27 มีนาคม 2552

ตลาดหุ้นรายวัน 27/03/52

บล.ธนชาต : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 27/03/52

  • GDP ใน 4Q08 ของสหรัฐลดลงน้อยกว่าคาด ประกอบกับแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มเทคโนโลยีดีขึ้นทำให้ DJ บวก 2.2% และ NYMEX บวก 3% ข่าวบวกอีกชิ้นหนึ่งคือการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของ Fed ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 30 ปีของสหรัฐลดลงทำ new low ซึ่งหากเป็นแนวโน้มต่อเนื่องจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ยังไม่ควรคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นเร็ว
  • คำแนะนำวันนี้ – “เก็งกำไร” LH DTAC (ราคา underperformed SET ใน 3 เดือน) และ TOP TUF (คาดกำไร 1Q09 จะดี)

  • หุ้นทางเทคนิควันนี้ – PTT BANPU KBANK
  • Dow Jones +2.2%; NYMEX +3% จากรายงานเศรษฐกิจที่แย่น้อยกว่าคาด
  • Dow Jones บวก 2.25% (+174.75 จุด) นักวิเคราะห์คาดว่าอาจมีแนวโน้มดีต่อถึงปลายเดือนจากการทำ window dressing และเพิ่มน้ำหนักในหุ้น กลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดวันนี้
  • การเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของ Fed ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปีลดต่ำสุดนับจากปี 1971 ที่ 4.85% และเป็นผลดีต่อผู้กู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในการ re-finance เงินกู้ออกไป
  • GDP ใน 4Q08 ของสหรัฐติดลบน้อยกว่าคาด คือ -6.3% (ลดแรงสุดนับจาก 1Q 1982)
  • ประธานาธิบดีโอบามากล่าวว่า GM และ Chrysler อาจได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่ม (หลังจากได้รับแล้ว 17.4 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อ ธ.ค.08)
  • NYMEX ส่งมอบ พ.ค.09 ปิดบวก 2.98% (+USD1.57/bbl) เป็น USD54.34/bbl บริษัท Oil Movement คาดปริมาณส่งออกน้ำมันทางทะเลของ OPEC จะลดลงวันละ 7.7 แสนบาร์เรลใน 4 สัปดาห์ข้างหน้า
  • THAI (REDUCE; TP THB2.5) – ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากน้ำมันที่ลดลง ราคาหุ้นบวกเกิน 10% วานนี้ซึ่งน่าจะเกิดจากราคาน้ำมันเครื่องบินที่ลดลง 52% y-y ใน 1Q09 รวมทั้งจาก cabin factor ดีขึ้นจาก ธ.ค.08 ทำให้คาดกันว่าบริษัทจะกำไรใน 1Q09 แต่ทำ hedging ที่ราคาสูง จึงไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากราคาน้ำมันลดลงใน 1Q09 กำลังจะปรับประมาณการณ์เพื่อสะท้อนราคาน้ำมันที่ลดลง & แผนปรับโครงสร้างบริษัทแต่ยังกังวลจากการแข่งขันที่สูง และธุรกิจที่จะเข้าสู่ low season ใน 2Q-3Q
  • LPN (BUY; TP THB5) – ตัวเลือกที่ดีใน segment คอนโด (Company Note) ระดับสินค้าคงคลังลดลงมาก และยอด pre-sale เพิ่มขึ้นมาก เรายังแนะนำ ซื้อโดยคาดว่าจะมี P/E ปีนี้เพียง 5 เท่า และให้ div.yield สูงถึง 10%
  • CPN (BUY; TP THB20.6) – กำไรจะไม่สะดุด (Company Note) ผู้ตรวจสอบบัญชียอมให้บันทึกค่าเช่าโดยยึดหลัก percentage of depletion กำไรจึงไม่สะดุด ส่วนงบปรับปรุงสถานที่ต่ำกว่าคาด IRR จากโครงการนี้เพิ่มเป็น 16%

ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 27/03/09 เวลา 9:05:53

ข่าวห้องค้า 27 มี.ค.52

ข่าวห้องค้า

ไทยเอ็นวีดีอาร์ซื้อหุ้นดีแทค
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ได้รับแบบรายงานการได้มา ซึ่งหุ้นบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2552 จำนวน 0.12% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.11% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

