คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25%
กนง.คงดอกเบี้ย อาร์/พี 1 วัน ที่ 1.25% /ปี ชี้ นโยบายการเงินผ่อนคลายลงมาก
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ต่อปี เนื่องจากมองว่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และในช่วงที่ผ่านมานโยบายการเงินได้ผ่อนคลายลงมามากแล้ว
"เราให้ยา 2.25% ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน เราก็อยากจะตั้งหลักก่อน เพื่อให้นโยบายมันส่งผ่านไป แต่ก็พร้อมจะใช้นโยบายการเงินดูแลเพราะยังมีช่องทางอยู่"นางอัจนา กล่าว
กนง.มองว่าวิกฤติการเงินโลกยังคงส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศหลักและประเทศในภูมิภาคเอเชียอ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินระหว่างประเทศเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่ได้ดำเนินการมาในหลายประเทศเริ่มเห็นผลดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
ในกรณีของไทย กนง.เห็นว่าเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจบางตัวเริ่มชะลอการหดตัวลงและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่แรงกระตุ้นจากนโยบายการคลังเริ่มมีความชัดเจนและเริ่มมีการเบิกจ่ายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกต่อไปอย่างใกล้ชิด เพราะเครื่องชี้อีกหลายตัวที่ยังหดตัว ประกอบกับมีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาทั้งการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกกระทบส่งออกของไทย
ขณะที่สถานการณ์ในประเทศที่ยังเป็นความเสี่ยง คือ สถานการณ์ด้านการเมือง ซึ่งเสี่ยงต่อการใช้นโยบายภาครัฐที่อาจชะงักไปเมื่อมีปัญหาการเมืองตึงเครียดขึ้น และยังมีความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นของภาคเอกชน
นางอัจนา กล่าวว่า สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น ขณะนี้ระบบธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไปลงราว 70% ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงไป 2.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงไปแล้ว 50% ของดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง ทำให้อัตราเงินกู้ MLR ที่แท้จริงอยู่ที่ 7.05% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากกที่แท้จริงอยู่ที่ 0.15% ณ 18 พ.ค.52
Categories
- กองทุน (2)
- ข่าวห้องค้า (7)
- ความรู้ หุ้น (15)
- ความรู้อนุพันธ์ (6)
- ความรู้อนุพันธ์;TFEX (1)
- ความรู้ SET (5)
- คอลัมน์ทองคำ (1)
- คอลัมน์หุ้น (30)
- ค่าเงิน (4)
- ค่าระวางเรือ (2)
- ดอกเบี้ย (6)
- ตลาดเงิน (3)
- ตลาดหุ้นทั่วโลก (9)
- ตลาดหุ้นไทย (239)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ (46)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ (2)
- ตัวเลขส่งออก (1)
- ตัวเลข GDP (2)
- ทองคำ (14)
- น้ำมัน (15)
- แนวโน้มตลาดรายวัน (8)
- บทความหุ้น (56)
- ปฎิทินหุ้น (3)
- แผนกู้วิกฤตการเงิน (19)
- วอร์แรนท์ (3)
- เศรษฐกิจญี่ปุ่น (1)
- เศรษฐกิจไทย (91)
- เศรษฐกิจโลก (29)
- เศรษฐกิจสหรัฐ (11)
- หุ้น (65)
- หุ้นกู้ (3)
- หุ้นเด่นวันนี้ (4)
- หุ้นแบงค์ (2)
- G20 (3)
- warrant (1)
--==::: ข่าวประกาศ :::==--
บทความย้อนหลัง
- 05 ก.ค. (1)
- 11 ก.ย. (3)
- 09 ก.ย. (6)
- 03 ก.ย. (3)
- 02 ก.ย. (2)
- 27 ส.ค. (2)
- 20 ส.ค. (3)
- 18 ส.ค. (4)
- 10 ส.ค. (4)
- 04 ส.ค. (1)
- 03 ส.ค. (5)
- 30 ก.ค. (5)
- 28 ก.ค. (4)
- 27 ก.ค. (3)
- 24 ก.ค. (4)
- 23 ก.ค. (4)
- 22 ก.ค. (5)
- 21 ก.ค. (3)
- 20 ก.ค. (7)
- 17 ก.ค. (3)
- 16 ก.ค. (4)
- 15 ก.ค. (2)
- 14 ก.ค. (4)
- 13 ก.ค. (5)
- 10 ก.ค. (5)
- 09 ก.ค. (5)
- 08 ก.ค. (4)
- 03 ก.ค. (6)
- 30 มิ.ย. (5)
- 29 มิ.ย. (6)
- 26 มิ.ย. (4)
- 25 มิ.ย. (5)
- 24 มิ.ย. (5)
- 23 มิ.ย. (5)
- 22 มิ.ย. (5)
- 19 มิ.ย. (5)
- 18 มิ.ย. (5)
- 17 มิ.ย. (4)
- 16 มิ.ย. (4)
- 15 มิ.ย. (6)
- 12 มิ.ย. (5)
- 11 มิ.ย. (4)
- 10 มิ.ย. (4)
- 09 มิ.ย. (4)
- 08 มิ.ย. (4)
- 05 มิ.ย. (5)
- 04 มิ.ย. (4)
- 03 มิ.ย. (1)
- 28 พ.ค. (4)
- 27 พ.ค. (4)
- 26 พ.ค. (6)
- 25 พ.ค. (6)
- 22 พ.ค. (8)
- 21 พ.ค. (5)
- 20 พ.ค. (4)
- 19 พ.ค. (3)
