05 มิถุนายน 2552

ฟันธงตลาดหุ้นไทย ลุ้นแตะ630จุด

ฟันธงตลาดหุ้นไทย ลุ้นแตะ630จุด ทองพุ่งพรวดปลายปี




หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด คาดการณ์แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยระหว่างวันที่ 5 มิ.ย. - 5 ก.ค.52 มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 600-630 จุด ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำปีนี้จะเข้าสู่ขาขึ้นในไตรมาส 4 โดยมีราคาเป้าหมายที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์...

วานนี้ (4 มิ.ย.) นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่าแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยระหว่างวันที่ 5 มิ.ย. - 5 ก.ค.52 มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 600-630 จุดแต่จะมีความผันผวนขึ้นลงในระหว่างทางเนื่องจากนักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น โดยมีการย้ายเม็ดเงินลงทุนออกจากตลาดตราสารหนี้และตลาดเงิน หันมาลงทุนในหุ้น, น้ำมัน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์โดยดัชนีในช่วงดังกล่าวคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ 570- 550 จุด ส่วนแนวต้านจะอยู่ที่600 -630 จุด ทั้งนี้ นับจากเดือนมี.ค.ถึงพ.ค.ดัชนีหุ้นได้ปรับขึ้นมา 161 จุด หรือ 40%

"คาดว่าปลายเดือนนี้หรืออย่างช้าไม่เกินกลางเดือนก.ค. ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 630 จุด แต่หลังจากนั้นมีโอกาสที่จะได้เห็นการปรับฐานของดัชนีลง 35 จุด"นายวิวัฒน์ กล่าว

นายวิวัฒน์ ยังแนะนำว่า หากดัชนีปรับตัวขึ้นมาได้ที่ระดับ 600-630 จุด แนะให้ขายล้างพอร์ต และถือเงินสด เนื่องจากประเมินว่าที่ระดับดัชนีดังกล่าวจะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเทขายทำกำไรออกมา ซึ่งจะได้กำไรถึง2เด้ง คือกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นและทำกำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า นอกจากนี้ ยังแนะให้นักลงทุนกลับเข้าไปซื้อหุ้นคืนที่แนวรับบริเวณ 570 จุดและ 550 จุด โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ คือ PTT ,PTTCH ,KBANK, BAY ,QH,LH,AP ,AMATA ,ITD ,ADVANC ,DTAC ,BEC และ BECL โดยให้จุดตัดขาดทุนที่ระดับดัชนีฯต่ำกว่า 540 จุด

นายวิวัฒน์ยังกล่าวว่า เชื่อว่าแนวโน้มราคาทองคำปีนี้จะเข้าสู่ขาขึ้นในไตรมาส 4 โดยมีราคาเป้าหมายที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำของประเทศไทยมีโอกาสที่จะแตะที่น้ำหนักบาทละ 24,000 บาท ในช่วงปลายปี ส่วนแนวโน้มราคาทองคำเดือนมิ.ย.มีโอกาสที่จะแกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,000 เหรียญต่อออนซ์


ดอลล์ร่วง หนุนทองคำปิดทะยาน $16.70

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก:
ดอลล์ร่วง หนุนทองคำปิดทะยาน $16.70


สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 16 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (4 มิ.ย.) เนื่องจากการร่วงลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้กระตุ้นนักลงทุนให้เข้าซื้อสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนาแน่น รวมถึงสัญญาทองคำและน้ำมันดิบ

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปิดพุ่งขึ้น 16.70 ดอลลาร์ แตะที่ 982.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 962.00-983.40 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาโลหะเงินเดือนก.ค.ปิดที่ 15.895 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 58.50 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 8.9 เซนต์ ปิดที่ 2.3010 ดอลลาร์/ปอนด์

สัญญาพลาตินั่มเดือนก.ค.ปิดที่ 1,293.30 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 48.80 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมเดือนก.ย.ปิดที่ 255.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 12.80 ดอลลาร์