สยาม เรลล์ ซื้อหุ้นบีทีเอส
สำนักงาน ก.ล.ต. แจ้งว่า ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) โดย บริษัท สยาม เรลล์ ทรานสปอร์ต แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2552 จำนวน 37.99% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 93.74% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ไทยเอ็นวีดีอาร์ซื้อหุ้นภัทร
สำนักงาน ก.ล.ต. แจ้งว่า ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้น บล.ภัทร โดยบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2552 จำนวน 0.78% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 9.8% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

กรรมการสแกนดิเนเวียลาออก
บริษัท สแกนดิเนเวียลีสซิ่ง แจ้งการลาออกของรองศาสตราจารย์ พิเศษ เสตเสถียร จากการเป็นกรรมการและกรรมการตรวจสอบ เพราะมีภาระงานมากขึ้น ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2552

ไซแมทตั้งบริษัทย่อย
บริษัทไซแมท เทคโนโลยี่ แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1 ปี 2552 เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2552 มีมติให้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ไซแมท อี-เทค (ประเทศไทย) จำกัด โดยร่วมทุนกับบริษัท E-Tech IT Sdn. Bhd. จากประเทศมาเลเซีย ในสัดส่วน 51% ต่อ 49% เพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย สำหรับอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ สำหรับระบบ Point of Sales ของยี่ห้อ IBM, Hewlett-Packard และอื่นๆ

ไออาร์พีซีซื้อคืนหุ้นกู้
บริษัท ไออาร์พีซี แจ้งว่า ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5 ปี 2550 เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2550 อนุมัติให้บริษัทฯเสนอขายหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน 250 ล้านดอลลาร์ ดอกเบี้ย 6.375% ต่อปีครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2560 ให้แก่นักลงทุนสถาบันนั้น เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2552 บริษัทได้ซื้อคืนหุ้นกู้ดังกล่าวคืน 12 ล้านดอลลาร์ คงเหลือหุ้นกู้อีก 238 ล้านดอลลาร์

แลกหุ้นธนาคารแลนด์
บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แจ้งว่า ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 42.12% อยู่ระหว่างดำเนินการปรับโครงสร้างของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 โดยจะดำเนินการจัดตั้ง Holding Company ขึ้นมาใหม่และจะให้ผู้ถือหุ้นทุกรายของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์เพื่อรายย่อย แลกเปลี่ยนหุ้นกับ Holding Company ที่จะจัดตั้งขึ้นมาใหม่ในสัดส่วนการถือหุ้นเดิม
เมื่อทำการแลกหุ้นแล้ว Holding Company จะเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดในธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ รวมทั้งบริษัทจะถือหุ้นใน Holding Company สัดส่วนเดิม 42.12% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2552

ปลดเอสพีหุ้นเอสเอ็มซี
ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย "SP" (Suspension) หลักทรัพย์ของบริษัท เอสเอ็มซีมอเตอร์ส ตั้งแต่การซื้อขายรอบเช้าของวันที่ 3 มี.ค.2552 เพราะบริษัทไม่สามารถนำส่งงบการเงินประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2551 มายังตลาดหลักทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนด บัดนี้บริษัทได้นำส่งงบการเงินดังกล่าวเพื่อเผยแพร่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์จึงเห็นสมควรปลดเครื่องหมาย "SP" ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าของวันที่ 26 มี.ค.2552 เป็นต้นไป


หุ้นหมวดใหม่

หุ้นหมวดใหม่ธุรกิจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เริ่ม 31 มี.ค.นี้




กรุงเทพฯ 26 มี.ค.- นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ แยกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ออกจากหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป็นหมวดธุรกิจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund Sector) ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction Industry Group) พร้อมเผยแพร่ดัชนีและค่าสถิติต่างๆ เพื่อสะท้อนภาพรวมหมวดธุรกิจ Property Fund เริ่ม 31 มีนาคมนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ชัดเจนมากขึ้น

ปัจจุบันมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งหมด 21 กองทุน มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 48,690.66 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.19 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อ สร้าง และร้อยละ 1.40 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มี.ค. 2552) และคาดว่าในปี 2552 จะมีกองทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 5 กองทุน ด้วยจำนวนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีจำนวนมากขึ้น

“การแยกหมวดธุรกิจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ให้ชัดเจน จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเห็นภาพรวมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลในหมวดธุรกิจนี้ได้เช่นเดียวกับในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการสร้างความสนใจให้แก่ผู้ลงทุนให้เข้ามาซื้อขายกองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งส่งผลให้ผู้ออกหลักทรัพย์ใช้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่อง มือหนึ่งในการระดมทุน” นางสาวโสภาวดี กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (Net Asset Value: NAV) และอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (Price/NAV: P/NAV) ของรายหลักทรัพย์และหมวดธุรกิจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้ข้อมูลจากรายงานงบการเงิน และจะทำการยกเลิกการคำนวณอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกันกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ทั้งนี้ ประมาณการค่าสถิติ P/NAV และ Dividend Yield ของหมวดธุรกิจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2552 มีค่าเท่ากับ 0.7 เท่า และ 9.38% ตามลำดับ

ที่มา: สำนักนักข่าวไทย

วิกฤตศก. 3-5 ปี ฟื้น!

กูรูฟันธงโคตรวิกฤตศก.3-5ปีฟื้น!
จี้รัฐงัดทุกมาตรการอัดฉีดเต็มพิกัด


นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับปัญหาเศรษฐกิจในรอบนี้เป็น "โคตรวิกฤต" รุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี คาดกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ต้องใช้เวลาอีก 3-5 ปี แนะรัฐบาลเตรียม "กระสุน" และงัดทุกนโยบายมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องตัดวงจร "อุบาทว์" แก้ปัญหาภาคเศรษฐกิจจริง ที่สำคัญควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเร่งปฏิรูปภาคการผลิตให้เข้มแข็ง



ในการเสวนาหัวข้อ "โคตรวิกฤต ความเสี่ยงเศรษฐกิจ : ถึงเวลาเผชิญหน้าความจริง" ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เนื่องในโอกาสเปิดตัวหนังสือ "โคตรวิกฤต : หายนะฟองสบู่ซับไพรม สู่วิกฤตโลก" เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) ณ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) มีนักเศรษฐศาสตร์คลื่นลูกใหม่เข้าร่วมเสวนาคือ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วนกลยุทธ์นโยบายการเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และ น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักการเงินและนักวิชาการอิสระ ดำเนินรายการโดยนายปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ต้องยอมรับความจริงว่า เป็นโคตรวิกฤต เพราะเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี ดังนั้นมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้ก็ต้องทำให้แรงที่สุดในรอบ 80 ปี เช่นกัน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมรัฐบาลถึงมีแนวคิดจะยกเลิกกรอบวินัยการคลัง เพราะต้องปลดล็อกเพื่อนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ จะเกิดขึ้นตามมาอีก

เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ ดร.กอบศักดิ์เชื่อว่า ไม่จบง่ายๆ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาจนถึงขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าเพิ่งเป็นจุด เริ่มต้นของจุดจบของวิกฤต ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานกว่าปัญหาจะคลี่คลาย เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตงบดุลของสถาบันการเงินที่แก้ยากและต้องใช้ เวลา จากประสบการณ์ของประเทศไทยคือประมาณ 5 ปี ดังนั้นคาดว่ากว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเต็มที่และเข้มแข็งก็คงใช้เวลาอีก 3-5 ปี

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้ ดร.กอบศักดิ์มองว่า ต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดี นโยบายการคลังเป็นพระเอกตัวจริงในการดำเนินมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนนโยบายการเงินก็ต้องสนับสนุนเต็มที่ แต่มีข้อจำกัด เพราะกลไกของธนาคารพาณิชย์ไม่ทำงาน

"การทำนโยบายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำเป็นต้องผสมผสานทั้งมาตรการ ระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นการสร้างอนาคตทั้งด้านคมนาคม การชลประทาน และการศึกษา และหากรัฐบาลมีแผนการลงทุนชัดเจน เชื่อว่าเอกชนจะเชื่อมั่นขยายการลงทุนตามด้วย" ดร.กอบศักดิ์กล่าว

