02 เมษายน 2552

ขนส่ง-ท่องเที่ยว คึกครื้นรับสงกรานต์ AOT แรงรับยอดใช้สนามบินพุ่ง

AOT-THAI จุดพลุหุ้นขนส่ง โรงแรม ค้าปลีก คึกคักรับเทศกาลสงกรานต์
13 - 15 เม.ย.นี้ หลังคาดได้ประโยชน์เต็มๆ กูรูชี้เป็นผลบวกจิตวิทยาลงทุนดันราคาหุ้นซู่ซ่า แนะลุยได้เต็มสปีด ยกนิ้ว AOT-CPALL-CPN เจ๋ง

ก้าวย่างเข้าสู่เดือนเมษายน นับถอยหลังไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลมหาสงกรานต์ ถึงคราวที่นักลงทุนต้องพักเบรกชั่วคราวจากตลาดหุ้นในช่วงปิดทำการวันหยุด ดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่ห้วงต้นเดือนเมษายนนี้จึงไม่มีท่าทีคึกคักเท่าไหร่นัก ขณะที่ปริมาณการซื้อขายยังคงบางเบาโดยคาดว่าจะต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยที่เงียบเหงา ยังพบว่าราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง และท่องเที่ยวกลับโลดแล่นโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจนรับกระแสเทศกาลท่องเที่ยวสงกรานต์ 13 - 15 เมษายนนี้

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ซึ่งเป็นสายการบินของประเทศ ที่มักได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ที่ใช้ในการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนหนาแน่นจนราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาปิดวันที่ 30 มีนาคม 2552 อยู่ที่ 8.60 บาท จากนั้นปรับเพิ่มสูงสุดถึงการซื้อขายวานนี้ (1 เมษายน 2552) ที่ 10.20 บาท ก่อนมาปิดที่ 9.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 3.14% มูลค่าการซื้อขาย 274.30 ล้านบาท

ขณะที่บริษัท อากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ผู้ประกอบการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก็คึกคักทิศทางเดียวกัน หลังล่าสุดย้ายเที่ยวบินในประเทศกลับไปยังท่าอาศยานสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง ประกอบการมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทำให้ยอดการใช้สนามบินเพิ่มมากขึ้น โดยราคาหุ้น AOT วานนี้ ขึ้นไปสูงสุดที่ 17.40 บาท ก่อนมาปิดที่ 17 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 6.25% มูลค่าการซื้อขาย 274.30 ล้านบาท

ส่วนหุ้นบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ในฐานะผู้ให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงสายการบินก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากได้อานิสงส์จากปริมาณเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยราคาวานนี้ปิดที่ 5.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 2.78% มูลค่าการซื้อขาย 1.19 ล้านบาท

นอกจากนี้ หุ้นที่เกี่ยวกับโรงแรม ค้าปลีก และสินเชื่อส่วนบุคคลจากสถาบันการเงิน และที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ก็ได้รับผลดีตามไปด้วย อาทิ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS

ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวและมีแนวโน้มปลดพนักงานโรงแรมลงตามวิกฤษเศรษฐกิจซบ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นกับผู้ประกอบการโรงแรมขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าอัตราการเข้าพักโรงแรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่เต็มแล้ว เนื่องจากมีการจองห้องพักล่วงหน้า หลังมีการออกแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว และแคมเปญกระตุ้นยอดขายต่างๆ ขณะที่นักวิเคราะห์หลายค่ายยังมีมุมมองที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มคมนาคมขนส่ง ท่องเที่ยว และค้าปลีก เนื่องจากมีจิตวิทยาลงทุนโดยตรง หลังคาดว่าจะได้ประโยชน์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และดันให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น

ที่มา :efinancethai.com

G20 เปิดฉากการประชุม

G20 เปิดฉากการประชุมที่ลอนดอนวันนี้ขณะมีสัญญาณชี้ศก.โลกเริ่มมีเสถียรภาพ

IQ ข่าวเศรษฐกิจ 02/04/2009 09:19:00

ผู้นำจากประเทศสมาชิก G20 ประชุมร่วมกันในวันนี้ ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มมีเสถียรภาพหลังจากที่ทรุดหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

โดยมีรายงานว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นในเดือนก.พ. ในขณะที่การลงทุนในชุมชนเมืองของจีนก็ขยายตัวกว่า 26.5% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีเดือนมี.ค.ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2550 และดัชนี S&P 500 ก็ทะยานมากสุดในรอบ 7 ปีในเดือนมี.ค.