เดฟ เมเกอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท อลารอน เทรดดิ้ง กล่าวว่า "สัญญาทองคำเคลื่อนไหวเข้าใกล้ระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้มาตรการเชิงรุกด้วยการลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงสู่ระดับ 0-0.25% การที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงทำให้สัญญาทองคำและน้ำมันดิบมีราคาถูกลง และกระตุ้นนักลงทุนต่างชาติให้ทุ่มซื้อเพื่อเก็งกำไร"

นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF รายใหญ่ที่สุดของโลก เพิ่มการถือครองทองคำ 15.27 ตัน แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,134.03 ตัน ณ วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา

THCOM : ลุ้นเซ็นสัญญากับอินเดีย

THCOM : ลุ้นเซ็นสัญญากับอินเดีย


อินเดีย...สัญญากับอินเดียใกล้เป็นความจริง: ผู้บริหารบริษัทไทยคอม (THCOM) ค่อนข้างมั่นใจว่าการเจรจาระหว่างรัฐบาลอินเดีย คู่ค้าและ iPSTAR ใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงแล้ว หลังการเลือกตั้งที่ประเทศอินเดียเสร็จสิ้นลงเมื่อปลายเดือนก่อน โดยสัญญาเหลือเพียงการพิจารณารายละเอียดด้านกฎหมายเท่านั้น โดยผู้บริหารคาดว่าบริษัท จะสามารถเซ็นสัญญากับทางรัฐบาลอินเดียได้อย่างเร็วคือต้นไตรมาส 4 ปีนี้ และข้อดีของข้อตกลงนี้คือ บริษัทฯ สามารถทยอยรับรู้รายได้จากการเซ็นสัญญาได้ทันทีในปีนี้


จีน...เตรียมเซ็นสัญญากับ China Telecom ทำธุรกิจร่วมกันอย่างเป็นทางการ: หลังจากรัฐบาลจีนได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจสื่อสารและเทคโนโลยีตลอดปีที่ผ่านมา มีการควบรวมกิจการกันทำให้จำนวนผู้ให้บริการเหลือเพียง 3 รายจากเดิม 6 ราย โดย China SatCom ที่มี China Telecom เป็นพันธมิตรกับ iPSTAR นั้น ได้รวมกิจการดาวเทียมและโทรทัศน์ทั้งหมดเข้ามาไว้ด้วยกัน การทำงานจึงราบรื่นขึ้นมาก

ช่วงแรก iPSTAR จะเน้นบริการด้านโทรศัพท์ทางไกลในชนบทก่อน เนื่องจากความต้องการมีสูงมากในแต่ละมณฑลในจีน ขณะที่คาดหวังความร่วมมือกับ China Telecom ในการขยายบริการ Internet Broadband ผ่านฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของ China Telecom และโครงการรัฐเกี่ยวกับระบบการเตือนภัย ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะผูกตลาดที่ฟิลิปปินส์, อินโดฯ และมาเลย์ เข้าไว้ด้วยกัน (รวม 19% ของ Total capacity ของ iPSTAR) เร่งทำตลาดรายย่อย และเมื่อรวมกับตลาดในอินเดียและจีน ทำให้ iPSTAR มีฐานลูกค้าในมือเกือบ 50% ของประชากรโลก
2H09 เร่งผลักดันการใช้ Bandwidth บน iPSTAR-มือถือในอินโดจีนเติบโตดีมาก: อย่างที่เราได้เคยนำเสนอไว้ในรายงานเกือบทุกฉบับ ว่าการทำตลาด iPSTAR นับจากนี้ จะมุ่งเน้นปริมาณการใช้ Bandwidth บน iPSTAR มากกว่าการเร่งยอดขายอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ (UT) ซึ่งมีมาร์จินต่ำ ขณะที่รายได้ที่เกิดจากการใช้ Bandwidth ที่มีต้นทุนการดำเนินงานเพียง 20% ทำให้อัตรากำไรสูงกว่ามาก

