22 กรกฎาคม 2552

เตือนระวังซื้อขายหุ้นสินเอเซีย

เตือนระวังซื้อขายหุ้นสินเอเซีย ก.ล.ต.ระบุข้อมูลยังไม่ชัดเจน


สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏข่าวทางสื่อต่างๆ เกี่ยวกับแผนการขายหุ้นธนาคารสินเอเซีย (ACL) ในส่วนที่กระทรวงการคลังถืออยู่ นั้น ก.ล.ต. ขอแจ้งให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังที่จะใช้ข้อมูลตามข่าวดังกล่าวประกอบการตัดสินใจซื้อขายหุ้นธนาคารสินเอเซีย เนื่องจากข้อมูลการตกลงซื้อขายหุ้นธนาคารสินเอเซีย ระหว่างกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กับผู้ที่สนใจจะซื้อ ยังไม่มีข้อมูลที่เปิดเผยอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องราคา จำนวน และความเป็นไปได้

รวมทั้งข่าวที่ออกมานั้นส่วนหนึ่งเป็นการให้ข่าวจากแหล่งข่าวที่ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันตัวตนของผู้ให้ข่าวได้ จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ และในส่วนของกระทรวงการคลังก็ยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงแผนการขาย หรือความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวที่ชัดเจน


แนวโน้มปรับฐาน ขายทำกำไรบ้าง

แนวโน้มปรับฐาน ขายทำกำไรบ้าง


สภาพตลาดวันวาน :
ภาคเช้า : การปรับลงของดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า และตลาดหุ้นในภูมิภาคบางแห่ง ทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มหลักออกมาบ้าง ในช่วงเริ่มเปิดซื้อขาย ส่งผลให้ดัชนีเปิดลดลงบ้างเล็กน้อย ก่อนที่จะผันผวนในกรอบ 610-616 จุด ในช่วง 30 นาทีแรก


หลังจากนั้นจึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักกลับเข้ามาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน หนุนให้ดัชนีแกว่งขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 618 จุด จากนั้นจึงมีแรงขายทำกำไร กดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาทดสอบแนวรับบริเวณ 612 จุดอีกครั้ง และปิดภาคเช้าที่ 613 จุด ลดลงจากวันก่อน 0.63 จุด โดยมีปริมาณซื้อขายค่อนข้างหนาแน่นเกือบ 1.3 หมื่นล้านบาท


ภาคบ่าย : บรรยากาศการซื้อขายยังคงผันผวนต่อเนื่องจากภาคเช้า แรงกดดันจากการปรับฐานของตลาดหุ้นหลักๆ ในเอเชีย รวมทั้งการลดลงเล็กน้อยของดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักออกมาบ้างในช่วง 15 นาทีแรก ทำให้ดัชนีลดลงไปทดสอบแนวรับบริเวณ 610 จุดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีแรงซื้อเก็งกำไร หนุนให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 615 จุดได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าช่วง 1 ชั่วโมงสุดท้ายได้มีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มหลักออกมาอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ดัชนีอ่อนตัวลงจนมาปิดตลาดที่ 609.83 จุด ลดลง 3.84 จุด (-0.63%) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวัน โดยมีปริมาณซื้อขายลดลงเหลือ 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง


แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้

1.ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากดัชนีดาวโจนส์แกว่งตัวขึ้นติดต่อกัน 6 วันทำการ จากปัจจัยหนุนเรื่องผลประกอบการที่ดีเกินคาดของกลุ่มหลักๆ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มเทคโนโลยี ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดแกนนำ อาจจะมีแนวโน้มปรับฐานบ้าง จากการขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนบางกลุ่ม เพื่อรอดูสัญญาณแนวโน้มทางเศรษฐกิจ และโอกาสในการยุติมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน จากคำแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ ที่จะมีต่อสภาคองเกรส ในช่วงวันที่ 21-22 ก.ค. นี้ ซึ่งคงจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับฐานตามบ้างเช่นกัน