ด้าน ดร.เอกนิติเห็นตรงกันว่า วิกฤตครั้งนี้เป็นโคตรวิกฤตจริงๆ เพราะมีหลายวิกฤตมารวมกัน ทั้งวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ วิกฤตสถาบันการเงิน วิกฤตสภาพคล่อง และวิกฤตภาคเศรษฐกิจจริง ทั้ง 4 วิกฤตเกิดขึ้นพร้อมกันและมีขนาดใหญ่มาก เชื่อมโยงทั้งโลก ดังนั้นอีกนานกว่าวิกฤตครั้งนี้จะจบจึงจำเป็นต้องเผชิญหน้าความจริง และยอมรับความจริงเพื่อสู้กับวิกฤตดีกว่าฉายภาพดีๆ เมื่อสถานการณ์เลวร้าย กว่าที่คาดอาจปรับตัวไม่ทัน

ดร.เอกนิติกล่าวว่า การตั้งรับกับวิกฤตครั้งนี้ต้องไม่ประมาทและต้องมีสติ ดังนั้นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลคือต้องเตรียมกระสุนไว้สู้รบกับวิกฤต เศรษฐกิจครั้งนี้ทั้งการใช้งบประมาณกลางปี 2552 จำนวน 100,000 ล้านบาทที่ดำเนินการไปแล้ว ส่วนมาตรการที่เตรียมไว้คือการกู้เงินต่างประเทศ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและต้องเตรียมหาเม็ดเงินใหม่ที่จะเตรียมรองรับวิกฤต เศรษฐกิจโลกอีกรอบหนึ่งคือการขยายเพดานเงินกู้เพื่อชดเชยการ ขาดดุล

"ตอนนี้นโยบายอะไรต้องงัดออกมาใช้หมด โดยเฉพาะนโยบายการคลัง เหมือน อเมริกาที่อัดฉีดเงินอย่างเต็มที่ แต่ปัญหา คือเม็ดเงินที่ใช้ไปทำอย่างไรจะสร้างความเชื่อมั่นได้ เพื่อทำให้เงินหมุนต่อไปได้ ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยช่วยเสริมนโยบายการคลังอีกแรงหนึ่ง แนวทางหนึ่งคืออาจต้องร่วมมือกันระหว่างประเทศ และไม่กีดกันการค้า ถ้าสามารถกระตุ้นดีมานด์ขึ้นมาได้ ก็จะมีความหวังมากขึ้น" ดร.เอกนิติกล่าว

อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวลงมาก จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัว ดังนั้นโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงเศรษฐกิจโลกย่อมจะถูกกระทบรุนแรง เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องเตรียมกระสุนไว้รับมือ แต่เพื่อใช้เม็ดเงินให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ มากที่สุด ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่จำกัด รัฐบาลจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้องชัดเจน" ดร.เอกนิติกล่าว

โดยลำดับความสำคัญที่รัฐบาลควรจัดเป็นอันดับแรกคือ ดร.เอกนิติเสนอว่า ควรทำมาตรการเน้นการลงทุนระยะกลางและยาว โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการคมนาคม การชลประทาน และการศึกษา ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมประเทศในอนาคต เป็นการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการเน้นปฏิรูปภาคการ ผลิต กล่าวคือทำให้คนไทยเก่งขึ้น และมีประสิทธิภาพมีทักษะของแรงงานที่ดีขึ้น

แต่ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ได้รับ ผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ ดร.เอกนิติ บอกว่า ตรงกันข้ามจากปี 2540 ที่ปัญหาเริ่มต้นจากสถาบันการเงินแล้วนำไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง แต่ครั้งนี้ไทยถูกกระทบจากภาคเศรษฐกิจจริงคือการส่งออกที่หดตัวลง จากคำสั่งซื้อที่หายไป ทำให้ผู้ประกอบการลดกำลังการผลิต ลดการจ้างงาน ซึ่งในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาอัตราการ ว่างงานอยู่ที่ 2.4% ถ้าอัตราการว่างงานขยายในวงกว้างจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศที่ต้องการ กระตุ้นทดแทนการส่งออกจะทำได้ยากขึ้น

