18 มิถุนายน 2552

หุ้นล็อกซเล่ย์พุ่งรับหวยออนไลน์

หุ้นล็อกซเล่ย์พุ่งรับหวยออนไลน์


เก็งกำไรหุ้นล็อกซเล่ย์รับข่าว รมช.คลังลงนามอนุมัติหวยออนไลน์ ดันราคาขยับขึ้น 8% ปิดที่ระดับ 2.82 บาท สูงสุดรอบ 6 เดือน นักวิเคราะห์เตือนระวังหุ้นปรับลงหลังหมดข่าว รวมทั้งราคาพุ่งขึ้นไปรับข่าวล่วงหน้านานแล้ว ขณะที่ประดิษฐ์เผยสำนักงานสลากฯ เดินหน้าได้ทันที หลัง รมว.คลังอนุมัติ




การเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) วานนี้ (17 มิ.ย.) ปรากฏว่าราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนภาพรวมตลาดที่ปรับตัวลดลงถึง 10 จุดเศษ โดยราคาหุ้นเปิดซื้อขาย 2.50 บาท จากนั้นปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ราคา 2.82 บาท ซึ่งเป็นราคาปิดของวันดังกล่าว เพิ่มขึ้น 0.22 บาท คิดเป็น 8.46% มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 256.69 ล้านบาท นอกจากนี้ราคาหุ้นล่าสุดเป็นราคาที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร โดยคาดหวังว่า บริษัทจะได้รับประโยชน์จากโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ หรือ หวยออนไลน์ ซึ่งมีแรงเก็งกำไรเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการอนุมัติประกาศออกมา คาดว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวลงจากแรงเทขายเก็งกำไรเพราะรับข่าวดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อรอขายทำกำไร โดยเข้ามาซื้อลงทุนตั้งแต่ระดับ 1.80 บาทต่อหุ้น และปัจจุบันราคาหุ้นปรับขึ้นไปแรง และได้สะท้อนผลดีจากโครงการหวยออนไลน์ไปแล้วทำให้นักลงทุนน่าจะเทขายมากกว่า

"ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวลง หลังจากข่าวการอนุมัติหวยออนไลน์มีความชัดเจน ที่ผ่านมานักลงทุนได้เข้ามาเก็งกำไรก่อนหน้าแล้ว ดังนั้น คาดว่าน่าจะมีแรงเทขายออกมา หาหพิจารณาทางปัจจัยทางเทคนิคแล้ว ราคาหุ้นมีแนวต้านอยู่ที่ 3.06 บาทต่อหุ้น แนวรับอยู่ที่ 2.96 บาท ลงทุนในลักษณะเก็งกำไร แต่ถ้าจะถือลงทุนระยะยาวควรติดความชัดเจน" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าว

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นล็อกซเล่ย์ เมื่อประเมินสัญญาณทางเทคนิคจะเห็นว่าราคารอรับข่าวความชัดเจนในเรื่องการเดินหน้าหวยออนไลน์จากรัฐบาล แนะนักลงทุนที่สนใจเก็งกำไร โดยประเมินแนวรับที่ 2.50-2.44 บาท หากหลุด 2.40 บาท เป็นจุดตัดขาดทุน และแนวต้านที่ 2.64-2.94-3.06 บาท

ขณะที่ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้ลงนามในหนังสือขออนุมัติการออกสลากเลขท้ายพิเศษแบบ 2 ตัว 3 ตัว โดยผ่านเครื่องอัตโนมัติ (หวยออนไลน์) ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเสนอมาแล้ว และได้เสนอไปยังนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงนามอนุมัติตามขั้นตอน ซึ่งจากนี้ไปสำนักงานสลากฯ สามารถดำเนินการออกหวยออนไลน์ตามแผนงานที่คณะกรรมการสลากฯ วางแผนไว้ได้ทันที

เขากล่าวว่า การออกหวยออนไลน์เป็นอำนาจที่ของคณะกรรมการสลากฯ ดำเนินการได้ตามกฎหมาย ภายใต้ พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 ซึ่งหากทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดยสำนักงานสลากฯ ต้องแบ่งรายได้ให้ถูกต้องตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด คือ 60% เป็นรางวัล 28% ส่งรายได้เข้ากระทรวงการคลัง และอีก 12% เป็นค่าบริหารจัดการ