2.ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ เช่นเดียวกับทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.อาจจะปรับฐานบ้าง ก่อนที่จะครบกำหนดส่งมอบในวันอังคารที่ 21 ก.ค. หลังจากแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่อง 4 วันทำการ ตามแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และการแกว่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ ในขณะที่ปริมาณสต็อกผลิตภัณฑ์น้ำมัน ทั้งน้ำมันเบนซิน และน้ำมันกลั่น ในสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจจะเป็นปัจจัยกดดันให้มีแรงขายทำกำไรสัญญาส่งมอบน้ำมันดิบออกมาบ้างเช่นกัน

3.ปัจจัยในประเทศ ตลาดหุ้นไทยได้ตอบรับปัจจัยบวกต่างๆ ไปพอสมควรแล้ว ไม่ว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2552 ที่ดีเกินคาดของกลุ่มธนาคาร ความสงบเรียบร้อยในการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ภูเก็ต รวมทั้งตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย.ที่กระเตื้องขึ้นจากเดือนก่อน แม้ว่าจะลดลงจากเดือน มิ.ย.ปีก่อน ส่งผลทำให้ดุลการค้ายังคงมียอดเกินดุลต่อเนื่อง โดยมียอดเกินดุลถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง ม.ค.-มิ.ย.2552 ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยจึงมีแนวโน้มจะปรับฐานบ้าง ก่อนจะมีการเริ่มประกาศผลประกอบการของกลุ่มพลังงาน และ ปิโตรเคมี ในสัปดาห์หน้า

จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ยังคงมีแนวโน้มปรับฐานต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า รวมถึงแรงขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนประเภทสถาบัน

คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวผันผวนภายในกรอบแนวรับ 597-600 จุด กับแนวต้าน 615-618 จุด

นักลงทุนระยะสั้น - แกว่งขึ้น ขายทำกำไรบ้าง รอซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักที่แนวรับ
นักลงทุนระยะยาว - ถือต่อ หรือ Short Port บ้าง หากดัชนีไม่ผ่านแนวต้าน

โกสินทร์ ศรีไพบูลย์



รอบนี้ขอเสิร์ฟหุ้นอาหาร

รอบนี้ขอเสิร์ฟหุ้นอาหาร

หุ้นอาหารติดเทอร์โบ รับรัฐบาลเปิดนโยบายหนุนระบบรับประกันราคาสินค้าข้าวเปลือกปี 52/53 สุดตัว แถมธุรกิจส่งออกมีสัญญาณฟื้นตัว ด้านโบรกฯ แนะนำเก็งกำไร KASET - KSL -CPF-CFRESH คาดไตรมาส 3/2552 ส่งออกอาหารคืนชีพ ขณะที่ผู้บริหาร KASET ออกมาการันตีรายได้ครึ่งปีหลัง เติบโตกว่าครึ่งปีแรก รับราคาข้าวพุ่ง แถมความต้องการในต่างประเทศเพิ่ม


บรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นไทย วานนี้ (21 ก.ค.) เรียกได้ว่ากำลังหาแนวทางเดิน ระหว่างวันจึงเกิดความแปรปรวน เดี๋ยวบวก เดี๋ยวลบ แม้จะไม่มีข่าวลบ แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นมามากในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนเริ่มมีการขายทำกำไรออกมา การขายทำกำไรนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร สำหรับตลาดหุ้นแบบนี้ เพราะหากไม่มีการขาย โอกาสที่หุ้นจะขึ้นต่อก็จะยากเต็มที เพราะคนไม่กล้าซื้อหุ้น เนื่องจากตลาดต่างประเทศ และสัญญาณน้ำมันก็เริ่มมีแรงขายเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากปริมาณการซื้อขายแล้ว ยังถือว่าค่อนข้างสูงพอควร