- 14 พ.ค. (3)
- 13 พ.ค. (2)
- 12 พ.ค. (2)
- 11 พ.ค. (5)
- 07 พ.ค. (3)
- 06 พ.ค. (4)
- 30 เม.ย. (4)
- 29 เม.ย. (5)
- 28 เม.ย. (4)
- 24 เม.ย. (4)
- 23 เม.ย. (4)
- 22 เม.ย. (4)
- 20 เม.ย. (3)
- 17 เม.ย. (4)
- 16 เม.ย. (4)
- 10 เม.ย. (5)
- 09 เม.ย. (3)
- 08 เม.ย. (7)
- 07 เม.ย. (7)
- 05 เม.ย. (4)
- 03 เม.ย. (7)
- 02 เม.ย. (8)
- 01 เม.ย. (8)
- 31 มี.ค. (5)
- 30 มี.ค. (6)
- 29 มี.ค. (4)
- 28 มี.ค. (2)
- 27 มี.ค. (9)
- 26 มี.ค. (8)
- 25 มี.ค. (4)
- 24 มี.ค. (6)
- 23 มี.ค. (7)
- 20 มี.ค. (6)
- 19 มี.ค. (9)
- 18 มี.ค. (6)
- 17 มี.ค. (6)
- 16 มี.ค. (7)
- 13 มี.ค. (3)
- 12 มี.ค. (3)
- 11 มี.ค. (5)
- 10 มี.ค. (8)
- 09 มี.ค. (7)
- 05 มี.ค. (7)
- 04 มี.ค. (6)
- 03 มี.ค. (3)
- 02 มี.ค. (5)
- 27 ก.พ. (5)
- 26 ก.พ. (2)
- 25 ก.พ. (5)
- 18 ก.พ. (2)
- 17 ก.พ. (3)
- 16 ก.พ. (2)
- 12 ก.พ. (2)
- 11 ก.พ. (3)
- 09 ก.พ. (1)
21 พฤษภาคม 2552
คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25%
โดย Mboy เวลา 08:19 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เศรษฐกิจไทย
ดาวโจนส์ปิดลบ 52.81 จุด
ดาวโจนส์ปิดลบ 52.81 จุด หลัง FED หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจ
นิวยอร์ก 21 พ.ค.-ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวขาลง หลังเฟดปรับลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจในปีนี้ลง
ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ นักลงทุนผิดหวังหลังจากแถลงการณ์ของบอร์ดเฟด ระบุว่าแม้ภาคเศรษฐกิจหลายส่วนของประเทศอาจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปีนี้ แต่โดยรวมแล้วเศรษฐกิจสหรัฐตลอดทั้งปีจะยังเคลื่อนไหวในแดนลบ และอัตราว่างงานอาจพุ่งแตะหลัก 10% ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา แม้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่าง ทั้งทองคำ โลหะมีค่า จะปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ที่บวกเพิ่ม 1.94 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 62.04 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงที่สุดในรอบ 6 เดือน
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.65 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในสัดส่วน 1,591 ต่อ 1,452
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.30 พันล้านหุ้น
ด็อจ โรเบิร์ตส์ นักวิเคราะห์จากบริษัท ChannelCapitalResearch.com กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงทันทีที่เฟดประกาศลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะหดตัวลง 1.3-2% ซึ่งมากกว่าก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.5-1.3% และคาดว่าอัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 10% จากเดิมที่คาดว่าไว้ที่ 8.8%
การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของเฟดส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายย่ำแย่ลงกว่าเดิม หลังจากเมื่อวันอังคาร ตลาดได้รับแรงกดดันอย่างหนักหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนเม.ย.ร่วงลง 12.8% แตะระดับ 458,000 ยูนิต ซึ่ง เป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 525,000 ยูนิต ส่วนตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างในเดือนเม.ย.ร่วงลง 3.3% แตะระดับ 494,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 511,000 ยูนิต
หุ้นกลุ่มธนาคารถูกกระหน่ำขายอย่างหนักหลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา สถาบันการเงินรายใหญ่สุดของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ ประกาศเดินหน้าระดมทุนจำนวน 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการขายหุ้นสามัญ หวังกระตุ้นฐานเงินทุนให้พร้อมรับมือในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังยืดเยื้อต่อไป
