09 กุมภาพันธ์ 2552

เศรษฐกิจไทยปี 2552

เศรษฐกิจไทยปี 2552 อาจขยายตัวเพียง 0.0%-1.2%

  • ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่ทยอยประกาศออกมาล่าสุด ล้วนแล้วแต่ส่งสัญญาณที่น่าวิตกมากขึ้น ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคหลักของโลกที่ถดถอยลงลึกและอาจจะกินระยะเวลายาวนานออกไป ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจภายในประเทศที่สำคัญส่วนใหญ่ทำสถิติตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี สะท้อนความรุนแรงของผลกระทบที่ไทยได้รับจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับมุมมองล่าสุดต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ดังนี้
  • จากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของเดือนธันวาคม 2551 ที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทย บ่งชี้การหดตัวลงอย่างรุนแรงของกิจกรรมเศรษฐกิจแทบทุกด้าน ทั้งการใช้จ่ายภายในประเทศ การส่งออก การผลิตในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และการบริการ โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 2.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน (จากที่ขยายตัวร้อยละ 0.2 ในเดือนพฤศจิกายน) การส่งออกหดตัวลงร้อยละ 15.7 (ต่อเนื่องจากที่หดตัวร้อยละ 17.7 ในเดือนพฤศจิกายน ที่นับเป็นอัตราการหดตัวที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์) การทรุดตัวของอุตสาหกรรมส่งออกดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงร้อยละ 18.8 ซึ่งนับเป็นอัตราการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนี (จากที่หดตัวร้อยละ 7.7 ในเดือนพฤศจิกายน) โดยตกต่ำกว่าในช่วงที่ไทยประสบวิกฤติเศรษฐกิจในระหว่างปี 2540-2541 ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมลดต่ำลงมาอยู่ที่ 58.9 ในเดือนธันวาคม ต่ำสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่หลังเดือนพฤศจิกายน 2541 ขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนธันวาคมก็หดตัวลงถึงร้อยละ 26.7 (เป็นอัตราติดลบที่เพิ่มขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ 22.4 ในเดือนพฤศจิกายน ที่เริ่มมีเหตุการณ์ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง)
  • การหดตัวลงอย่างหนักของตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม โดยเฉพาะการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ย่ำแย่ลงกว่าที่คาด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4/2551 มีแนวโน้มหดตัวลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยจากการประเมินเครื่องชี้ต่างๆ ที่มีการรายงานออกมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 4/2551 อาจจะหดตัวประมาณร้อยละ 3.2 (จากเดิมคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 0.5) จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.6 ในช่วงครึ่งปีแรก และร้อยละ 4.0 ในไตรมาสที่ 3/2551 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเฉลี่ยของปี 2551 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ชะลอลงจากร้อยละ 4.9 ในปี 2550
  • แม้คาดว่าการหดตัวลงอย่างมากของจีดีพีในไตรมาสที่ 4/2551 จะทำให้ผลของฐานเปรียบเทียบที่ต่ำนี้ช่วยหนุนตัวเลขอัตราการขยายตัวในปี 2552 โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ให้ดีขึ้นบ้าง แต่จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญปัญหาหนักหน่วง จะส่งผลกระทบรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อภาคการส่งออกของไทย โดยในรายงานล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 ได้ปรับลดประมาณอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2552 ลงเหลือร้อยละ 0.5 ซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือในรอบกว่า 60 ปี (จากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 2.2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551) โดยประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวลงร้อยละ 1.6 (จากเดิมคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 0.7) ขณะที่ยูโรโซนจะหดตัวร้อยละ 2.0 (เดิมคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 0.5) และญี่ปุ่นจะหดตัวร้อยละ 2.6 (เดิมคาดว่าจะหดตัวร้อยละ 0.2)
  • จากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกดดันให้สภาวการณ์การส่งออกของไทยที่หดตัวลงในอัตราตัวเลขสองหลักจะยังคงดำเนินต่อเนื่องในเดือนถัดๆ ไป เช่นเดียวกับภาวะการผลิตที่จะยังคงลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้การว่างงานเพิ่มขึ้นรวดเร็ว และบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่การลงทุนยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากปัญหาสภาพทางธุรกิจที่บีบคั้นของบริษัทผู้ลงทุนเอง รวมทั้งปัญหาสภาพคล่องที่เหือดหายจากระบบการเงินโลก และแม้ว่าจะมีเม็ดเงินจากโครงการต่างๆ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มไหลเวียนออกสู่ระบบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาให้แก่ภาคเศรษฐกิจที่เดือดร้อนได้ระดับหนึ่ง แต่คงไม่สามารถทดแทนอุปสงค์ของภาคเอกชน ที่มีสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 85 ของจีดีพีได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับลดมุมมองต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2552 ลง โดยในกรณีพื้นฐาน (Base Case) คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวประมาณร้อยละ 1.2 และในกรณีเลวร้ายอัตราการขยายตัวของจีดีพีอาจลงไปที่ร้อยละ 0.0 ถ้าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในภูมิภาคหลักของโลกยาวนานไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี (ปรับลดจากประมาณการเดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ร้อยละ 1.5-2.5)
  • ภายใต้กรอบประมาณการเศรษฐกิจข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการบริโภคของภาคเอกชนจะขยายตัวในระดับต่ำ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.3-0.8 จากร้อยละ 2.2 ในปี 2551โดยอัตราการขยายตัวที่เป็นบวกได้เป็นผลของแรงผลักดันจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ให้ความช่วยเหลือเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายแก่ประชาชนและชุมชน ส่วนการลงทุนโดยรวมคาดว่าอาจจะหดตัวระหว่างร้อยละ 3.4 ถึง 4.4 จากที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 ในปี 2551 การส่งออกอาจจะหดตัวระหว่างร้อยละ 7.0 ถึง 12.0 จากที่ขยายตัวร้อยละ 16.8 ในปี 2551 ซึ่งถ้าการส่งออกหดตัวเกินกว่าร้อยละ 9.5 จะนับเป็นการหดตัวรายปีที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ (การหดตัวของการส่งออกที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้คือในปี 2518 หลังเหตุการณ์วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 1 ซึ่งหดตัวประมาณร้อยละ 9.5) สำหรับการนำเข้าอาจจะหดตัวระหว่างร้อยละ 9.0 ถึง13.0 โดยมีแนวโน้มลดลงในอัตราที่มากกว่าการส่งออก เนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงอย่างมาก จึงส่งผลให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอาจมีฐานะเกินดุล จากที่ขาดดุลในปี 2551
  • โดยสรุป จากแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคหลักของโลกที่อาจเผชิญความถดถอยลงลึกและยาวนานกว่าที่คาด ทำให้แรงกระแทกที่ส่งผ่านมาสู่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยปัญหาเศรษฐกิจโลกดังกล่าวจะส่งผลกดดันให้สภาวะการส่งออกที่หดตัวลงในอัตราตัวเลขสองหลักจะยังคงดำเนินต่อเนื่องในเดือนถัดๆ ไป เช่นเดียวกับภาวะการผลิตที่จะลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้การว่างงานเพิ่มขึ้นรวดเร็ว และบั่นทอนการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่สภาวะทางธุรกิจที่บีบคั้นคงส่งผลให้การลงทุนยิ่งชะลอตัว และแม้ว่าจะมีเม็ดเงินจากโครงการต่างๆ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มไหลเวียนออกสู่ระบบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาให้แก่ภาคเศรษฐกิจที่เดือดร้อนได้ระดับหนึ่ง แต่คงไม่สามารถทดแทนอุปสงค์ของภาคเอกชน ที่มีสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 85 ของจีดีพีได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับลดมุมมองต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2552 ลง โดยในกรณีพื้นฐาน (Base Case) คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวประมาณร้อยละ 1.2 และในกรณีเลวร้ายอัตราการขยายตัวของจีดีพีอาจลงไปที่ร้อยละ 0.0 ถ้าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในภูมิภาคหลักของโลกยาวนานไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี (ปรับลดจากประมาณการเดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ร้อยละ 1.5-2.5) ภายใต้ความเปราะบางของเศรษฐกิจภายนอกประเทศ ที่ยังไม่สัญญาณชี้ชัดได้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกครั้งนี้จะจบสิ้นและเริ่มต้นฟื้นตัวได้เมื่อใด ตัวแปรที่ถูกคาดหวังว่าจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้รอดพ้นจากความเสี่ยงที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยทั้งปีจะติดลบได้นั้น อยู่ที่บทบาทของภาครัฐในการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ และผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คืบหน้าโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลมีเสถียรภาพเพียงพอที่จะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง


    ที่มา : บจ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Template by - Abdul Munir | Blogging4