05 มีนาคม 2552

น้ำมันพุ่ง3.73ดอลล์

น้ำมันพุ่ง3.73ดอลล์

ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์พุ่ง 3.73 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 45.38 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และน้ำมันเบรนท์ ตลาดลอนดอน ปิดบวก 2.42 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดตลาดที่ 46.12 ดอลลาร์สหรัฐ




ชื่อ:  ScreenHunter_134.gif ครั้ง: 247 ขนาด:  3.3 กิโลไบต์

ทองคำปิดร่วง 6.90$

ทองคำปิดร่วง 6.90$ หลังดอลล์แข็งค่า


ทองคำปิดร่วง 6.90$ หลังดอลลาร์ แข็งค่ารับจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ


ทองคำปิดร่วง 6.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังดอลลาร์แข็งค่า ขานรับรัฐบาลจีนเตรียมประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปิดที่ 906.70 ดอลลาร์

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 906.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 6.90 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 923.70-900.40 ดอลลาร์

แรนดี เฟรเดริค นักวิเคราะห์จาก Charles Schwab ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า "ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กร่วงลงสวนทางกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆที่ พุ่งสูงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากนักลงทุนบางกลุ่มมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอาจยังไม่มาก พอที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจทั่วโลกได้"

สื่อมวลชนทั่วโลกนำเสนอข่าวที่ว่ารัฐบาลจีนอาจเพิ่มงบประมาณอีก 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.85 แสนล้านดอลลาร์ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางสังคม ซึ่งครอบคลุมถึงการสนับสนุนโครงการก่อสร้าง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มสดใส โดยนักวิเคราะห์ในโพลล์บลูมเบิร์กคาดว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 และมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ไปอีกระยะหนึ่ง

โดยเนื่องจากนักลงทุนยังคงมองว่าทองคำเป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลง

ข่าวห้องค้า 5 มี.ค.52

ข่าวห้องค้า

เสริมสุขปันผลหุ้นละ 0.75 บาท

บริษัท เสริมสุข แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2552 มีมติอนุมัติการลาออก ของนายโจเซฟ จอร์จ ซาคาเรีย จากการเป็นกรรมการ และแต่งตั้ง นายทันมายา วัตส์ ให้รับตำแหน่งกรรมการแทน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.2552
นอกจากนี้ที่ประชุมอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติให้ ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 2551 ในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท โดยบริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 29 เม.ย.2552 ปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 30 เม.ย.2552 และจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 15 พ.ค.2552

ขึ้นเอ็นพีหุ้นเอส.อี.ซี.ซี
บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส แจ้งว่า เนื่องจากบริษัทยังไม่สามารถแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการในการดำเนินการต่อบริษัทจดทะเบียนที่มี กรรมการตรวจสอบไม่ครบถ้วน ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย "NP" (Notice Pending) หลักทรัพย์ของ SECC ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.2552 เป็นต้นไป

เอเชียน มารีน ปันผล
บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ แจ้งว่า ที่ประชุมกรรมการครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2552 มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 การจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2551 ในอัตราเงินปันผล 0.125 บาท ต่อหุ้น ในปัจจุบันบริษัทมีทุนชำระแล้ว จำนวน 234,810,100 หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินปันผลรวม 29,351,262.50 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 พ.ค.2552

ยูบิส ปันผล 0.12 บาท
บริษัท ยูบิส (เอเชีย) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2552 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2551 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.12 บาทเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2551 และจะจ่ายในครั้งนี้ในอัตราหุ้นละ 0.13 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 12 พ.ค.2552 ปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 13 พ.ค.2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พ.ค.2552

กรรมการวีนิไทยลาออก
บริษัทวีนิไทย แจ้งว่า นายสหัสชัย พาณิชย์พงศ์ ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการของบริษัท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2552 เป็นต้นไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะแต่งตั้งและคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งแทน ต่อไป

ไทยวาโก้ปันผลหุ้นละ 1.50 บาท
บริษัท ไทยวาโก้ แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2551 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2552 มีมติเห็นควรเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 40 เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2551 ในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 120 ล้านหุ้นเป็นเงิน 180 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินปันผลที่บริษัทจ่ายจากกำไรสุทธิที่เสียภาษีไว้แล้วในอัตรา 30% โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 22 พ.ค.2552