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบหลายอย่างที่ต้องระวังอย่างเรื่องแรงงาน โดยธนาคารโลกออกมาเตือนว่าอาจเกิด "วิกฤตว่างงาน" ทั่วโลก ในขณะที่อัตราว่างงานในสหรัฐอาจพุ่งสูงสุดในรอบ 25 ปีในการเปิดเผยรายงานวันพรุ่งนี้

หน้าที่ของกลุ่ม G20 คือ การหนุนให้ปัจจัยบวกเหล่านั้นให้เป็นกุญแจหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้จริง

"หากดูจากสถานการณ์ในอดีต ตลาดหุ้นจะดีดตัวขึ้นก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว" อลาสแตร์ นิวตัน นักวิเคราะห์การเมืองจากบริษัท โนมูระ อินเตอร์เนชั่นแนล และอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลอังกฤษ กล่าว "แต่ในเมื่ออัตราว่างงานยังน่าเป็นห่วง กลุ่มผู้นำ G20 คงต้องถูกกดดันให้พยายามแก้ปัญหาต่อไป"

ทั้งนี้ กลุ่ม G20 ซึ่งมีสัดส่วนเศรษฐกิจกว่า 85% ของเศรษฐกิจโลก กำลังประชุมร่วมกันเพื่อหาทางแก้วิกฤตเศรษฐกิจ โดยทางกลุ่มมีกำหนดจัดการแถลงข่าวในเวลาประมาณ 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน

เจาะข่าวเล่าหุ้น

คอลัมน์ : เจาะข่าวเล่าหุ้น

ที่มา : รณกฤต สารินวงศ์ 02/04/2009 09:09:54

นอกจากปัจจจัยเดิมแล้ว ยังมีปัจจัยใหม่อีกด้วย เด็กแนวเคยเกริ่นหลายครั้งว่า การออกหุ้นกู้หรือพันธบัตรในปี 52 นี้มีหลายแสนล้านว่าไปแล้วก็อาจจะถึง 3 แสนล้านบาทเลยก็ว่าได้ และมีผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหลายเท่านัก ซึ่งในขณะที่ตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนจะนำเงินไปใส่ตลาดพันธบัตรแทน และส่งผลให้การลงทุนในหุ้นน้อยลงนี่คือปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจ และเมื่อวานนี้ พี่ PTTEP ประกาศออกหุ้นกู้ราว 2-3 หมื่นล้านบาทเพื่อไปซื้อหลุมก๊าซใหม่ในต่างประเทศ ทำให้เกิดแรงขายของหุ้นออกมาและดึงเอา SET ถลาลงตามอย่างเห็นได้ชัด นักลงทุนที่ไม่ได้ตามข่าวก็น่าเสียดาย และมัวแต่งุนงง ว่าทำไมพี่เทพถึงทิ้งตัวไม่สนใจหัวกับไส้เลย แต่ถ้าได้ตามข่าวนี้ตั้งแต่เช้าก็จะเข้าใจทุกประการ ว่าไปแล้วไม่ได้เป็นปัจจัยลบกับบริษัทเพราะ ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและมีเงินไปต่อยอดธุรกิจในอนาคต เพียงแต่นักลงทุนกังวลว่าแล้วภาวะแบบนี้บริษัทต่อไปจะชำระหนี้ได้ไม๊ และเมื่อออกหุ้นกู้ก็เหมือนเป็นการดึงเงินออกไปอีกแล้ว จึงส่งผลให้บรรยากาศโดยรวมจึงสวนทางรอบบ้านปานชะนี้แล

