาชนนำไปใช้จ่ายสับเปลี่ยนมือในระบบเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดการจ้างงานในภาคเศรษฐกิจได้กว่า 8 หมื่น ถึง 1 แสนคน และมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี 0.2% โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงของจีดีพีทุก 1% จะทำมีผลต่อให้อัตราการจ้างงานในประเทศถึง 3 - 3.5 แสนคนโดยยืนยันว่านโยบายแจกเช็คครั้งนี้ถือเป็นนโยบายระยะสั้น และรัฐบาลจะไม่มีมาตรการดังกล่าวออกมาเป็นครั้งต่อไป เนื่องจากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่คาดว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นช่วงนี้

อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการร้านค้าหลายแห่งทั่วประเทศพร้อมใจเข้าโครงการเช็คช่วยชาติดัง กล่าว หวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้ฟื้น โดยเบื้องต้นพบว่า 21 สถานประกอบการในภาคเอกชน ซึ่งมีเครือข่าย และสาขาอยู่ทั่วประเทศ ประมาณ 3,146 ราย ร่วมกับกระทรวงการคลังร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันให้รับเช็คช่วยชาติรวม ถึงเพิ่มมูลค่าเช็ค ลดราคาสินค้าถึง 20 % และทอนเงินได้ หากผู้มีสิทธินำไปใช้ในการชำระค่าสินค้า ประเภทอุปโภค บริโภค ตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ต่าง ๆ แม้กระทั่งการนำไปชำระเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือค่าโดยสารรถประจำทาง ซึ่งถือเป็นการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันตามปกติ

รายชื่อภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการเบื้องต้น ได้แก่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (BIGC), บริษัทในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) (MAJOR), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (MTI), บริษัทในเครือเซ็นทรัลรีเทล 7 แห่ง,บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TWZ),บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL),บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) (ROBINS), บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (MIDA),บริษัท ซี พี เฟรทมาร์ท จำกัด, ร้านแม็ค-โดนัล,ร้านเคเอฟซี , ร้านพิซซ่าฮัท,ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส, ร้านอินเด็ค ลิฟวิ่งมอล, กิฟฟารีน, ห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์, บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด, บริษัทไทยสกายลาร์ค จำกัด, สมาคมโรงพยาบาลเอกชน, องค์การค้าของ สกสค. (คุรุสภา), บริษัท ส.ศิริแสง จำกัด, บริษัท ไดมอนด์ ไชน์ ฮอลิเดย์ จำกัด, บริษัท ผู้จัดงานแสดงสินค้า เวิลด์ แฟร์ และบริษัท ลีน่า คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด นอกจากนี้ยังมี ผู้ประกอบการหลายรายทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกแคมเปญจูงใจให้เกิดกำลังซื้อกันอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ ต้องติดตามต่อไปสำหรับมาตรการเช็คช่วยชาตินี้ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก น้อยเพียงใด แต่สำหรับฟากตลาดหุ้นไทยแล้ว การแจกเช็คช่วยชาติ ไม่ได้มีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่กลับมา ได้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นจนราคาหุ้นรับข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากทั้งเศรษฐกิจ และปัญหาการเมืองที่กำลังทวีความร้อนแรงในขณะนี้