"นโยบายของผมยืนยันมาตลอดว่า การออกหวยออนไลน์ คือ การนำเอาของที่อยู่ที่มืดมาอยู่ในที่สว่าง เอาของที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดิน ดังนั้น การบริหารจัดการต่างๆ ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันมาแล้วหลายครั้งว่า สามารถดำเนินการได้ โดยมั่นใจว่าหากสำนักงานสลากฯ ออกหวยออนไลน์ได้เมื่อไรจะแก้ปัญหาสลากเกินราคา ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ แต่ไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนหันมาเล่นหวยมากขึ้น สุดท้ายอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะลงนามอนุมัติให้เมื่อไร และเมื่ออนุมัติแล้วจากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานสลากฯ ดำเนินการ” นายประดิษฐ์ กล่าว

ด้านนายวันชัย สุระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ กล่าวว่า วันที่ 19 มิ.ย.นี้ สำนักงานสลากฯ เตรียมจะเข้าพบนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อรายงานความคืบหน้าของสำนักงานสลากฯ ให้ทราบ พร้อมทั้งขอนโยบายที่จะเริ่มประชุมคณะกรรมการสำนักงานสลากฯ โดยเร็วต่อไป โดยคาดว่าจะมีการประชุมสัปดาห์หน้า เนื่องจากมีงานค้างจำนวนมาก หลังจากไม่ได้มีการประชุมช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา



ยังคงแกว่งตัวตามปัจจัยต่างประเทศ

ยังคงแกว่งตัวตามปัจจัยต่างประเทศ


สภาพตลาดวันวาน :

ภาคเช้า - แรงกดดันจากการดิ่งลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นในกลุ่มหลัก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ออกมาตั้งแต่เริ่มเปิดซื้อขาย ทำให้ดัชนีเปิดลดลงจากวันก่อน 7.65 จุด จากนั้นจึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักทยอยกลับเข้ามาหนุนให้ดัชนีเริ่มกระเตื้องขึ้น โดยแกว่งตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดบริเวณ 598 จุด ต่อมามีแรงขายหุ้นกลุ่มนำตลาดออกมาเป็นระยะ ๆ ทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาปิดภาคเช้าที่ 596.39 จุด ลดลง 0.15 จุด


ภาคบ่าย : แรงซื้อเก็งกำไรช่วงเปิดตลาดหนุนให้ดัชนีขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 600 จุด แต่ก็ไม่อาจผ่านขึ้นไปได้ จากนั้นก็มีแรงขายหุ้นกลุ่มหลักออกมาอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลต่อการปรับฐานของดัชนี การลดลงของดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค และการเปิดตลาดลดลงของดัชนีตลาดหุ้นยุโรป ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้ามีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 585.29 จุด โดยแรงซื้อในช่วง 30 นาทีสุดท้าย หนุนให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นมาปิดที่ระดับ 586.14 จุด ลดลง 10.40 จุด (-1.7%) โดยมีปริมาณซื้อขายลดลงเป็น 2.0 หมื่นล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง


แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้

1. ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในช่วงการปรับฐาน หลังจากนักลงทุนเริ่มมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอีกครั้ง ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมามีทิศทางไม่ชัดเจน โดยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านออกมาดีกว่าคาด ในขณะที่ตัวเลขการผลิตทางอุตสาหกรรมยังคงลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐลดลง ส่งผลให้ทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นแกนนำ ยังคงมีแนวโน้มผันผวนในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็จะสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นเอเชียเช่นกัน

2. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มผันผวน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีแรงขายทำกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ และสัญญาส่งมอบน้ำมันดิบล่วงหน้า อย่างไรก็ดี คาดว่าปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะลดลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. ให้ยังคงยืนเหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ และจะช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานไม่ให้ลดลงมากนัก

3. ปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยบวกจากการที่สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติกู้เงิน 4 แสนล้านบาทแล้ว จากนั้นรัฐบาลจะนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาในต้นสัปดาห์หน้า และคาดว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 วงเงิน 1.43 ล้านล้านบาท ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่จะใช้ไปจนถึงปี 2555 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้าง ประกอบกับการที่ รฟม. จะเปิดซองราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 3 ในสัปดาห์หน้า จะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง โดยรัฐบาลคาดว่าจะสามารถผลักดันให้ GDP ในปี ’53 เติบโต 2-3% ในขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตายังคงเป็นสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งลุกลามไปเรื่อย ๆ และจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจัยในประเทศโดยรวมยังไม่กดดันทิศทางตลาดหุ้นเท่าใดนัก

จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ มีแนวโน้มผันผวน ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า และทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวระหว่างกรอบแนวรับ 575-580 จุด กับแนวต้าน 600-605 จุด

กลยุทธ์ นักลงทุนระยะสั้น - ขึ้นขายก่อน รอซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักที่แนวรับ
นักลงทุนระยะยาว - Short Port บ้าง ที่แนวต้าน รอซื้อกลับต่ำกว่า 580 จุด

โกสินทร์ ศรีไพบูลย์


คาดปีนี้เงินทุนต่างชาติไหลเข้า

คาดปีนี้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 1 พันล้านเหรียญ
แต่ดัชนีอาจปรับฐาน 60-120 จุดภายใน 1 เดือน

ชื่อ:  ScreenHunter_595.gif ครั้ง: 352 ขนาด:  37.4 กิโลไบต์

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) บอกว่า สาเหตุที่มีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในเอเชียจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป อีกทั้งเริ่มมองเห็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลก ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงได้มากขึ้น

ทั้งนี้ จากสถิติเงินไหลออกจากภูมิภาคเอเชีย ไม่รวมประเทศจีน ในปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นในส่วนของตลาดหุ้นไทย 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นในส่วนของตลาดหุ้นไทยเพียง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1% เท่านั้น จึงประเมินว่า มีโอกาสที่เงินทุนจะเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะกลับเข้ามาประมาณ 20% ของที่ออกไป หรือประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้

นายเวทางค์บอกด้วยว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ของรัฐบาล ที่ล่าสุด พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว หากสามารถเร่งโครงการลงทุนได้ในปีนี้ จะสร้างความเชื่อมั่น ให้นักลงทุนต่างชาติได้ค่อนข้างมาก

ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา คาดว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นระยะของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นมากจนปัจจัยพื้นฐานตามไม่ทัน อาจเกิดแรงขายทำกำไรออกมาเป็นบางช่วง

สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ อาจเกิดการปรับฐานที่แรงและเร็ว หลังจากดัชนีพุ่งขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้า ซึ่งประเมินว่าหุ้นไทยมีโอกาสร่วงลง 10-20% หรือประมาณ 60-120 จุด ภายใน 1 เดือน ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งหากมีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจของไทยในปีหน้าจะเติบโตมากกว่า 3% ที่เคยคาดการณ์ไว้ หุ้นไทยก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 700 จุดได้อีกครั้ง

นายประภาสบอกอีกว่า ในช่วงที่หุ้นไทยปรับฐานลงมานี้ ถือเป็นโอกาสของนักลงทุนที่อาจซื้อหุ้นไม่ทันในรอบที่แล้ว เข้ามาเลือกซื้อหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อถือลงทุนได้





หุ้นไทยปิดร่วงอีก 1.74%

หุ้นไทยปิดร่วงอีก 1.74%
บล. เกียรตินาคินให้แนวรับแรกที่ 580 จุด

วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายเดือน โดยสามารถขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่กว่า 600 จุด หรือระดับ P/E Ratio ที่ 20 เท่า ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงปรับลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับการที่นักลงทุนเริ่มพอใจกับตัวเลขเศรษฐกิจน้อยลง และจากระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่แกว่งตัว รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หุ้นไทยแกว่งตัวค่อนข้างผันผวน และได้ปรับลดลงไปถึง 40 จุดภายในระยะเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น