.....เอาล่ะ มาดู up date ดูเรื่องเศรษฐกิจตกสะเก็จกันหน่อยนะ ว่า IMF เค๊ามองอย่างไรล่าสุด .... นายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ให้สัมภาษณ์ในวันนี้ว่า ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลง0.5-1.0 % ในปีนี้ และการฟื้นตัวอาจเกิดขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2010 "ถ้านโยบายเศรษฐกิจมีความเหมาะสม ก็อาจจะมีการฟื้นตัวขึ้นใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2010" เขากล่าวกับนสพ.เอล ปาอิสของสเปน ....อืม แค่รอมาสามเดือนก็จะแย่แล้ว นี่พี่บอกว่ารอไปถึง 2010 โน่นเลย กลุ้มจริงๆ มาหาหุ้นร้อนเล่นกันดีกว่า อย่าไปสนใจ SET

TPOLY หลังจากที่พี่เจริญต้องเร่ร่อนออกจาก underwriter ชื่อก้องทำตัวน่ารักที่มีข่าวว่าทุบหุ้นพี่ทิ้งตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาด จากนั้นจนวันนี้ก็ไม่สามารถหาใครมาเป็นป้อเลี้ยงได้สักคน พี่เจริญคงเซ็งค์จึงหันมาเก็บหุ้นเองเป็นแน่ เพราะดูราคาแถว 1.7 บาทมีเงินดูดทยอยรับไว้ตลอดอย่างบอกไม่ถูก และทำท่าว่าของจะแห้ง เมื่อวานจึงอาจจะเป็นการ test ระบบ โดยไล่ขึ้นไปดูซิว่ามีใครแหย่ขายอีกหรือไม่ ถ้าเบาก็ไปโลด ถ้าหนักก็ทุบทิ้งกดกันต่อไปเอาให้เข็ดไปเลยอยากขายกันดีนัก แต่ดูไปดูมาเด็กแนวมองเป็นเชิงบวก เพราะหลังสงกรานต์พี่จะเตรียมจ่ายปันผล 10 ตังค์ และเตรียมรับงานมูลค่าหลายพันล้านบาท แถมอาจจะมีจับมือกะพาร์ทเนอร์ร่วมงานกัน เป็นสามเด้งของข่าวดี มิน่าล่ะเมื่อวานแรงดีทีเดียว วันนี้สงสัยเปิดโดด ถ้าผ่าน 1.80 ได้อย่างแข็งแรง มีโอกาสยกฐานแหง๋มๆ สาธุ โอมมมพรวดดดด นู๋ไม่มีเงิน ขอเอาใจช่วยก็แล้วกัน ขาดทุนนั้นไม่เกี่ยวแต่ถ้ามีกำไรขอเอี่ยวด้วยนะคร๊าบบบบ

หุ้นแอบชอบ SH สังเกตในช่วงนี้มีหุ้นหลายๆ ตัวที่แทบไม่ปรากฏชื่อ แต่โผล่ขึ้นมาชนซิลลิ่งไม่เว้นแต่ละวัน แถมกระโดดทีละหลายลิ่งอีกตะหาก ใครเป็นแฟนประจำช่วง 2 week ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าหุ้นไม้หนึ่งที่ท่านๆ ได้กันไปนั้นตอนนี้แรงไปถึงไหนๆ แล้วไม่ว่าจะเป็น cawow, ties, ynp, apure และเด็กแนวกำลังมองว่าม้าน้ำน่าจะเป็นรายต่อไปที่จะกระตุกเล่นเอามันโดยไม่ต้องเริ่มจาก story อะไร จนกว่าราคาจะขึ้นแรงแล้วมีคนมาเติมสีใส่ไข่ให้ทีหลัง แต่ตอนนี้เก็งตามกราฟแอบชอบไม่ก่อน ถ้าไม่ดีก็หนีให้ทันแค่นั้นพอ แนวต้านเทคนิค 55 ตังค์ น่าสนใจ