โดยวานนี้ (25 มี.ค.52) กระทรวงการคลังประกาศหั่นเป้าจีดีพีปี 2552 ติดลบ 2.5% หรืออยู่ในช่วงติดลบ 3-2% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจีดีพีปี 2552 จะขยายตัว 1% หรืออยู่ในช่วง 0-2% และลดลงจากปี 2551 ที่ขยายตัว 2.6% จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่คาดเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 0.7% ลดลงจากเดิมคาดอยู่ที่ 1% ส่วนอัตราการว่างงานปีนี้เพิ่มเป็น 3.8% สูงกว่าครั้งก่อนที่คาดอยู่ที่ 2.5% ขณะเดียวกันกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มเสื้อแดง ยังเดินหน้ากดดันรัฐบาลต่อเนื่อง และวันนี้มีการประกาศชุมนุมใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันรัฐบาล ซึ่งน่าจะเป็นตัวแปรกดดันการลงทุนอย่างมาก
ปิด การซื้อขายวานนี้ SET Index ปิดอยู่ที่ระดับ 436.92 จุด ลดลง 1.24 จุด หรือ 0.28% มูลค่าการซื้อขาย 7,919.91 ล้านบาท ขณะที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายแจกเช็คช่วยชาติส่วนใหญ่ปรับลดลง โดย MAJOR ปิดที่ 6.80 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 1.45% มูลค่าการซื้อขาย 9.25 ล้านบาท, ราคาหุ้น BIGC ปิดที่ 40.75 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 4.12% มูลค่าการซื้อขาย 2.72 พันล้านบาท, ราคาหุ้น CPALL ปิดที่ 12.40 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.80% มูลค่าการซื้อขาย 151.01 ล้านบาท, ราคาหุ้น TWZ ปิดที่ 1.20 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 1.64% มูลค่าการซื้อขาย 2.14 ล้านบาท, ราคาหุ้น SINGER ปิดที่ 1.07 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 1.84% มูลค่าการซื้อขาย 0.59 ล้านบาท, ราคาหุ้น MAKRO ปิดที่ 65.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 8.20 ล้านบาท, ราคาหุ้น MME ปิดที่ 0.78 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท หรือ 1.30% มูลค่าการซื้อขาย 2.96 ล้านบาท, ราคาหุ้น MTI ปิดื้ 40.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.56% มูลค่าการซื้อขาย 0.05 ล้านบาทและ ราคาหุ้น ROBINS ปิดที่ 6.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.67% มูลค่าการซื้อขาย 7.29 ล้านบาท

ที่มา : efinancethai.com

ถือเงินสด รอการเมืองชัดเจน

ถือเงินสด รอการเมืองชัดเจน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

โบรกคาดหุ้นวันนี้ยังคงผันผวน ขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศและปัจจัยการเมือง คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวภายในกรอบแนวรับ 429-431 จุด

สภาพตลาดวันวาน : ภาคเช้าผลจากการปรับฐานของตลาดหุ้นต่าง ประเทศ จากความไม่มั่นใจว่าแผนสะสางงบดุลของภาคธนาคาร และการฟื้นฟูระบบการเงินของสหรัฐ จะได้ผลหรือไม่ ทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มหลักออกมาบ้าง ในขณะที่แนวโน้มผันผวนของราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ทำให้การซื้อขายหุ้นกลุ่มพลังงานไม่คึกคักเหมือนหลายวันก่อนหน้า ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบๆ บริเวณ 437-440 จุด เกือบตลอดภาคเช้า

โดยมีปริมาณซื้อขายซบเซาลง เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์การเมืองในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งกลุ่ม นปช. จะไปชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งรอดูทิศทางที่ชัดเจนของตลาดหุ้นไทย โดยดัชนีได้ปิดภาคเช้าที่ระดับ 437.21 จุด ลดลงเพียง 0.95 จุด

ภาคบ่าย : การปรับตัวลงของตลาดหุ้นหลัก ในภูมิภาคและความกังวลจากการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม นปช. ส่งผลให้ดัชนีเปิดตลาดลดลงมาอยู่ที่บริเวณ 436 จุด ประกอบกับแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธนาคารและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กดดันให้ดัชนีลดลงมาต่ำสุดที่ 433.88 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มพลังงาน หนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นจนมาปิดตลาดที่ 436.92 จุด ลดลง 1.24 จุด (-0.28%) โดยมีปริมาณการซื้อขายลดลงเป็น 7.9 พันล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 อีก 463 ล้านบาท

แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้


1. ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ : ตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดแกนนำ ยังคงมีแนวโน้มปรับฐานในระยะสั้นอีกสักระยะ หลังจากตลาดเริ่มไม่แน่ใจต่อความสำเร็จของแผนซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกจาก งบดุลของภาคธนาคาร รวมทั้งแผนฟื้นฟูระบบการเงินของรัฐบาลสหรัฐ หลังจากเริ่มมีนักวิชาการที่มีชื่อเสียงออกมาวิจารณ์แผนช่วยเหลือดังกล่าว กันมากขึ้น

ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ไม่ว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดขายบ้านใหม่เดือน ก.พ. รวมทั้งตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ปี 2551 คาดว่าจะยังคงลดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อตัวเลข GDP และผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในไตรมาส 1 ปี 2552 มากขึ้น โดยล่าสุดประธานาธิบดีโอบามา ได้ยอมรับว่าการฟื้นฟูภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

2. ปัจจัยการเมืองในประเทศ : ยังต้องจับตาดูสถานการณ์การเมืองในช่วงปลายสัปดาห์ ว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด หลังกลุ่ม นปช. นัดชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีจะไม่ได้เข้าไปปฏิบัติงานในทำเนียบ แต่ก็ต้องดูว่ากลุ่ม นปช. จะชุมนุมยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน และจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจากผู้นำกลุ่ม นปช. ยืนยันจะร่วมต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ ในขณะที่ประเด็นเศรษฐกิจคงต้องรอดูการใช้จ่ายเงินของผู้ที่ได้รับเช็คช่วย ชาติ 2 พันบาท ว่าจะมีการบริโภคสินค้าและบริการ ต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงนี้ คงจะทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนต่อไป

3. ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า : หลังจากราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายวัน ปัจจัยหนุนส่วนใหญ่เริ่มอ่อนกำลังลง โดยเฉพาะการคาดหวังผลบวกจากมาตรการช่วยเหลือภาคธนาคารของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเริ่มจะเปลี่ยนทิศทางกระเตื้องขึ้นบ้าง ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าจึงมีแนวโน้มปรับฐานลงในระยะสั้นเช่นกัน และอาจจะผันผวนรุนแรงหากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด

จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ ยังคงมีแนวโน้มผันผวน ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่าง ประเทศ และปัจจัยการเมืองในประเทศว่าจะมีแนวโน้มวุ่นวายมากน้อยเพียงใด คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวภายในกรอบแนวรับ 429-431 จุด กับแนวต้าน 439-441 จุดเช่นเดิม โดยมีปริมาณซื้อขายซบเซาลง

  • นักลงทุนระยะสั้น : ลดพอร์ตลงบ้าง ช่วงดัชนีแกว่งขึ้นใกล้แนวต้าน รอซื้อคืนสัปดาห์หน้า
  • นักลงทุนระยะยาว : ถือเงินสด หรือทยอย Short Against Port บ้าง หากดัชนีไม่อาจผ่านแนวต้าน
ที่มา :กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ดาวโจนส์บวก 89 จุด

ดาวโจนส์บวก89จุด-น้ำมันดิ่ง1.21$


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ


ดาวโจนส์ปิดบวก 89 จุดหลังตัวเลขสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเกินคาด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทะยานขึ้นในช่วงท้ายตลาดวันพุธ ในขณะที่ตัวเลขสินค้าคงทนและตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยที่แข็งแกร่งเกิน คาดกระตุ้นให้เกิดความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว และช่วยบดบังความกังวลที่ว่า สหรัฐอาจประสบปัญหาในการหาเงินมาใช้รองรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ออกจาก ภาวะถดถอย
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด พุ่งขึ้น 89.84 จุด หรือ 1.17 % ปิด 7,749.81, ดัชนี S&P 500 ปิดบวกขึ้น 7.76 จุด หรือ 0.96 % ปิด 813.88 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกขึ้น 12.43 จุด หรือ 0.82 % ปิด 1,528.95 ปริมาณซื้อขายหนาแน่นราว 1.77 พันล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ค และราว 2.49 พันล้านหุ้นในตลาด Nasdaq

น้ำมันดิบร่วง 1.21 ดอลล์ หลังสต็อกน้ำมันเพิ่มสูงสุดในรอบ 15 ปี


ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดร่วงลงกว่า 2 % เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบกว่า 15 ปี

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ ส่งมอบเดือนพ.ค.ดิ่งลง 1.21 ดอลลาร์ หรือ 2.24 %มาปิดตลาดที่ 52.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 51.86-54.18ดอลลาร์ และราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนร่วงลง 1.75 ดอลลาร์ หรือ 3.27 % ปิด 51.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 51.17-53.48 ดอลลาร์

ที่มา : นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

Template by - Abdul Munir | Blogging4