แต่ท่ามกลางความผันผวน หุ้นกลุ่มอาหารกลับได้รับความนิยม ส่งผลให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวอยู่ในแดนบวกได้อย่างคึกคัก หลักๆ น่าจะมาจากยอดตัวเลขส่งออกเดือน มิ.ย. 52 ที่แม้ว่าจะยังคงติดลบอยู่ 25.9% เทียบจากปีก่อน แต่ถือว่าปรับตัวดีขึ้น 5.8% จากเดือนเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 12.3 พันล้านเหรียญฯ โดยการส่งออกปรับตัวดีขึ้นหากเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะ ข้าว และ สินค้าอิเล็คทรอนิกส์ จึงมีความเป็นไปได้ว่าการส่งออกอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ประกอบกับแนวโน้มราคาจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณข้าวเปลือกที่จะนำมาผลิตเป็นข้าวสารบรรจุถุงในตลาดอยู่ในภาวะตึงตัว ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (21 ก.ค) ได้เห็นชอบในหลักการระบบประกันราคาสินค้าข้าว


วานนี้(21 ก.ค.) ดัชนีฯ ตลาดปิดที่ 609.83 จุด ลดลง 3.84 จุด หรือ 0.63% มูลค่าการซื้อขาย 20,712.15 ล้านบาท ราคาหุ้น บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) หรือ KASET ปิดตลาดที่ 4.08 บาท เพิ่มขึ้น 0.42 บาท หรือ 11.48% มูลค่าการซื้อขาย 112.70 ล้านบาท ,บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)หรือ CFRESH ปิดตลาดที่ 1.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.07 บาท หรือ 4.05% มูลค่าการซื้อขาย 3.66 ล้านบาท ,บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL ปิดตลาดที่ 9.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 2.12% มูลค่าการซื้อขาย 30.82 ล้านบาท และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ปิดตลาดที่ 4.88 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ -0.41% มูลค่าการซื้อขาย 85.35 ล้านบาท

*** ครม.เห็นชอบ ระบบประกันราคาข้าว สินค้าข้าวเปลือกปี 52/53

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานผลจากการพิจารณาของอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการประกันราคาและการประกันภัยข้าวเปลือก โดยเห็นชอบแนวทางในการดำเนินมาตรการข้าวปี 2552-2553 โดยให้ดำเนินการประกันราคาขาวเปลือกแก่เกษตรกรเป็นการทั่วไป เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง และแก้ไขปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ส่งออกของประเทศ

นอกจากนี้ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.)ด้านการผลิตพิจารณากำหนดราคาประกันข้าวเปลือกแต่ละชนิดที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิตขาวเปลือกแต่ละชนิด และค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกร เพื่อให้ได้รับราคาที่เหมาะสม พร้อมทั้งเร่งรัดให้เกิดการจัดทำทะเบียนเกษตรกรเพื่อนำมาใช้ประกอบในการประกันราคาข้าวเปลือกและมาตรการอื่นๆรวมถึงนำเสนอต่อกขช.พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป

ทั้งนี้ได้มอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ทำการประชาสัมพันธ์การประกันราคาข้าวเปลือกเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แแก่เกษตรกรเกี่ยวกับราคาประกัน ราคาอ้างอิง และการชดเชยราคาของรัฐ รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการและผลที่เกษตรกรจะได้รับจากการประกันราคาข้าวเปลือก อีกทั้งมอบให้กขช.ด้านการตลาดได้พิจารณาถึงกำหนดมาตรการการรักษาเสถียรภาพของราคาข้าวเปลือก เพื่อเป็นมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากการประกันราคาข้าวเปลือก และนำเสนอมาตรการต่อกขช.ในการประชุมครั้งต่อไป

นายวัชระยังกล่าวต่ออีกว่า ครม.ได้พิจารณาการจำหน่ายข้าวสาร โดยอิงกลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอ โดยได้มีมติอนุมัติดังนี้