"เมื่อการบริโภคลดลง การลงทุนไม่ต้องพูดถึง ภาคเอกชนตอนนี้ก็ไม่ลงทุนอยู่แล้ว เมื่อกระตุ้นการบริโภคไม่ขึ้นบวกกับความเชื่อมั่นไม่มี ผลคือภาคเอกชนไม่รู้จะผลิตอะไรก็ลดการผลิตกลายเป็นปัญหาภาคเศรษฐกิจจริงหมุน เป็นวงจรอุบาทว์ ซึ่งรัฐบาลต้องตัดวงจรนี้ทุกวิถีทาง แต่ถ้าตัดไม่ได้ปัญหาจะไหลมาที่สถาบันการเงิน ซึ่งแม้ขณะนี้จะมีความเข้มแข็งแต่ก็มีความสามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับ หนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ควรประมาท" ดร.เอกนิติกล่าว

ด้านนางสาวสฤณีมองตรงกันว่า วิกฤตครั้งนี้เป็นโคตรวิกฤต เนื่องจากต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐไม่ใช่มีแต่ปัญหาสถาบันการเงินและ ปัญหาภาคเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาสังคม โดยเฉพาะคนชราในอเมริกา ที่ปกติจะขายบ้านเพื่อไปอยู่บ้านพักคนชรา แต่จากปัญหาราคาบ้านตกต่ำ จึงไม่ขายบ้าน และไม่มีใครดูแลอีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้จากข้อมูลพบว่า ช่วงที่ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูมีการสร้างบ้านในพื้นที่ที่ไม่ควร สร้าง ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการแก้ปัญหาของสหรัฐภายใต้การนำของบารัก โอบามา น่าจะมีความหวังว่าปัญหาจะคลี่คลาย เพราะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบองค์รวม โดยเฉพาะการใช้เงินเพื่อการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นธุรกิจในอนาคตและเติบโตได้ไกลในระยะยาวถือเป็นการใช้เม็ดเงินรอบ เดียว แต่ได้ผลยาว

สำหรับกรณีรัฐบาลไทยให้ความเห็นว่ารัฐบาลควรฉวยโอกาสปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคการผลิตในประเทศ ที่เน้นสร้างตลาดในประเทศ ด้วยการทำให้ธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) เข้มแข็ง และเกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงการทำนโยบายเกี่ยวกับการกระจายรายได้ และไม่ทำให้ความเจริญกระจุกตัวอยู่แต่ในเมือง ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน เป็นต้น

"วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้รุนแรง เข้าใจได้ว่ารัฐบาลต้องทำมาตรการระยะสั้นเพื่อดูผลกระทบ แต่ก็อยากเห็นรัฐบาลทำมาตรการลงทุนในระยะกลางและยาวที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ด้วย" นางสาวสฤณีกล่าว


ฟ้องปูนใหญ่ 222 ลบ.

อมาตยกุล ฟ้องปูนใหญ่222ล.


ชื่อ:  SCC.jpg ครั้ง: 224 ขนาด:  22.3 กิโลไบต์



ตระกูล อมาตยกุล ส่งทนาย ฟ้อง บ. ปูนซิเมนต์ไทย เรียกกว่า 222 ล้าน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5/ปี ไม่รับผิดชอบคดีปลอมใบหุ้น ศาลนัดพิจารณาคดี 8 มิ.ย.นี้


ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายพิบูลศักดิ์ สุขพงษ์ ทนายความ ได้รับมอบอำนาจจาก นายวรรณพงษ์ รุ่งโรจน์วุฒิกุล ในฐานะผู้จัดการมรดกของ นายวรรโณทัย อมาตยกุลที่1,นายเกียรติพงศ์ อมาตยกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 6 ที่ 2 และ น.ส.วรรณโสภิน อมาตยกุล ที่ 3 เป็นโจทก์ที่ 1 - 3 ยื่นฟ้อง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)ที่ 1 , นายกานต์ ตระกูลฮุน รอง กก.ผจก.ใหญ่ ที่ 2 , นายชุมพล ณ ลำเลียง กก.ผจก.ใหญ่ ที่ 3 , นายวรพล เจนนภา ผู้อำนวยการสำนักงาน บ.ปูนซิเมนต์ฯ ที่ 4 , นายประพันธิ์ ชูเมือง เจ้าหน้าที่จัดเก็บรักษาใบทะเบียนหุ้น หรือ โอนหุ้น ที่ 5 , นางดวงกมล เกตุสุวรรณ ที่ 6 , นายสบสันต์ เกตุสุวรรณ ที่ปรึกษาฝ่ายจัดการที่ 7 , บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ 8 และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 9 เป็นจำเลยที่ 1 - 9 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 222,597,234 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5