ซีเอสพี ระงับโครงการซื้อหุ้นคืน
บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ แจ้งว่า ตามที่บริษัทได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.2552 ถึงวันที่ 11 ก.ค.2552 ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติโครงการดังกล่าวแล้วนั้น โดยตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.2552 จนถึงวันที่ 5 ก.พ.2552 บริษัทมีการซื้อหุ้นคืนแล้วทั้งสิ้นจำนวน 3,833,700 หุ้น คิดเป็น 0.77% ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว
อย่างไรก็ตามรายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ให้ข้อสังเกตโดยมิได้เป็นการ แสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนของบริษัทว่าบริษัทมี ขาดทุนสะสม 81.32 ล้านบาท ดังนั้น ฝ่ายบริหารจึงได้พิจารณาให้หยุดพักโครงการดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราว โดยฝ่ายบริหารอยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการดังกล่าวจากผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2552

วินโคสท์ยืดเวลาแก้ส่วนต่ำหุ้น
นางสาวกรนันท์ สุคนธ์ฤทธิกร กรรมการบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค แจ้งว่า ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2552 มีมติให้ขยาย ระยะเวลาสำหรับการแก้ไขส่วนต่ำมูลค่าหุ้นออกไปอีก 3 ปี (เสร็จสิ้นภายในเดือนมี.ค.2555)



ระวังตกเป็นเหยื่อ

ระวังตกเป็นเหยื่อ


รายงานโดย :ทีมข่าวตลาดหุ้น-ทุน:


ในยามวิกฤตมักจะมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ หากใครเห็นช่องทาง ซึ่งขอแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

แต่ในช่วงวิกฤตก็มักจะมีผู้ที่ฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าอยู่เนืองๆ ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ คนหรือหน่วยงานที่มีอำนาจจะต้องจัดการ แก้ไขให้สิ้นซาก

ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ วิกฤตเศรษฐกิจลามไปทั่วโลก จนกดดันให้ตลาดหุ้นตกต่ำ เพราะความหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐลงลึกสุดภายในกลางปีนี้ หลังจากนั้นจะค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงท้ายของปี เริ่มเลือนรางออกไปแล้ว และศึกรอบนี้หนักหน่วงแถมลากยาวไปจนไม่มีใครกล้าฟันธง ว่าจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เมื่อไร


ท่ามกลางวิกฤต จะเห็นปรากฏการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็กปลาน้อยเกิดขึ้นจำนวนมาก ธุรกิจใดที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากกำลังซื้อที่หดตัวลงแรง หรือธุรกิจอ่อนแออยู่แล้ว จะฝ่ากระแสนี้ไปได้ด้วยความยากลำบาก หากไม่ล้มหายตายจากไป ก็จะต้องยอมขายกิจการไปให้กับผู้ที่แข็งแรงกว่า และถ้าอยู่โดยลำพังไม่ไหวก็อาจจะตัดสินใจควบรวมกิจการให้แกร่งยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกใจที่ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ มักจะมีข่าวเรื่อง “ต่างชาติสนใจเทกโอเวอร์” หรือ “กำลังหาเจรจา ซื้อกิจการ” ซึ่งข่าวเหล่านี้จะช่วยผลักดันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง สวนกระแสขาลงของดัชนีหุ้น

ข่าวลือที่ว่า มีทั้งข่าวปล่อยและข่าวที่มีการเจรจาซื้อขายหุ้นจริงๆ (ไม่ได้จัดฉาก)
ข่าวการปล่อยของรายใหญ่มีให้เห็นอยู่หลายตัวและเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้แกร่งมากนัก แต่ราคาหุ้นตัวขึ้นแรง แถมขาใหญ่ซ้ำเติมฉวยโอกาสปล่อยของไปหมด ทุบราคาหุ้นดิ่งลงไปสู่จุดที่ไต่ขึ้นมา ทำให้รายย่อยที่ตามแห่ขาดทุนหนักกันถ้วนหน้า

“หากตัวนั้นมีพื้นฐานบ้าง เมื่อราคาหุ้นหล่นตุ๊บไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะ มีแรงซื้อกลับ ผลักดันให้ราคาหุ้นฟื้นตัวขึ้นได้ แต่หากโชคร้าย นักลงทุนไปเจอบริษัทเน่า ราคาลงไปแล้วลงไปเลย ไปติดยอดดอย ก็ไม่มีโอกาสแกะหุ้นออกไปในราคาสูงลิ่ว”