1.ให้องค์การคลังสินค้า(อคส.)นำเงินค่าข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/2552 ที่ระบายจำหนายได้ ซึ่งต้องส่งคืน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 425 ล้านบาท มาเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อให้อคส.ใช้เป็นหลักประกันในการซื้อขายล่วงหน้าในตลาด AFET เพื่อป้องกันการผิดสัญญาของผู้ซื้อและผู้ขาย ทั้งนี้ปริมาณข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/2552 จำนวน 763,920 ตัน แยกเป็นข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 3 แสนตัน และข้าวขาว 5% ปริมาณ 463,920 ตัน ทั้งนี้เมื่อหมดภาระผูกพันแล้วหากเงินที่ได้รับคืนเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามเกณฑ์การวางหลักประกันซื้อขายของตลาด AFET ให้นำไปคำนวณเป็นรายได้หรือภาระขาดทุนตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2551/2552 ต่อไป

2.อนุมัติงบกลางเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงินจ่ายขาดจำนวน 24.64 ล้านบาท ให้อคส.ให้เป็นค่าตอบแทนนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า และค่าจ้างผู้จัดการซื้อขายล่วงหน้า

***โบรกฯ มองหุ้นอาหารยังสดใส

นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มอาหารมีจุดเด่น คือ เป็นสินค้าจำเป็นในการบริโภค ซึ่งขาดไม่ได้ จึงไม่ได้รับผลกระทบแม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว ประกอบกับคาดว่าในไตรมาส 3/2552 ส่งออกอาหารน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น จึงแนะนำนักลงทุนซื้อเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ,บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) หรือ KASET และบริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF

" หุ้นกลุ่มอาหารก็เล่นเก็งกำไรได้ เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีจุดเด่น คือ เป็นสินค้าที่จำเป็น และในไตรมาส 3 ส่งออกน่าจะดี ส่วนราคาข้าวถุงก็ปรับขึ้น ซึ่งตรงนี้คงส่งผลบวกต่อ KASET จึงแนะนำเก็งกำไร โดยให้แนวรับไว้ที่ 3.90 บาท แนวต้าน 4.20 บาท TUF ให้แนวรับไว้ที่ 24.40 บาท แนวต้าน 25 บาท ส่วน CPF ให้แนวรับไว้ที่ 4.80 บาท และแนวต้าน 5 บาท " นายเตชธร กล่าว

***บล.พัฒนสิน มอง CPF โดดเด่นสุด

นางเพลินใจ จิระจรัส นักวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่า หากพิจารณาหุ้นในกลุ่มธุรกิจอาหาร CPF จะเป็นหุ้นตัวที่โดดเด่น เนื่องจากในปีนี้จะเป็นปีที่ธุรกิจสามารถส่งออกอาหารเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 2 /2552 จะเป็นช่วงที่มีกำไรดีที่สุด จึงแนะนำลงทุน ซึ่งราคาเป้าหมายอยู่ที่ 5.62 บาท/หุ้น ขณะเดียวกันหากประเมินถึงอุปทานของอาหารโลกเริ่มมีแนวโน้มลดลงและยังมีภัยแล้งที่เป็นอุปสรรค

โดยการบริโภคเนื้อหมูและไก่ยังคงเพิ่มขึ้นแม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง เนื่องจากอาหารยังมีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากต้นทุนกากถั่วเหลืองที่ใช้เป็นอาหารมีราคาปรับตัวลดลง โดยเฉลี่ยทั้งปีราคาเนื้อหมูน่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ราคาเนื้อไก่น่าจะทรงตัว จึงยังคงแนะนำลงทุนในหุ้น บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO เนื่องจากราคาของสินค้าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะโตจากปีก่อนประมาณ 55% โดยให้ราคาเป้าหมาย 14.85 บาท

ส่วนบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL ยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำตาลที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยมองว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2552 น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ แต่ยังมองว่ายังจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 10.30 บาท