ทั้งนี้ บล. เกียรตินาคินยังแนะนำให้ขายอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีโอกาสดีดตัวขึ้นได้ในระยะสั้น แต่ก็มองเป็นโอกาสในการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนที่มีต้นทุนสูง และยังควรออกมาอยู่นอกตลาด เนื่องจากยังอ่อนตัวลงได้อีก โดยบล. เกียรตินาคินได้คาดการณ์แนวรับหุ้นไทยในช่วงนี้ไว้ที่ 580 จุด และยังให้แนวรับถัดไปที่ระดับ 550-560 จุด ซึ่งถือเป็นจุดที่เข้าเก็งกำไรเพื่อลุ้นการฟื้นตัวไปที่ระดับ 580 จุดได้


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดร่วงลง 10.40 จุด หรือ 1.74% มาอยู่ที่ 586.14 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 19,755.66 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,541.89 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 488.69 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 2,030.58 ล้านบาท



หุ้นเจมาร์ทขายดี!!

หุ้นเจมาร์ทขายดี!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 17 มิ.ย. 52 ปิดที่ 586.14 จุด ลดลง 10.40 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 19,756 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์มองแนวโน้มตลอดสัปดาห์ที่เหลือว่า จะยังคงปรับฐานลง แต่คงไม่รุนแรงมาก โดยหากดัชนีลงมาที่แนวรับที่ 580 จุด น่าจะเป็นจังหวะในการสะสมหุ้น เพราะเชื่อว่าในเดือนนี้อาจมีแรงซื้อเพื่อปิดงวดบัญชีของนักลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อให้ออกมาดูดี ซึ่งน่าจะทำให้ ตลาดดีขึ้นมาได้ในระยะสั้น

ขณะที่ "กวี ชูกิจเกษม" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทยกล่าวในงานสัมมนา "กรองอุตสาหกรรม เฟ้นหุ้นดี สู้ปีวัวดุ" ว่า คาดว่าไตรมาส 3 ดัชนีหุ้นไทยจะผันผวนและเข้าสู่การพักฐาน และมีโอกาสปรับลงไปที่ระดับ 550 จุด เพราะนักลงทุนกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริงหรือไม่

นอกจากนี้ ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรจากพอร์ตลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ เพราะในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นมาถึง 40% ได้ทำให้พอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ที่มีมูลค่าร่วม 20,000 ล้านบาท มีกำไรสูงถึง 7,000 ล้านบาท

จึงมีความเป็นไปได้มากที่จะขายทำกำไรออกมา ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทย เพราะขณะนี้พอร์ตโบรกเกอร์มีสัดส่วนการซื้อขายสูงถึง 60% ของตลาดรวม จึงเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดปรับฐาน แนะให้นักลงทุนใช้โอกาสนี้เข้าไปซื้อสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวเกิน 1 ปี โดยคาดว่าตลาดจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับ 700 ในไตรมาส 4 และมีโอกาสไปได้ถึง 1,000 จุดในปีหน้า

ด้าน "สุกิจ อุดมศิริกุล" บิ๊กสถาบันวิจัยนครหลวงไทยมองว่า ดัชนีหุ้นไทยสินปีนี้จะอยู่ที่ 660 จุด เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 580 จุด เนื่องจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้า โดยแนะหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในครึ่งปีหลังนี้ คือ กลุ่มธนาคาร, พลังงาน และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐในโครงการเมกะโปรเจกต์

ปิดท้าย อดไม่ได้ "อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา" ผู้บริหาร JMART คุยฟุ้งนักลงทุนแห่จองซื้อหุ้น JMART ล้น ขายเกลี้ยง 75 ล้านหุ้น หมดตั้งแต่ วันแรกที่เปิดให้จองซื้อ ได้เงิน 135 ล้านบาท ไปขยายกิจการและธุรกิจต่างๆของบริษัท

ต้องรอลุ้นวันเข้าเทรด 25 มิ.ย.ว่า จะรุ่งพุ่งแรงเหมือนวันเปิดจองหรือไม่!!


อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4