โจทก์ฟ้องระบุ ความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 51 นายวรรโณทัย อมาตยกุล ผู้ถือหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เบาหวาน และศาลแพ่งได้มีคำสั่ง ตั้งนายวรรณพงษ์ เป็นผู้จัดการมรดก ต่อมาวันที่ 11 ธ.ค.51 นายวรรณพงษ์ ได้นำใบหุ้นที่อยู่ในความครอบครองของทายาท และโจทก์ที่ 2-3 ซึ่งเป็นบุตร – ธิดา ไปติดต่อกับจำเลยที่ 8 เพื่อตรวจสอบและโอนมรดก ให้แก่ทายาท แต่เมื่อจำเลยที่ 8 ตรวจสอบใบหุ้น แล้วยึดไว้ โดยอ้างว่าเป็นใบหุ้นปลอมและเป็นใบหุ้นที่ถูกเพิกถอนไปแล้ว กระทั่งวันที่ 7 ม.ค.52 จำเลยที่ 8 ได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบใบหุ้นดังกล่าวว่า จำเลยที่ 5 , 6 และ 9 เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จนวันที่ 30 ม.ค.52 โจทก์ทั้งสาม ทราบเหตุละเมิดว่ามีการลักและปลอมใบหุ้น ทำให้โจทก์ที่ 2-3 ต้องสูญเสียกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน คือใบหุ้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เมื่อพยายามใช้สิทธิตามเอากรรมสิทธิ์ กับผู้เกี่ยวข้อง และจำเลยในคดีนี้คืนแก่โจทก์ แต่ได้รับการปฏิเสธ

การกระทำของจำเลยนับว่าปราศจากความรับผิดชอบ ขาดจรรยาบรรณทางวิชาชีพ และขาดหลักการโปร่งใสภายใต้หลักธรรมมาภิบาลที่ดี เฉพาะจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และ 3 เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย ต่างเพิกเฉย ซึ่งจำเลยได้นำเงินที่ได้จากบรรพบุรุษโจทก์ที่ได้จากการซื้อหุ้นไปใช้ใน กิจการของจำเลยที่ 1 จนมั่งคั่ง แต่กลับไม่เยียวยาต่อทรัพย์สิน หรือจิตใจของโจทก์ทั้งสาม ที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำ ลูกจ้าง หรือตัวแทน หรือการละเมิด ทั้งที่ความจริงแล้ว จำเลยทั้งเก้า ได้รู้หรือควรรู้ว่ามีการกระทำละเมิดต่อโจทก์ กลับไม่ดำเนินการให้มีมาตรการอย่างใดที่จะชดใช้เยียวยาให้แก่โจทก์ทั้งสาม โดยเฉพาะจำเลยที่ 5 ได้ถูกโจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 , 8 แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการสอบสวนเอาตัวจำเลย ที่ 5 กับพวกมาลงโทษ ต่อมาศาลอาญาได้ออกหมายจับ จำเลยที่ 5 ไว้เมื่อวันที่ 5 ก.พ.52 ซึ่งขณะนี้จำเลยที่ 5 ได้หลบหนีไป และมีพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไป เพื่อไม่ให้โจทก์ทั้งสาม บังคับคดีได้โดยง่าย โจทก์จำเป็นต้องฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อให้จำเลยร่วมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ ที่ได้รับความเสียหาย คือหุ้นปูนใหญ่ มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท จำนวน 672,000 หุ้น ที่ถูกลักไป พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันได้สูญเสียทรัพย์สินจนถึงวันฟ้อง โดยโจทก์ขอคิดมูลค่าหุ้นปูนใหญ่ในวันที่ถูกกระทำละเมิด เมื่อวันที่ 9 ก.พ.47 และวันที่ 17 ต.ค.49 ทั้งสองครั้ง รวมเป็นมูลค่าหุ้น 164,633,800 บาท และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่สูญเสียทรัพย์สินไปจนถึงวันฟ้องอีก 46,629,434 บาท รวมเป็นมูลค่าทรัพย์หุ้นปูนใหญ่ทั้งสิ้น 211,263,234 บาท รวมทั้งดอกผลที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับจากหุ้นจำนวน 672,000 หุ้น เป็นเงินจำนวน 1,344,000 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการติดตามท้วงถาม ค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เป็นเงินจำนวน 10,000,000 บาท รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 222,597,234 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย


ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำที่ 1165/2552 และนัดพิจารณาในวันที่ 8 มิ.ย. นี้ เวลา 09.00 น.