แบงก์ ออฟ อเมริกา มีความจำเป็นต้องระดมทุนมากที่สุดในบรรดาธนาคารทั้ง 19 แห่งที่ได้ทำการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) โดยธนาคารต้องระดมทุนเพิ่มขึ้น 3.39 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมาเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ได้ระดมทุนเพิ่ม 8.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนมอร์แกนสแตนลีย์เพิ่มทุนไป 4 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกนปิดร่วง 3.5% หุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดลบ 2.1% หุ้นรีเจียนส์ ไฟแนนเชียล ปิดร่วง 6.7% แต่หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดบวก 2.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX โดยหุ้นมาราธอน ออยล์ ปิดบวก 2.3% และหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ปิดพุ่ง 10.3 ดอลลาร์
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐเตรียมเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เตรียมเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.
ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 8,422.04 จุด ลดลง 52.81 จุด หรือ 0.62% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,727.84 จุด ลดลง 6.70 จุด หรือ 0.39% และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 903.47 จุด ลดลง 4.66 จุด หรือ 0.51%
ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐสัปดาห์ล่าสุดสำรวจโดย ก.พลังงาน ถึง 15 พ.ค. ลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินสำรองลดลง 4.3 ล้านบาร์เรล
ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,468.41 จุด ลดลง 13.84 จุด หรือ 0.31%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,038.94 จุด ปรับขึ้น 79.32 จุด หรือ 1.60%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,303.37 จุด ปรับขึ้น 28.41 จุด หรือ 0.87%
ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน
ปิดที่ 60.59 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้น 1.67 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก
ปิดที่ 937.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 10.70 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดลอนดอนปิดที่ 935.75 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 9.85 ดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา : สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์
โดย Mboy เวลา 08:15 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นสหรัฐ
หุ้นไทยปิดบวกอีก 0.89%
หุ้นไทยปิดบวกอีก 0.89% แม้กนง. คงดอกเบี้ยที่ 1.25% |
ดัชนีหุ้นไทยในวานนี้ปิดที่ 561.41 จุด เพิ่มขึ้น 4.94 จุด หรือ 0.89% นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิอีกกว่า 1.4 พันล้านบาท ด้านบล. เกียรตินาคินชี้หุ้นไทยยังแกว่งตัวได้ในแดนบวก แต่หากใจไม่แข็งพออาจขายทำกำไรออกมาก่อนได้ วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยและภูมิภาคเมื่อวานนี้ยังมีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจัยชี้นำทั้งทางบวกและลบจะเริ่มซบเซาไปบ้างแล้ว โดยดัชนีหุ้นไทยในวันนี้เคลื่อนไหวอิงตามทิศทางตลาดภูมิภาคที่เคลื่อนไหวในกรอบบวก ส่วนในช่วงบ่ายที่หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% แม้ว่าจะจะผิดคาดจากที่มองว่าจะมีการปรับลดลง 0.25% ก็ยังทำให้ดัชนียังเคลื่อนไหวได้ในแดนบวกเช่นกัน โดยตลาดภาคบ่ายยังแกว่งตัวในแดนบวกที่จำกัดลง วิริยาให้ความเห็นถึงการที่กนง. ได้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ว่า อาจมีการมองว่าเงินเฟ้อในอนาคตยังสูงขึ้นได้ ประกอบกับความเชื่อมั่นในตลาดที่กลับเข้ามาในช่วง 2 เดือนนี้ ทำให้อาจยังไม่จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้น สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาแรงเมื่อวานนี้นั้น อาจเกิดจากในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ตอบรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1/52 น้อยเกินไป และราคายังปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมาด้วย จึงมองว่าการปรับเพิ่มขึ้นมากในวันนี้อาจเป็นการชดเชยผลประกอบการที่ประกาศออกมา สำหรับกลุ่มเดินเรือที่มีแรงเทขายออกมาเมื่อวานนี้นั้น อาจเกิดจากค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 