10 มิถุนายน 2552

ตลาดหุ้นจีนสไตล์แนสแด็ค

ตลาดหุ้นจีนสไตล์แนสแด็ค
มีไว้ให้นักลงทุนที่มีประสบการณ์เท่านั้น



เซี่ยงไฮ้ 9 มิ.ย.- จีนเตรียมเปิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ที่มีรูปแบบการซื้อขายหุ้นคล้ายตลาดแนสแด็คในสหรัฐ แต่จะเปิดรับเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการซื้อขายหุ้นอย่างต่ำ 2 ปีขึ้นไป

คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน เป็นผู้ร่างกฎระเบียบดังกล่าว เนื่องจากเล็งเห็นว่า ตลาดหุ้นที่ตั้งขึ้นใหม่เลียนแบบตลาดแนสแด็คในสหรัฐ จะเต็มไปด้วยบริษัทที่เพิ่งตั้งกิจการแต่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้ามาจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหุ้น ถือเป็นกิจการที่มีความเสี่ยงสูง จึงไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่รับความเสี่ยงได้น้อย

นอกจากนี้ การเปิดให้นักลงทุนที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความเสี่ยง หรือรองรับความเสี่ยงได้น้อยเข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดมาก ๆ ท้ายสุด จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง ดังนั้น จึงต้องจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์อย่างต่ำ 2 ปีขึ้นไปเท่านั้น ให้เข้ามาซื้อขายหุ้นได้ แต่ถึงกระนั้น คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน จะเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้ส่งความเห็นเข้ามาจนถึงวันที่ 23 เดือนนี้ ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับกฎระเบียบดังกล่าว

ตลาดหุ้นแห่งใหม่ที่เลียนแบบตลาดแนสแด็คในวอลล์สตรีทนี้ จะดำเนินการโดยตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น หวังส่งเสริมบริษัทที่เพิ่งตั้งกิจการ แต่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง ให้สามารถระดมเงินทุนได้อย่างรวดเร็วผ่านตลาดหุ้น แต่ทางการจีนยังไม่ประกาศว่าตลาดหุ้นแห่งใหม่จะเริ่มเปิดการซื้อขายได้เมื่อใด

สำนักข่าวไทย

อาจผันผวน จากแรงขายทำกำไรบ้าง

อาจผันผวน จากแรงขายทำกำไรบ้าง


สภาพตลาดวันวาน :
ภาคเช้าการแกว่งตัวในกรอบแคบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ส่งผลทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ค่อยคึกคักเช่นหลายวันที่ผ่านมา ดัชนีเปิดเพิ่มขึ้นจากวันก่อนเล็กน้อย ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มหลัก กดดันให้ดัชนีอ่อนตัวลงจนติดลบเล็กน้อย


โดยลดลงต่ำสุดที่ระดับ 598 จุด จากนั้นจึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนให้ดัชนีสามารถแกว่งขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 605 จุด ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดีการที่ตลาดหุ้นหลัก ๆ ในเอเชีย ยังคงปรับฐานต่อเนื่องจากวันก่อน และไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด ทำให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักออกมาเป็นระยะ ๆ กดดันให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาทดสอบแนวรับบริเวณ 600 จุดอีกรอบ และปิดภาคเช้าที่ 600.81 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนเพียง 0.78 จุด โดยมีปริมาณซื้อขายชะลอตัวลง

ภาคบ่าย : แรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักและ TTA โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ส่งผลให้ดัชนีเปิดภาคบ่ายเพิ่มขึ้นเกือบ 4 จุดและสามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 604 จุดขึ้นไปได้ แต่ยังคงมีแรงขายทำกำไรเป็นระยะๆ ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 604-606 จุด จนเมื่อเข้าสู่ช่วง 30 นาทีสุดท้าย จึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้น จนมาปิดตลาดที่ 607.73 จุด เพิ่มขึ้น 7.70 จุด (+1.28%) โดยมีปริมาณซื้อขายลดลงเป็น 2.0 หมื่นล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิเล็กน้อย


แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้

1. ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดแกนนำ ยังคงมีแนวโน้มผันผวนในกรอบแคบ เพื่อรอปัจจัยหนุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะการรอดูข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ อาทิ ยอดค้าปลีก เดือน พ.ค. สต็อกสินค้าทั้งของภาคค้าส่ง และภาคธุรกิจเดือน เม.ย. เพื่อให้มั่นใจถึงการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งรอการประกาศรายชื่อธนาคารที่จะสามารถคืนเงินกู้แก่โครงการ TARP เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าธนาคารใดบ้าง มีฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นเพียงพอในระดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคาร และทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐได้ในระยะสั้น

2. ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. ปรับฐานลง 2 วัน ผลจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เริ่มมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเล็กน้อยในระยะสั้น ในขณะที่คาดการณ์ว่าปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจจะลดลงเล็กน้อย ราคาน้ำมันดิบ WTI เดือน ก.ค. จึงมีโอกาสแกว่งขึ้นไปทดสอบระดับราคา 69-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงานได้เช่นเดิม

3. ปัจจัยภายในประเทศ ความคืบหน้าของการเตรียมการกู้เงิน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ พรก. กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15-16 มิ.ย. นี้ อาจจะช่วยหนุนความหวังที่จะเห็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง มีความเป็นไปได้มากขึ้น ในขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คาดว่าจะมีการเปิดซองเสนอราคาค่าก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 2 ในวันที่ 11 มิ.ย. และสัญญาที่ 3 ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. ก็จะช่วยทำให้การพัฒนาโครงการเมกะโปรเจค และการใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลเป็นไปตามแผนการได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นในระยะสั้นได้เช่นกัน

จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ ยังคงมีแนวโน้มผันผวน ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า และทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวภายในกรอบแนวรับ 597-600 จุด กับแนวต้าน 612-615 จุด

นักลงทุนระยะสั้น - ลดพอร์ตลงบ้าง เมื่อดัชนีเข้าใกล้แนวต้าน รอซื้อคืนปลายสัปดาห์
นักลงทุนระยะยาว - ถือต่อ หรือ Short Port บ้าง หากดัชนีไม่ผ่านแนวต้าน

โกสินทร์ ศรีไพบูลย์


หุ้นไทยปิดบวกอีก 1.28%

หุ้นไทยปิดบวกอีก 1.28% บล. ฟาร์อีสท์ให้กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ 590-620 จุด

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียและไทยหลังจากนี้มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้ยาก และมีโอกาสปรับฐานลงได้ เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติบ้างแล้ว หลังนักลงทุนเริ่มกังวลเพิ่มขึ้นว่าปัจจัยพื้นฐานจะสามารถรองรับกับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้หรือไม่ เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่ได้สนับสนุน

ทั้งนี้ บล. ฟาร์อีสท์ได้คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ที่ 590 – 620 จุด โดยเชื่อว่าจะเป็นการทยอยซึมตัวลง แต่ยังคงขึ้นอยู่กับการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร เพราะจะมีผลต่อการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งอาจทำให้มีการขายทำกำไรออกมาหรือเงินไหลเข้าน้อยลงได้

นายจักรกริชกล่าวอีกว่า ราคาหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มขึ้นเกินมูลค่าที่เหมาะสมไปค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะบมจ. ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน ทำให้มีช่วงการปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างจำกัดแล้ว จึงเชื่อว่าหากสถานการณ์หรือปัจจัยเปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้มีแรงขายออกมาทันที

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่คืบหน้า เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อ บมจ. เอเชียน อินซูเลเตอร์ (AI) เพราะจำเป็นต้องใช้ลูกถ้วยไฟฟ้าตลอดเส้นทางเดินรถไฟฟ้า ทำให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้

ส่วนค่าระวางเรือในระยะกลางนี้ยังมีแนวโน้มปรับร่วงลง ส่งผลให้มีแรงเทขายออกมาในหุ้นกลุ่มเดินเรือทั่วภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา

“คำแนะนำการลงทุนในตอนนี้ จะเป็น “Trading Buy “ หรือการเข้าเร็ว ออกเร็ว โดยจะต้องลงทุนเกาะกระแสเงินทุนต่างชาติเป็นหลัก ” นายจักรกริชกล่าว




ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ปิดเพิ่มขึ้น 7.70 จุด หรือ 1.28% มาอยู่ที่ 607.73 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 20,336.90 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 512.40 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 383.04 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 895.44 ล้านบาท





ฝรั่งเริ่มทำกำไร!!

ฝรั่งเริ่มทำกำไร!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 9 มิ.ย.52 ปิดที่ 607.73 จุด เพิ่มขึ้น 7.70 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 20,336.91 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 389.66 ล้านบาท

บล.เคที ซีมิโก้ระบุว่า นักลงทุนมีความคาดหวังมากขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัว ซึ่งส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนทำให้มีแรงซื้อกลับหุ้นพลังงาน

ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสารดี๊ด๊าหลังมีความคืบหน้าเรื่องใบอนุญาต 3G ที่คาดว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จะออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการได้ทันภายในปีนี้

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดว่า มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากนักค้าน้ำมันเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวได้ในปีนี้ หลัง "พอล ครุกแมน" กูรูเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลออกมาฟันธงว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะพ้นจากภาวะถดถอยเดือน ก.ย.นี้

ส่วนข่าว รฟม.เตรียมเปิดซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 2 วันที่ 11 มิ.ย.นี้ ยังคงส่งผลดีต่อหุ้นรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง

ขณะที่มองทิศทางตลาดภาพรวมยังสดใส และยังให้ติดตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบไลท์ที่ตลาดนิวยอร์กว่าจะไปในทิศทางใด

แนะกลยุทธ์ ให้นักลงทุนที่ซื้อและถือหุ้นอยู่ในมือรอดูสถานการณ์ เพื่อหาจังหวะขายทำกำไรระยะสั้นออกมา

ปิดท้าย ใครที่เข้าไปซื้อหุ้นไม่ทันรอบนี้ที่ขบวนรถไฟขึ้นเหนือใกล้จุดหมายแล้ว หากมีเวลาว่างอยากชวนให้มาที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเลือกซื้อผลไม้ดีราคาถูกจากไร่เกษตรกรชาวจันทบุรี ช่วยชาวสวนจากราคาผลไม้ตกต่ำให้มีรายได้เพิ่ม

มีให้เลือก ทั้งเงาะ มังคุด ลองกอง ทุเรียน และสละ ในวันที่ 12-13 มิ.ย. ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันห้าโมงเย็น...

ถึงจะตกรถก็ยังสุขใจอิ่มท้อง แถมยังได้ช่วยชาวสวนอีกต่างหาก!!

อินเด็กซ์ 51



Template by - Abdul Munir | Blogging4