GDP สหรัฐ Q4-08



จีดีพีQ4-08เป็นไปไม่ต่างจากคาดการณ์เท่าไหร่ เป็นจีดีพีที่แย่สุดในรอบ26ปี ย้อนหลังไปโน่น...ปี 1982 แต่ก็เป็นการคาดการณ์ไว้แล้ว และในคืนนี้ดาวโจนส์ได้ Best Buy หุ้นร้านค้าขายเครื่องไฟฟ้าที่กำไรพุ่ฉุดWall Streetได้พอสมควร...

ชื่อ:  S2MGDP.gif ครั้ง: 216 ขนาด:  7.1 กิโลไบต์ ชื่อ:  ScreenHunter_341.gif ครั้ง: 216 ขนาด:  17.1 กิโลไบต์

NEW YORK (Reuters) - Stocks rose on Thursday after strong results at Best Buy lifted consumer shares, although worries over the fate of banks emerged as details on sweeping rules to regulate the financial system were unveiled

On the upside, shares of Best Buy the largest U.S. electronics chain, jumped 14.9 percent to $38.46 after its quarterly results topped Wall Street's forecast and it foresaw full-year earnings above expectations. The news spread optimism about consumer spending, lifting shares of other retailers.

* Final Q4 GDP, initial jobless claims roughly in line.

แนวต้านช่วงนี้ที่ 443 จุด

บล. ธนชาตให้แนวต้านช่วงนี้ที่ 443 จุด
พร้อมเตือนระวังแรงเทขายหุ้นพลังงาน


นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้แม้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 443 จุดไปได้ อีกทั้งปริมาณการซื้อขายยังไม่ทะลุ 1.5 หมื่นล้านบาทอีกด้วย จึงยังเชื่อว่าระดับ 443 จุดนี้จะเป็นแนวต้านของสัปดาห์ต่อไปด้วย และแม้ว่าราคาหุ้นโดยรวมจะฟื้นตัวขึ้นมาพอสมควร แต่ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี จึงเชื่อว่ามีความเสี่ยงน้อยที่จะปรับลดลงไปอีก และหากมีปัจจัยเข้ามาทำให้นักลงทุนตกใจ เช่น สถานการณ์การเมือง ก็จะถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และถูกภาวะตลาดโดยรวมกดดัน

สำหรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานของไทยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่คาดว่าจะมีกำไรจากสินค้าคงคลังได้ในไตรมาส 1/52 และอย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้ได้ปรับเพิ่มขึ้นมามากแล้ว จึงควรระมัดระวังแรงขายทำกำไรออกมาในระยะสั้นด้วย

ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีกยังปรับเพิ่มขึ้นมามากกว่าตลาดตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีประเด็นการแจกเช็คช่วยชาติเข้ามา ซึ่งเชื่อว่าจะเข้ามาประคองกำลังซื้อของผู้บริโภคในระบบได้ แต่เนื่องจากเป็นเม็ดเงินเพียงเล็กน้อยหรือ 0.2% ของ GDP เท่านั้น จึงเชื่อว่าจะไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้




ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดบวกได้ 2.48 จุด หรือ 0.57% มาปิดที่ 439.40 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขาย 10,700.28 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 685.55 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 135.12 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ข่ยสุทธิ 550.43 ล้านบาท



แนะจับตากลุ่มรับเหมา

บล. ซีมิโก้แนะจับตากลุ่มรับเหมา
หลังมีลุ้นกำไรฟื้นตัวจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะลงทุน STEC


วราภรณ์ วิบูลย์คณารักษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวผ่านรายการก้าวทันตลาดทุน ว่าหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ โดยยังคงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังมีการชุมนุมของกลุ่มคน เสื้อแดงที่จะมากระทบต่อภาวะการลงทุนได้ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตลอดจนการเข้ามาแก้ไขปัญหาในภาคการเงินอย่างต่อเนื่อง เริ่มทำให้นักลงทุนคลายกังวลในสถานการณ์มากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นไทยด้วย