…..วันนี้เด็กแนวขอให้หุ้นน้อยกว่าทุกวัน เพราะเท่าที่ดูหุ้นช่วงนี้เริ่มวิ่งวนในวงที่แคบลงๆ ซึ่งทำให้ต้องรอกระแสใหม่ๆ จากหุ้นใหม่ๆ เพียงแต่รอทิศทางหุ้นบางตัวให้ใสกว่านี้ก่อนจึงค่อยมาบอกกล่าวกัน ตอนนี้เก็งกำไรเบาๆ หุ้น 2 ตัวไปก่อนคร๊าบ ขอให้รวยยยย..... ท่านสามารถส่งคำถาม คำแนะนำมายัง email : ronnakritsa@asl.co.th

ควีนเอลิซาเบธที่ 2 G20

ควีนเอลิซาเบธที่ 2 พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำผู้นำจี 20



ลอนดอน 2 เม.ย. - บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศจี 20 พร้อมคู่สมรส เดินทางไปร่วมงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซา เบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ทรงเป็นเจ้าภาพ ที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ และนางมิเชล โอบามา ภริยา เป็นผู้นำกลุ่มประเทศจี 20 คนแรกที่เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ และเจ้าชายฟิลลิป พระสวามี ที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม ก่อนร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยง ถือเป็นครั้งแรกของผู้นำสหรัฐที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิ ซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษด้วย

นอกจากนี้ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ และพระสวามี ยังทรงให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของไทย ประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโดโยโน ของอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ผู้นำฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ ผู้นำออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ของอิตาลี และนายกรัฐมนตรีทาโร อาโซะ ผู้นำญี่ปุ่น

ที่มา:นักข่าวไทย

หุ้นสหรัฐปิดบวกรับแรงหนุน

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกรับแรงหนุน น้ำมันดิบร่วง 1.27 ดอลลาร์

สหรัฐ 2 เม.ย. - ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวในแดนบวกต่อเนื่อง จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มสำคัญ หลังข้อมูลเศรษฐกิจออกมาน่าพอใจ

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นวันแรกในไตรมาส 2 ของปี ดัชนีปรับเพิ่มจากข้อมูลเศรษฐกิจที่เป็นบวก
ไม่ว่าจะเป็นยอดจำหน่ายบ้านในเดือนที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ดัชนีกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมแม้จะปรับลดลงในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้ เช่นเดียวกับการใช้จ่ายภาคการก่อสร้าง ที่แม้จะลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 แต่ก็ไม่มากอย่างที่คาดไว้เช่นกัน

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.50 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.28 พันล้านหุ้น


บิล สโตน นักวิเคราะห์จาก PNC Wealth Management กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคักคัก หลังจากสำนักงานจัดการด้านอุปทานระบุว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของโรงงานในสหรัฐปรับตัวลดลงน้อยเกินคาดในเดือนก.พ. และดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales)
เพิ่มขึ้น 2.1% แตะระดับ 82.1 จุดในเดือนก.พ. จาก 80.4 ในเดือนม.ค.

ก่อนหน้านี้สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 5.1% แตะระดับ 4.72 ล้านยูนิต สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.จะร่วงลง 0.9% แตะระดับ 4.45 ล้านยูนิต/ปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเริ่มรวบรวมข้อมูลในปีพ.ศ.2543

ดัชนีการทำสัญญาซื้อบ้านที่รอการปิดขายและยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.ที่พุ่งขึ้นเกินความคาดหมายทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คลายความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลอว์เรนซ์ ยุน หัวหน้านักวิเคราะห์ของสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า การที่ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.พุ่งขึ้นเกินคาดมาจากการที่ประชาชนเข้าซื้อบ้านในช่วงที่ราคาบ้านตกต่ำลง และความเชื่อมั่นที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะใช้มาตรการฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายซบเซาลงหลังจาก ADP National Employment Report รายงานว่า ภาคเอกชนของสหรัฐลดการจ้างงานลง 742,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาดูตัวเลขจ้างงานเดือนก.พ.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ที่ 3 เม.ย.นี้

โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 8.5%
ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี จากเดือนก.พ.ที่ระดับ 8.1% และคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) เดือนมี.ค.จะร่วงลง 660,000 คน ซึ่งจะทำให้จำนวนคนตกงานโดยรวมพุ่งขึ้นเป็น 5 ล้านคน