สำหรับ กรณีบริษัทที่มีการเจรจาซื้อขายหุ้นกันจริง มักจะมีผู้ที่รู้เรื่องมากกว่า 1 คน และความลับไม่มีในโลก มีผู้อาศัยจังหวะนี้ไปหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก ทำให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบเรื่องข้อมูลในการซื้อขายหุ้น ซึ่งสังเกตได้จากราคาหุ้นวิ่งแรงผิดปกติ


ยกตัวอย่างกรณีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) หรือ UOBKH มีการเจรจาควบรวมกิจการกับ บล.บีฟิท (BSEC) แต่ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทกลับวิ่งนำมาตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. โดยเฉพาะหุ้น BSEC ที่ตีราคาซิลลิง ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายหนาตา แต่เชื่อหรือไม่ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงาน ที่กำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนเรื่องการเปิดเผยข้อมูล กลับปล่อยให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นแรงต่อ ถึงค่อยสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท ชี้แจงข้อมูล และเปิดเผยให้นักลงทุนทราบโดยทั่วไปในช่วงบ่ายของวันที่ 18 ก.พ.

ข่าวนี้ทำให้คนที่รู้ข่าวและเข้าไปซื้อหุ้น BSEC ก่อน สามารถมี กำไรเป็นกอบเป็นกำกว่า 100% เพียง 6 วันทำการเท่านั้น จากราคาอยู่ที่ 1.16 บาท สิ้นวันที่ 13 ก.พ. และมาปิดที่ระดับ 2.30 บาท ณ วันที่ 23 ก.พ. และเมื่อข่าวเจรจาควบรวมกิจการแท้งไป คนที่รู้ข้อมูล ล่วงหน้าก็ทิ้งของหนีไปก่อนเช่นกัน กดราคาดิ่งลงฟลอร์ ตอนเช้าวันที่ 2 มี.ค. นับได้หลายชั่วโมง ก่อนที่บริษัททั้งสองจะแจ้งข่าวล้มควบรวมกิจการต่อตลาดหลักทรัพย์ในช่วงบ่าย และราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวลงไปได้อีกหลายเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นนักลงทุนยังมีควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวในช่วงนี้

แม้เรื่องการซื้อขายหุ้น BSEC ที่ผิดปกติ เข้าข่ายลักษณะอินไซด์เดอร์เทรดดิง (การใช้ข้อมูลภายในมาซื้อขายหุ้นเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว) ตลาดหลักทรัพย์กำลังตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกอยู่ ซึ่งกรณีนี้ตลาดหลักทรัพย์น่าจะลากตัวคนกระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ เพื่อให้เป็นตัวอย่าง และจะช่วยลดการกระทำที่เอาเปรียบนักลงทุนทั่วไปมากขึ้น

กรณีการควบรวมกิจการระหว่าง BSEC-UOBKH น่าจะเป็น ตัวอย่างที่สอนให้นักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยว่าไม่ควรตามแห่ลุยหุ้นเมื่อมีข่าวดี แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นข่าวร้ายได้ เพราะการเจรจาควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าจะลงเอยกันได้ง่ายๆ ทั้งนี้เนื่องจากสินทรัพย์ที่สำคัญของธุรกิจนี้ไม่เหมือนกับอุตสาหกรรมทั่วๆ ไป

มาร์เก็ตติง (เจ้าหน้าที่การตลาด) หรือผู้บริหาร เป็นหัวใจของธุรกิจหลักทรัพย์ ส่วนแบ่งตลาดด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์เก็ตแชร์) ที่เห็นว่าเยอะแยะ อาจจะมาจากมาร์เก็ตติงเพียงไม่กี่คน และเป็นการซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่เพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญทั้งมาร์เก็ตติงและลูกค้ารายใหญ่พร้อมจะโบยบินทุกเมื่อ หากไม่พอใจกับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ทำให้ผู้ที่เข้ามาซื้อหรือควบรวมกิจการ อาจจะได้เพียงบริษัทหลักทรัพย์ที่เคยมีมาร์เก็ตแชร์สูงๆ ไปเท่านั้น
กรณี บล.บีฟิท เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า มาร์เก็ตแชร์ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนที่มีชื่อย่อ “ย” และพอร์ตของบริษัท จึงไม่แปลกใจเลย หากบล.ยูโอบีฯ ได้เห็นไส้ในแล้วถอยดีกว่า เพราะมีความเสี่ยงมากๆ ที่ควบรวมแล้วจะได้ประโยชน์ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไปหลายพันล้านบาท