13 วัน ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจมีแรงขายทำกำไรออกมาได้ วิริยากล่าวอีกว่า การลงทุนในขณะนี้ ยังสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การถือรอให้กำไรเพิ่มขึ้นต่อไป (Let Profit Run) ส่วนผู้ที่กังวลก็สามารถทยอยขายทำกำไรออกมาในระยะสั้นได้เช่นกัน ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดที่ 561.41 จุด เพิ่มขึ้น 4.94 จุด หรือ 0.89% ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 24,146.65 ล้านบาท - นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 490.54 ล้านบาท - นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,497.72 ล้านบาท - นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 1,007.18 ล้านบาท |
โดย Mboy เวลา 08:14 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย
อย่าชะล่าใจ!!
324 บาท
โดย Mboy เวลา 08:13 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย
กนง.คงดอกเบี้ย 1.25%
กนง.คงดอกเบี้ย 1.25% วัฏจักรลดดอกเบี้ยนโยบายถึงจุดสิ้นสุด
ในช่วงบ่ายวันที่ 20 พ.ค.2552 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงินและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ด้วยมติคงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ที่ 1.25% หลังจากทำการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุม 4 รอบที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความคิดเห็นต่อการประชุม กนง.ในรอบนี้ สรุปได้ดังนี้
ผลการประชุม กนง. กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ซึ่งไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่คาดว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในรอบนี้ โดย กนง.ระบุว่า นโยบายการเงินได้ผ่อนคลายลงมามากแล้ว และอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.25 ในปัจจุบัน อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และหากพิจารณาย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า ระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ในปัจจุบัน นับเป็นระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ ธปท.เริ่มดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในเดือนพ.ค.2543 และเป็นระดับที่เทียบเท่ากับระดับต่ำสุดของวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบก่อนหน้า (วัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบก่อนหน้าเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือน ธ.ค.2544-มิ.ย.2546)
แถลงการณ์หลังการประชุม กนง. ยังคงส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศหลักและประเทศในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม กนง.คาดว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อาจได้รับอานิสงส์จากนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย ตลอดจนตลาดการเงินระหว่างประเทศที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และสำหรับประเทศไทย กนง.ประเมินว่า เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจบางตัวเริ่มชะลอการหดตัวและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มองว่า แรงกระตุ้นจากนโยบายการคลังเริ่มมีความชัดเจนและเริ่มมีการเบิกจ่ายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะยังคงมีความเสี่ยงอยู่ก็ตาม
วัฏจักรดอกเบี้ยนโยบายขาลงสิ้นสุดแล้ว ณ ขณะนี้ วัฏจักรดอกเบี้ยนโยบายขาลงในรอบนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2551 ซึ่งในการประชุมรอบนั้น กนง.ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1.00% (จากระดับ 3.75% สู่ 2.75%) ต่อเนื่องด้วยการลดขนาดของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุม 3 รอบถัดมา (กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% 0.50% และ 0.25% ในการประชุมเดือนม.ค. ก.พ.และเม.ย. 2552 ตามลำดับ) ก่อนจะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิมในการประชุมรอบนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ กนง.จะยังคงระบุถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจหากความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ และการเมืองมีมากขึ้น มติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% เท่ากับ กนง.มองว่า ดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวมีความเหมาะสมแล้วเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การสิ้นสุดวัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้อาจมีนัยสำคัญหลายประการต่อตลาดการเงินและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ สำหรับผลของการสิ้นสุดวัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อตลาดพันธบัตรนั้น มีความเป็นไปได้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอาจทรงตัวอยู่ในระดับต่ำหรือขยับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอาจขยับสูงขึ้นชัดเจนมากกว่า (ส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีความชันมากขึ้น) โดยคาดว่า ในช่วงเวลาหลังจากนี้ ผู้เล่นหลักในตลาดพันธบัตรอาจทยอยซึมซับข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุปทานพันธบัตรรัฐบาลที่จะเข้าสู่ตลาด ตลอดจนแนวโน้มการขยับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2552
ส่วนผลของการสิ้นสุดวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ยนโยบายต่อทิศทางของค่าเงินบาทนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ว่าอาจต้องนำปัจจัยอื่นๆ เช่น กระแสการฟื้นตัวของความต้องการเสี่ยงของนักลงทุน แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยรวม มาพิจารณาร่วมด้วย แต่โดยเบื้องต้นแล้ว การสิ้นสุดวัฏจักรขาลงของดอกเบี้ยนโยบายอาจทำให้ตีความได้ว่า เป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินบาท โดยเฉพาะหากกระแสเงินทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าสู่ไทยอย่างต่อเนื่อง คาด ภาระหนักของ ธปท.ในช่วงถัดไปก็คือ การเข้าดูแลให้เงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดอย่างมีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ผลของการสิ้นสุดวัฏจักรขาลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เป็นคำถามที่ได้รับความสนใจในขณะนี้เช่นกัน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในด้านผู้ฝากเงินในปัจจุบันมีระดับที่ต่ำมากแล้ว แต่ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในด้านเงินกู้ยืมนั้น ยังคงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการ โดยเฉพาะสถานการณ์ของการปล่อยสินเชื่อและสภาพคล่อง ความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ ตลอดจนระดับความเข้มข้นของภาวะการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ อีกคำถามหนึ่งที่มักจะตามมาภายหลังจากที่วัฏจักรขาลงของดอกเบี้ยนโยบายสิ้นสุดลงแล้วก็คือ จังหวะเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า คำตอบนี้จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก เนื่องจากในปัจจุบัน ธปท.ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจจะยังคงมีสัญญาณที่อ่อนแอ (แม้ความเสี่ยงในช่วงขาลงจะเริ่มลดระดับลงตั้งแต่ในช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2552) ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มติดลบ/ทรงตัวในระดับต่ำจนถึงช่วงไตรมาส 3 ปี 2552 อาจเป็นสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เอื้อให้ กนง.สามารถยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและเพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2552 อาจเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. โดยช่วงเวลาดังกล่าวแรงกดดันในช่วงขาขึ้นของเงินเฟ้อ อาจเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจกำลังอยู่ในช่วงแรกเริ่มของการฟื้นตัว ทำให้ ธปท. อาจต้องหันมาพิจารณาถึงความเหมาะสมของระดับดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งการตัดสินใจของ ธปท.ย่อมขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ให้ในเวลานั้นต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
โดย Mboy เวลา 08:12 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เศรษฐกิจไทย