นอกจากนี้ ตลาดยังคงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐ
หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ระบุว่า การล้มละลายเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการปรับโครงสร้างของบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) โดยผ่านกระบวนการที่ลูกหนี้คือจีเอ็มและเจ้าหนี้คือรัฐบาลสหรัฐทำข้อตกลงและจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการร่วมกัน (Prepackaged Bankruptcy)

นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอด G20 ที่กรุงลอนดอนในวันที่ 2 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าที่ประชุมจะเรียกร้องให้ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ใช้กฎข้อบังคับด้านการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นและร่วมมือกันใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ทั่วโลกสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันได้

หุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดบวก 5.9% หุ้นเจพีมอร์แกนปิดพุ่ง 5.9%เช่นกัน ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 5.1% และหุ้นแอปเปิลปิดบวก 3.4%


ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์
ลดลง 1.27 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ระดับ 48.39 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 7,761.60 จุด เพิ่มขึ้น 152.68 จุด
แนสแดคปิดที่ระดับ 1,551.60 จุด เพิ่มขึ้น 23.01 จุด
และเอสแอนด์พี ปิดที่ระดับ 811.08 จุด เพิ่มขึ้น 13.21 จุด

ที่มา: สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

คาดยังพอเก็งกำไรได้

บล. เกียรตินาคินคาดยังพอเก็งกำไรได้ หากหุ้นไทยแกว่งตัวที่ 420-430 จุด

วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดร่วงลงสวนทางกับตลาดอื่นในภูมิภาค เนื่องจากยังมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามากดดัน ซึ่งหากยังยืดเยื้อต่อไป ก็จะทำให้ดัชนีซึมลงและอ่อนตัวต่อไป โดยเชื่อว่าจะยังเคลื่อนไหวได้ระหว่าง 420- 430 จุดในระยะหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เก็งกำไรระยะสั้นได้บ้าง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงพอสมควร โดยหากเป็นหุ้นบมจ. ปตท. (PTT) อ่อนตัวลงมาแตะที่ระดับ 147 บาท ก็สามารถเข้าเก็งกำไร เพื่อรอการดีดกลับขึ้นไปแตะระดับ 152-155 บาทได้

ส่วนการประชุม G-20 ก็ไม่น่าจะมีผลในเชิงรูปธรรม และจิตวิทยาการลงทุนมากนัก แต่ก็อาจทำให้หุ้นปรับเพิ่มขึ้นและมีแนวต้านขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 435 จุดได้

สำหรับราคาหุ้นบมจ. การบินไทย (THAI) ที่ปรับเพิ่มขึ้น เชื่อว่าเกิดจากความคาดหวังใหม่ ๆ ที่มีต่อ THAI และบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้งแนวโน้มการลดต้นทุนการดำเนินงาน และการนำเสนอแผนธุรกิจใหม่ให้กับกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ราคาหุ้น THAI ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับลดลงไปมาก ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นในระยะนี้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังเชื่อว่าจะยังมีกรอบที่จำกัดไว้ เพราะจะต้องมีการพิจารณาผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทด้วย ซึ่งหากงบการเงินมีทิศทางที่ดีขึ้น จะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพมากกว่าปัจจุบันได้

ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดร่วงลง 1.41 จุด หรือ 0.33% มาปิดที่ 430.09 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 6,736.38 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 43.19 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 250.98 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 294.18 ล้านบาท


- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th

มองตลาดยังเสี่ยง

บล. ดีบีเอสฯมองตลาดยังเสี่ยง แนะเลือกหุ้นที่กำไรยังโตได้แม้เศรษฐกิจชะลอ


อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในรายการก้าวทันตลาดทุนว่า ในระยะนี้ ควรต้องลงทุนรอบสั้นมากขึ้น หลังยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจ และการเมือง ทำให้ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน แต่ในวันนี้ดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ตามตลาดต่างประเทศ หลังจากบรรยากาศการลงทุนดีขึ้น โดยกลุ่มอุตสาหกรรมบางประเภทอาจมีกำไรขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/51 เช่น โรงกลั่นน้ำมันที่น่าจะได้กำไรจากสต็อกน้ำมัน และค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากยังมีข้อจำกัด จึงเชื่อว่าเป็นโอกาสในการขายหรือปรับพอร์ตการลงทุนได้หากดัชนีปรับเพิ่ม ขึ้น