และที่สำคัญหากบล.ยูโอบีฯ พลาดไปจากบล.บีฟิท ไปแล้ว ก็ยังมีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งให้เลือกแต่งงานด้วย เพราะปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เบาบางตกวันละ 8,000 ล้านบาท คงจะหาโบรกเกอร์ที่มี กำไรยากมากๆ และแนวโน้มการลงทุนโดยรวมก็ยังไม่ดีขึ้น

เพราะฉะนั้นในช่วงวิกฤต และมีผู้ที่จ้องหาประโยชน์จากปลาซิวปลาสร้อย นอกจากนักลงทุนจะต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ก็จะต้องตามให้ทันเกมของขาใหญ่ ที่เข้ามาหาเงิน ก้อนโตจากตลาดทุนด้วย!!!



ผู้นำอังกฤษ

เสียงปรบมือกึกก้องรับผู้นำอังกฤษกล่าวปราศรัยต่อสภาคองเกรสสหรัฐ

สหรัฐ 5 มี.ค. - ผู้นำอังกฤษ ได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐ หลังเรียกร้องให้สานต่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่าง 2 ประเทศไปอีกนานเท่านาน

นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ ถือเป็นผู้นำอังกฤษ คนที่ 5 ที่ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐ ที่อาคารรัฐสภา เขาระบุว่า สหรัฐและอังกฤษควรร่วมมือกันอย่างแข็งขัน เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และว่า ทั้งสองประเทศไม่ควรดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า

นายบราวน์ ยังยกย่องสหรัฐที่เป็นแกนนำทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน และว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายจะไม่สามารถทำลายความฝันและจิตวิญญาณของชาวอเมริกันได้ พร้อมกับยกย่องความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับสหรัฐ ว่าแนบแน่นมั่นคง ไม่สามารถทำลายได้ และไม่มีพลังอำนาจใดในโลกที่จะแยกสหรัฐและอังกฤษออกจากกันได้ เรียกเสียงปรบมือกึกก้องจากสมาชิกสภาคองเกรส

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีบราวน์ ยังเปิดเผยว่า วุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี ยังจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นอัศวินจากอังกฤษด้วย


ที่มา: สำนักข่าวไทย

ดาวโจนส์ปิดบวกอีกครั้ง

ดาวโจนส์กลับมาปิดบวกอีกครั้ง
ชื่อ:  ScreenHunter_123.gif ครั้ง: 471 ขนาด:  33.3 กิโลไบต์

สหรัฐ 5 มี.ค. - ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นวันแรก หลังถูกเทขายอย่างหนักติดต่อกันมา 5 วัน

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีหุ้นมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังดัชนีถูกเทขายอย่างหนักมา 5 วันติดต่อกัน หลังข้อมูลล่าสุดของสถาบันจัดการทรัพยากรฯ ชี้ว่า ดัชนีภาคบริการในเดือน ก.พ. อยู่ที่ระดับ 41.6 ซึ่งแม้จะลดลงจากเมื่อเดือน ม.ค. แต่ก็ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

ขณะที่รัฐบาลสหรัฐเตรียมเผยแผนช่วยเจ้าของบ้านกว่า 9 ล้านคนทั่วประเทศ
ไม่ให้สูญเสียบ้านไป ด้วยการลดภาระค่าผ่อนส่งลง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 140 จุดเมื่อคืนนี้ (4 มี.ค.)
หลังจากมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจีนจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
รวมทั้งข่าวที่ว่ารัฐบาลสหรัฐยังคงมุ่งมั่นฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ
ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอย

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 149.82 จุด หรือ 2.23% แตะที่ 6,875.84 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 16.54 จุด หรือ 2.38% แตะที่ 712.87 จุด
และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 32.73 จุด หรือ 2.48% แตะ 1,353.74 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.80 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.36 พันล้านหุ้น

นิโคลัส โคลาส์ นักวิเคราะห์จาก BNY ConvergEx กล่าวว่า "เมื่อวานนี้สื่อมวลชนทั่วโลกนำเสนอข่าวที่ว่ารัฐบาลจีนอาจเพิ่มงบประมาณอีก 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.85 แสนล้านดอลลาร์ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางสังคม ซึ่งครอบคลุมถึงการสนับสนุนโครงการก่อสร้าง ทำให้นักลงทุนคาดว่าโครงการดังกล่าวจะกระตุ้นราคาวัตถุดิบทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นและจะทำให้บริษัทผลิตวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวขึ้นด้วย"