***หุ้น KASET วิ่งรับราคาข้าวขยับ หลังดีมานด์พุ่ง

นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) หรือ KASET เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงการซื้อขายวานนี้(21 ก.ค.) ว่า น่าจะเกิดจากการรับประเด็นข่าวบวก จากราคาข้าวที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการทั้งขายปลีกและขายส่งได้ทยอยปรับขึ้นราคาขายไปแล้ว ประกอบกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายในตลาดขยับขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นผลดีต่อเกษตรกร

'เข้าใจว่าภาครัฐได้เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของราคาข้าว โดยยอมรับว่ายังมีสต็อกข้าวที่อยู่ในฝั่งของรัฐบาลและเชื่อว่านโยบายของรัฐในปัจจุบันค่อนข้างจะปกป้องเกษตรกร และในส่วนของการดูแลราคาก็ยังเป็นไปในทางที่ดีอยู่ ในส่วนของข้าวหอมมะลินั้นเป็นช่วงของปลายฤดูกาล จึงทำให้มีการปรับตัวที่รวดเร็วไปนิดหนึ่ง เป็นผลทำให้ราคาขยับขึ้น' นายสมฤกษ์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มของรายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง มีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะพิจารณาจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาก็เริ่มส่งสัญญาณในเชิงบวกมากขึ้น ประกอบกับส่วนหนึ่งได้รับผลบวกจากราคาข้าวที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับอานิสงค์จากความต้องการข้าวในต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดพบว่าราคาข้าวในสหรัฐฯ ขยับเพิ่มขึ้นภายหลังจากข้าวขาดแคลน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เหรียญฯ ขณะที่บริษัทฯ มีสัดส่วนในการส่งออกไปยังต่างประเทศกว่า 60% และลูกค้าส่วนใหญ่ที่ส่งสินค้าให้ค่อนข้างที่จะเป็นลูกค้าที่ดีและมีการจ่ายเงินในส่งสินค้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีการป้องกันความเสี่ยงโดยการเลือกลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ หากจะส่งสินค้าจะมีการทำสัญญาในลักษณะการจ่ายเงินแบบเงินสด

อย่างไรก็ตามแม้บรรยากาศการลงทุนช่วงนี้ เรียกได้ว่าเริ่มฟื้นดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาไข้หวัด 2009 ก็ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อบริษัทเช่นกัน โดยเฉพาะกระทบต่อลูกค้าในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร แต่ก็ถือว่าไม่หนักหนาสาหัสนัก

***บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะเล่นสั้น

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า ราคาหุ้น KASET ปรับตัวสูงขึ้นและมีวอลุ่มเทรดเข้ามาอย่างคึกคักช่วงนี้ คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน ภายหลังจากที่มีการเก็งกันว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะขยับขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนประเด็นข่าวแนวโน้มราคาจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นแรงเสริมได้ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ ช่วงสั้นนักลงทุนสามารถเข้ามาเก็งกำไรได้ ตามกรอบแนวต้าน 4.20 บาท แนวรับ 3.90 บาท


Selective Buy

บล. ฟาร์อีสท์แนะช่วงนี้ต้อง “Selective Buy”
THCOM น่าสน ราคามีสิทธิแตะ 14.70 บาท
จักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวในรายการ Trading Hour (Afternoon) ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ เนื่องจากมีการ Sell on Fact ออกมาในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่วน 3 วันทำการที่เหลือของสัปดาห์นี้ควรต้องจับกระแสการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศหลัก รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐฯที่หากยังปรับขึ้นก็ยังช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงานและตลาดหุ้นไทยไว้ได้

จักรกริชมองว่าตลาดหุ้นไทยอาจต้องลงไปพักฐานที่ดัชนีระดับ 560 จุด หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/52 เสร็จสิ้นลง และนักลงทุนอาจต้องกระจายการลงทุนไม่ควรเน้นที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือใช้กลยุทธ “Selective Buy” เลือกลงทุนในหุ้น “Outperform” ที่มี “Story” ผลประกอบการเติบโตได้ต่อเนื่องหรือก้าวกระโดด อย่าง บมจ. ไทยคม (THCOM)