บล. ดีบีเอสฯ มองว่า การลงทุนในขณะนี้ ควรเลือกหุ้นที่มีกำไรเติบโตได้ดีแม้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัว เช่น หุ้นบมจ. บ้านปู (BANPU) เพราะทำสัญญาขายราคาถ่านหินไว้ล่วงหน้าเป็นสัดส่วนประมาณ 72% ของปริมาณการขายในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับราคาสูงถึง 79-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และความต้องการถ่านหินยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ BANPU ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาก โดยมีหนี้สินสุทธิต่อทุนสิ้นปี 2551 เพียง 0.2 เท่า และจะได้รับกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าในจีนและบริษัทร่วมเข้ามาด้วย อีกทั้ง BANPU ยังสามารถจ่ายปันผลได้ในระดับสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของกลุ่มหุ้นมูลค่าตลาดสูง โดยคาดว่าจะจ่ายได้ 16 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 7.7% ทำให้บล. ดีบีเอสฯเลือกเป็นหุ้น Top Pick ในขณะนี้

บล. ดีบีเอสฯให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานเฉลี่ยไว้ที่ 264 บาท

หุ้นเช็คช่วยชาติ!!

หุ้นเช็คช่วยชาติ!!
[2 เม.ย. 52 - 02:12]


เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท จำนวน 5.5 ล้านฉบับ สำหรับผู้ประกันตนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/เดือนที่ได้กระจายไปถึงมือประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศและกำลัง เริ่มมีการจับจ่ายใช้สอยแล้วนั้น

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า อุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีมากที่สุดจากเช็คช่วยชาติคือพาณิชย์และอาหาร เพราะคาดว่าผู้บริโภคจะนำไปใช้ในการซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็น หลัก ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อหุ้น CPALL, BIGC และ CPF

ส่วนกรณีที่ BBL ประกาศลดดอกเบี้ยรอบใหม่ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25-0.50% ยังผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3-12 เดือนลดลงเป็น 0.75-1.00% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เป็น 6.00% มีผล 25 มี.ค. 52 ส่วนอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ทรงตัวที่ 0.50% นั้น

เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นข่าวบวกกับกลุ่มที่พักอาศัย แม้อาจไม่สามารถช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ แต่ดอกเบี้ยที่ลดและมาตรการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมจะช่วยพยุงไม่ให้ยอด ขายหดตัวรุนแรงจนเกินไป ในทางกลยุทธ์แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้น AP เนื่องจากเป็นบริษัทที่มี Backlog สูง และจะขึ้น XD ปิดสมุดทะเบียนรายชื่อเพื่อจ่ายเงินปันผลวันที่ 7 พ.ค.นี้ ที่หุ้นละ 0.25 บาท , PS เนื่องจากสินค้าหลากหลาย มีต้นทุนการผลิตต่ำ แต่ขึ้น XD ไปแล้ว, LPN มี Backlog สูง จะขึ้น XD 2 เม.ย. จำนวนหุ้นละ 0.27 บาท

ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงแรกของการลดดอกเบี้ยทั้งสองขา ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) จะลดลงก่อนเพราะรายได้ดอกเบี้ยลดลงเร็วกว่าต้นทุนทางการเงิน เนื่องจากเงินให้กู้ส่วนใหญ่อิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวแต่เงินฝากส่วนใหญ่ เป็นฝากประจำ 3-12 เดือน

แต่คาดว่าผลกระทบจากการลดลงของ NIM จะไม่รุนแรง และแบงก์พยายามหารายได้ค่าธรรมเนียมเข้ามาเสริม จึงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น Neutral “ถือ” โดยหุ้น Top picks เป็น BBL และ KBANK.


อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4