สำหรับเช็คช่วยชาติมูลค่า 2,000 บาท ที่จะมอบให้กับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนนั้น เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ในระยะสั้น และหลังจากนั้นก็ยังต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาแล้วที่ 1.56 ล้านล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นการมุ่งลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมายก็จะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยได้

บล. ซีมิโก้มองว่า หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากแผนการใช้เงินลงทุนใน โครงการขนาดใหญ่ได้ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีกำไรที่ฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในปี 2552 โดยหุ้นบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ที่มีงานในมือ 1.2 หมื่นล้านบาท และจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ที่ 9 พันล้านบาท และยังมีโอกาสได้รับงานประมูลใหม่ 1.2 - 1.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ประกอบกับการส่งมอบงาน Airport Railed Linked ที่มีกำไรขั้นต้นต่ำออกไป ตลอดจนราคาวัสดุก่อสร้างที่อ่อนตัวลง ก็จะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของ STEC ดีขึ้นได้ในปีนี้

นอกจากนี้ STEC ยังอยู่ระหว่างเสนอผู้ถือหุ้นเพื่อนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นไปล้างขาดทุนสะสม ซึ่งหากดำเนินการได้ จะทำให้ STEC เริ่มจ่ายปันผลได้ในปีนี้ โดยคาดว่าอาจจะให้อัตราผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลที่ 2-3%

บล. ซีมิโก้ให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้น STEC ไว้ที่ 3.70 บาท

ยังให้ถือเงินสด!!

ยังให้ถือเงินสด!!
[27 มี.ค. 52 - 05:24]


ดัชนีหุ้นวันที่ 26 มี.ค.52 ปิดที่ 439.40 จุด เพิ่มขึ้น 2.48 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 10,488 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 134 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ชี้ภาพรวมตลาดขณะนี้ยังมีความเสี่ยงเรื่องการชุมนุมในประเทศ ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าลงทุนเต็มตัว และเลือกที่จะถือเงินสดไว้ก่อน

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯออกมาดีกว่าที่คาด ช่วยยันให้ดัชนียืนในแดนบวกได้

ยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ เดือน ก.พ.ทะยาน 4.7% จากเดือน ม.ค.ดีขึ้นอย่างมาก จากที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 6.8% เป็นการปรับขึ้นในอัตราเร่งมากที่สุดในรอบ 10 เดือน ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.พ. พุ่งขึ้น 3.4% จากที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 2.0% ปรับขึ้นครั้งแรกรอบ 7 เดือน

ฟินันซ่ามองแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้าว่า หากการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่รุนแรง จะทำให้ตลาดคลายความกังวลได้ระดับหนึ่ง ขณะที่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ สหรัฐฯจะเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ปี 51 ที่เป็นการทบทวนครั้งสุดท้าย คาดว่าจะหดตัวเหลือ-6.5% แต่หากออกมาแย่กว่านี้น่าจะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนทั่วโลก

แนะกลยุทธ์ให้ขายทำกำไร


ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองตลาดสัปดาห์หน้าจะบวก ขึ้นได้ต่อจากแรงเก็งกำไร

แนะกลยุทธ์ให้เลือกเก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดี

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับที่ 430 จุด แนวต้านที่ 445-450 จุด

ปิดท้ายมีข่าวกระเทือนหุ้นปั่น โดยบอร์ดตลาดเห็นชอบให้ปรับราคาสูงสุดและต่ำสุดหุ้นที่ราคาต่ำกว่า 0.10 บาท ให้ขึ้น-ลงต่อวันได้ ไม่เกิน 30% จากราคาปิดวันก่อนหน้า จากเดิมที่ปล่อยให้ขึ้น-ลงได้ไม่เกิน 100%

เห็นว่าจะช่วยลดความผันผวนของราคา และลดความเสี่ยงของผู้ลงทุนและตัวโบรกเกอร์เอง บรรดานักปั่นขาใหญ่ทั้งหลายฟังข่าวนี้แล้วคงเซ็งอารมณ์!!

อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4