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐกล่าวในการประชุมที่ทำเนียบขาว ว่า เมื่อพิจารณาจากมุมมองในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงในระดับที่น่าจูงใจนักลงทุนให้เข้าช้อนซื้อเก็งกำไร โดยการแสดงความคิดเห็นของโอบามามีเป้าหมายที่จะกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน และมีขึ้นหลังจากดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงหลุดจากระดับ 7,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า คณะทำงานของโอบามาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการให้ความช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเปิดทางให้เจ้าของบ้านกว่า 9 ล้านคนสามารถรีไฟแนนซ์เงินกู้เพื่อให้สามารถรักษาบ้านของตนเองเอาไว้ได้

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวที่ว่ารัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหุ้นอัลโค ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอลูมิเนียมของโลก พุ่งขึ้น 12.8% หุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ดีดขึ้น 13.2% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.1% และหุ้นเชฟรอนพุ่งขึ้น 2.7%

ส่วนหุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ดิ่งลง 4.6% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 18 ปีเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าจีอีอาจสูญเสียเงินจำนวนมากในกิจการบริษัทในเครืออย่าง จีอี แคปิตอล

นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาดูรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.พ. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะร่วงลง 650,000 ตำแหน่ง
ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี

ADP Employer Services เปิดเผยว่า การจ้างงานในภาคเอกชนของสหรัฐลดลง 697,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. หลังจากลดลง 614,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ ADP เริ่มจัดเก็บข้อมูลในปีพ.ศ.2544

ด้านราคาน้ำมันดิบ
ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 3.73 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 45.38 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ 6,875.84 จุด เพิ่มขึ้น 149.82 จุด
แนสแดค ปิดที่ 1,353.74 จุด เพิ่มขึ้น 32.73 จุด และ เอสแอนด์พี ปิดที่ 712.87 จุด เพิ่มขึ้น 16.54 จุด

ที่มา : สำนักข่าวไทย

เด้งเล็กๆ!!

เด้งเล็กๆ!!
[5 มี.ค. 52 - 02:54]

ดัชนีหุ้นวันที่ 4 มี.ค. 52 ปิดที่ 417.86 จุด เพิ่มขึ้น 4.77 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 6,849.23 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 154.91 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดนำโดย PTT ปิดที่ 150 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, PTTEP ปิด 84 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, BANPU ปิด 198 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท, SCB ปิด 53 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท และ TPOLY ปิด 2.10 บาท ลดลง 0.70 บาท จากราคาจองซื้อที่ราคา 2.80 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ชี้ว่ามีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นแบงก์และพลังงานช่วยดันดัชนีให้พลิกกลับ ขึ้นมาในแดนบวกได้ หลังนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะเร่งเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ ประสบปัญหา

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มที่รัฐบาลจีนอาจขยายแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน ในการประชุมรัฐสภาประจำปี ทำให้จิตวิทยาการลงทุนดีขึ้นดันหุ้นทั้งเอเชียปรับขึ้นมาได้หลังก่อนหน้านี้ ร่วงลงแรงทั้งภูมิภาค

ขณะที่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่าการแขวนป้าย XD บนหุ้น EGCO, PTT และ PTTAR เพื่อปิดทะเบียนรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลจะมีผลกดดันให้ดัชนีตลาดชะลอ ตัว เพราะนักลงทุนที่ซื้อหุ้นหลังแขวน XD จะไม่มีสิทธิรับปันผล

เฉพาะ PTT และ PTTAR จะมีผลให้ดัชนีหุ้นปรับตัวลงประมาณ 1.5 จุด โดย PTT จะจ่ายเงินปันผล 2 บาท ส่วน PTTAR จ่ายปันผล 0.50 บาท

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้นักลงทุนระยะยาวทยอยซื้อหุ้นแบงก์เช่น KBANK, SBC และ BBL ส่วนกลุ่มสื่อสาร ADVANC ยังเด่นสุดๆ!!

สำหรับคำแนะนำหุ้น PTT นั้นสถาบันวิจัยนครหลวงไทยประเมินราคาเหมาะสมปี 52 ไว้ที่ 149 บาท ก่อนปรับค่าผ่านท่อและเพิ่มเป็น 157.8 บาท หากได้รับการปรับขึ้นค่าผ่านท่อ

ทั้งนี้ราคาหุ้นที่ปรับลงมาและแนวโน้มประเด็นกังวลต่างๆที่คลี่คลายลงทำให้หุ้นเริ่มน่าสนใจมากขึ้น.


อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4