ผู้บริหารย้ำว่าในช่วงครึ่งหลังของปี จะเน้นนโยบายการใช้ Bandwidth ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการทำงามร่วมกับภาครัฐให้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาด Australia New Zealand และไทย ที่มีฐานลูกค้าที่ใช้บริการ iPSTAR อยู่แล้ว เช่นเดียวกับตลาดที่ญี่ปุ่นที่ช่วงแรกได้มีการให้ทดลองการใช้งานบน iPSTAR ไปแล้ว โดยผู้บริหารคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านรายได้ชัดเจนขึ้นใน 3Q09

ส่วนธุรกิจการให้บริการมือถือในลาวและกัมพูชา จะเติบโตแบบก้าวกระโดดหลังเปิดให้บริการ 3จี เต็มที่ โดยจะมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้งานด้านข้อมูลให้มากขึ้นเพื่อผลักดันรายได้จากการให้บริการด้าน Non-voice ให้เติบโตเร็วขึ้น และแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาการแข่งการให้บริการมือถือ โดยเฉพาะในกัมพูชา (Mfone) จะมีการแข่งขันรุนแรงมากจากการตัดราคาของผู้ให้บริการรายเล็ก แต่คุณภาพของเครือข่ายที่ไม่สามารถรองรับการใช้งานให้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกค้ายังคงไหลเข้ามายัง Mfone อย่างต่อเนื่อง

คงประมาณการ-ราคาเป้าหมาย: เรายังคงประมาณการเชิงอนุรักษนิยม ด้วยอัตราการใช้งานบน iPSTAR ในปีนี้ที่ 12% (ไม่รวมจีนและอินเดีย) ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2013 ที่ 30% หลังคาดว่าตลาดจีนและอินเดียจะทยอยเปิดให้บริการและทยอยสร้างรายได้ (ผู้บริหารคาด U-rateบน iPSTAR จะอยู่ที่ 15% กรณีรวมจีนและอินเดียและจะเพิ่มเป็น 30% ในปี 2010)
เราคาดว่า THCOM จะพลิกมีกำไรปรกติได้ราว 385 ล้านบาท (EPS 0.35 บาท) ในปี 2010 (จากเดิมคาดว่าจะมีกำไรปรกติในปี 2009 แต่จากต้นทุนการย้ายลูกค้า T-1 ไปยัง T-5 เกือบ 40 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการทำตลาด iPSTAR ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดตลาดในแถบเอเชียเพิ่มขึ้น อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน เราจึงคาดว่า THCOM จะยังมีผลขาดทุนปรกติเล็กน้อยราว 53 ล้านบาท หรือ -0.05 บาท/หุ้น) โดยราคาหุ้นที่เหมาะสมภายใต้สมมติฐานดังกล่าวจะอยู่ที่ 6.44 บาท/หุ้น (มูลค่าทางบัญชีที่ 14.7 บาท/หุ้น)

ระยะสั้น แนะนำ “เก็งกำไร” จากข่าวการเซ็นสัญญากับอินเดียที่ใกล้บรรลุใน 4Q09 แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว การที่ราคาหุ้น THCOM ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาที่ปรับตัวขึ้นมากถึง 36% (แม้ว่ายังมีส่วนต่างจากมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ถึง 53%) กอปรกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการเซ็นสัญญากับอินเดียที่อาจถูกเลื่อนออกไปอีก จากที่คาดไว้ในช่วงต้น 4Q09 รวมทั้งการทำการตลาดในจีนที่ยังไม่คืบหน้า ระยะยาวเราจึงแนะนำเพียง “ถือ”

ที่มา..บล.สินเอเซีย


กลยุทธ์ทิสโก้!!