ทั้งนี้ กระทรวง ICT ของอินเดีย เพิ่งจะยืนยันอย่างชัดเจนว่าจะให้ดาวเทียม IP Star เป็นวาระแห่งชาติ และมีการบรรจุลงในงบประมาณแผ่นดิน จึงทำให้เชื่อได้ว่า ราคาหุ้น THCOM ซึ่งซื้อขายอยู่ที่ 6.10 บาทขณะนี้ มีโอกาสปรับขึ้นไปซื้อขายที่ 1 เท่าของ Book Value โดย บล. ฟาร์อีสท์ได้ปรับประมาณการณ์ราคาเป้าหมายของ THCOM มาอยู่ที่ 14.70 บาท พร้อมกับแนะนำให้ทยอยซื้อ เพราะมีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นได้อีกมาก อีกทั้งในระยะยาว THCOM ยังเตรียมนำบริษัทลูกในลาว เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของลาวอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีหุ้น บมจ. อินโดรามาโพลีเมอร์ส (IRP) ที่คาดว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 2/52 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/52 และน่าจะทำให้กำไรครึ่งแรกของปีนี้สูงกว่าปี 2551 ตลอดทั้งปี



ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 609.83 จุด ลดลง 3.84 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,712.081 ล้านบาท

นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 146.95 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,065.59 ล้านบาท
นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 918.64 ล้านบาท




หุ้น SCC!!

หุ้น SCC!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 21 ก.ค. 52 ปิดที่ 609.83 จุด ลบ 3.84 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 20,712 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,075 ล้านบาท...

ฝ่ายพัฒนธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน ชี้ว่าตลาดหุ้นแค่พักฐาน หลังสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมามากกว่า 5% ขณะที่มองช่วงนี้เป็นช่วงของการเก็งกำไรข่าวผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่มองแนวโน้มตลาดว่าจะแกว่งตัวแคบๆออกด้านข้าง ให้แนวรับไว้ที่ 605-600 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 615-620 จุด โดยต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯและการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมา

"โชติกา สวนานนท์" กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ มองตลาดหุ้นไทย ยังมีโอกาสปรับตัวลงจากแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะออกมาต่ำกว่าปีก่อน แต่มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ เช่น แบงก์และพลังงาน รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและแนะให้เลี่ยงหุ้นโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ขณะที่บริษัทเตรียมออกกองทุนรวมเพื่อลงทุนในหุ้นหากดัชนีหุ้นปรับตัวลงมาที่บริเวณ 500-520 จุด

โฟกัสหุ้นรายตัว SCC หลังหลายโบรกเกอร์ปรับเพิ่มความน่าลงทุน โดย บล.แมควารี ปรับเพิ่มความน่าลงทุนหุ้น SCC จาก "ถือ" เป็น outperform

โดยมองว่าธุรกิจปูนซีเมนต์จะฟื้นตัวชัดเจนในปีหน้า และปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าขึ้นสู่ระดับ 220 บาท จาก 110 บาท

ด้าน บล.เคจีไอ แนะ "ถือ" หุ้น SCC ให้ราคาเป้าหมายที่ 170 บาท

มีข่าว ก.ล.ต.เตือนผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหุ้นธนาคารสินเอเชีย จำกัด (มหาชน) (ACL) เนื่องจากข้อมูลยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการขายหุ้นในส่วนที่กระทรวงการคลังถืออยู่ ทั้งเรื่องราคา จำนวน และความเป็นไปได้ รวมทั้งข่าวที่ออกมาเป็นการให้ข่าวจากแหล่งข่าวที่ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันตัวตนของผู้ให้ข่าวได้ จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ และในส่วนของกระทรวงการคลัง ก็ยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงแผนการขายหรือความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวที่ชัดเจน

ปิดท้าย บอร์ด MCOT มีมติเลือก "ธนวัฒน์ วันสม" เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ของ MCOT แล้ว!!

อินเด็กซ์ 51



Template by - Abdul Munir | Blogging4