กลยุทธ์ทิสโก้!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 4 มิ.ย. 52 ปิดที่ 593.60 จุด เพิ่มขึ้น 11.35 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 29,629 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 521 ล้านบาท

"ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่" นายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างชาติชี้ว่า กรณีที่มูดีส์ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือผู้ออกตราสารสกุลเงินในประเทศของ PTT และ PTTEP ลงนั้น แทบไม่มีผลกระทบต่อราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว เพราะปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน

ขณะที่ บล.ไซรัสมองแนวโน้มตลาดว่า มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก เพราะมีเม็ดเงินของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง แต่ให้ระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมาเป็นระยะ เพราะราคาหุ้นปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว และยังต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯที่มีผลชี้นำการลงทุน

แนะกลยุทธ์ นักลงทุนระยะยาวและกลางให้ชะลอการลงทุน ส่วนระยะสั้นแนะเทรดดิ้งอย่างระมัดระวัง

ปิดท้าย "วิวัฒน์ เตชะพูลผล" หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ ฟันธงหุ้นไทยระหว่าง 5 มิ.ย.-5 ก.ค.52 มีโอกาสทะยานขึ้นมาแตะระดับ 600-630 จุดได้ โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินกลางเดือน ก.ค. มีลุ้น 630 จุด แม้จะมีความผันผวนระหว่างทาง โดยให้กรอบแนวรับไว้ที่ 570 จุด

และหากดัชนีขึ้นมาได้ที่ 600-630 จุด แนะให้ขาย ล้างพอร์ต และถือเงินสด เพราะต่างชาติจะต้องขายหุ้นออกมา ซึ่งจะได้กำไรถึง 2 เด้งคือ กำไรจากราคาหุ้นและกำไรจากเงินบาทที่
แข็งค่า

ยังแนะให้นักลงทุนกลับเข้าไปซื้อหุ้นคืนที่แนวรับบริเวณ 570 จุดและ 550 จุด

โดยมีหุ้นที่น่าสนใจคือ PTT, PTTCH, KBANK, BAY, QH, LH, AP, AMATA, ITD, ADVANC ,DTAC, BEC และ BECL โดยให้จุดตัดขาดทุนที่ระดับดัชนีต่ำกว่า 540 จุด!!



อินเด็กซ์ 51


หุ้นไทยปิดพุ่ง 1.95% - บล. เคทีซีมิโก้แนะเล่นตามน้ำ

หุ้นไทยปิดพุ่ง 1.95% - บล. เคทีซีมิโก้แนะเล่นตามน้ำ


นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า แม้ว่าในวันนี้จะไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา แต่ก็ยังมีการเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทัรพย์อย่างต่อเนื่อง และในการซื้อขายภาคบ่ายก็มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย ส่งผลให้ดัชนีฟื้นตัวกลับมาในทิศทางบวกได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มมีการคาดหวังถึงการปรับเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 600 จุดอีกครั้ง


บล. เคมีซีมิโก้แนะนำว่า กลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุดในขณะนี้ ควรเป็นการ “เล่นตามน้ำ” หรือลงทุนตามภาวะตลาด เนื่องจากราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก โดยยังมีการลงทุนในหุ้นสลับกันไปมา จึงยังสามารถลงทุนต่อไปได้หรือไม่ควรรีบขายออกมาอย่างเดียว

สำหรับหุ้นกลุ่มที่ควรพิจารณาในขณะนี้ คือ กลุ่มหลักทรัพย์ จากปริมาณการซื้อขายหุ้นในขณะนี้ที่เกือบ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งหากยังมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เข้ามาในระดับนี้ก็อาจเลือกลงทุนได้ รวมถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างด้วยเช่นกัน เนื่องจากภาครัฐยังเตรียมเข็นโครงการลงทุนใหม่ ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป


ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ ปิดเพิ่มขึ้น 11.35 จุด หรือ 1.95% มาอยู่ที่ 593.60 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 29,641.61 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 118.95 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 522.70 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 403.75 ล้านบาท

Template by - Abdul Munir | Blogging4