20 สิงหาคม 2552

แนะหุ้นปันผล!!

แนะหุ้นปันผล!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 19 ส.ค.52 ปิดที่ 631.28 จุด ลดลง 8.97 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 19,148.72 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 626.99 ล้านบาท

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด นำโดย PTT ปิดที่ 232 บาท ลดลง 5 บาท, TMB ปิดที่ 1.06 บาท ลดลง 0.09 บาท, BANPU ปิดที่ 396 บาท ลดลง 12 บาท, PTTEP ปิดที่ 137.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และ TOP ปิดที่ 38 บาท ลดลง 0.75 บาท

ฝ่ายวิจัย บล.พัฒนสิน มองแนวโน้มระยะสั้น ดัชนียังคงลงต่อ เพราะนักลงทุนจะขายทำกำไรต่อหลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาสูง โดยนักลงทุนบางส่วนชะลอดูสถานการณ์จนกว่าจะแน่ใจว่าภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ เพราะขณะนี้ราคาหุ้นได้วิ่งแรงแซงหน้าเศรษฐกิจที่คาดหวังว่าจะฟื้นตัวขึ้นไปมากแล้ว เมื่อมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯหรือไทยออกมาในเชิงลบ ก็จะทำให้นักลงทุนกลับมากังวลอีกครั้ง

ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงหวังว่า จะมีปัจจัยบวกใหม่ๆที่ชัดเจนเข้ามาเป็นตัวหนุนหรือกระตุ้นตลาดให้ปรับตัวขึ้นได้ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ถ้อยแถลงนโยบายหรือทิศทางเศรษฐกิจของเบน เบอร์นันเก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด

แนะกลยุทธ์การลงทุน หากดัชนีดีดตัวขึ้นให้รีบขายทำกำไรหรือตัดขาดทุนไป หรือหาจังหวะเข้าทยอยสะสมในหุ้นที่ผลประกอบการดี กำไรงาม และใกล้แขวน XD เพื่อรอรับเงินปันผล

หุ้นที่แนะนำ เช่น บริษัทน้ำมันพืชไทย (TVO), บริษัทศุภาลัย (SPALI), บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น คาดว่าจะแกว่งตัวลง แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้เก็งกำไรระยะสั้น โดยรอซื้อเมื่อดัชนีอยู่ที่แนวรับ 620 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 635 จุด

ปิดท้ายมีข่าว ศุภกร สุนทรกิจ บิ๊ก MFC คงเป้าสินทรัพย์ปีนี้โต 20% แตะ 2.6 แสนล้านบาท จากสิ้นเดือน มิ.ย.มีสินทรัพย์อยู่ที่ 2.27 แสนล้านบาท

โดยครึ่งปีหลังจะลุยออกกองทุนใหม่ 17 กอง เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ทั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั้งในและต่างประเทศ, สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน นอกจากนี้ยังจะลงทุนในหุ้นกู้ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย

ที่ผ่านมากองทุนรวมของเอ็มเอฟซีหลายกองทุนประสบผลสำเร็จ สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยได้ในระดับสูง

ส่วนตลาดหุ้นไทยเชื่อ หากมีเงินนอกไหลเข้ามีสิทธิ์ลุ้นหุ้นทะลุ 700800 จุดได้ในปีหน้า!!


อินเด็กซ์ 51

10 เดือนรัฐขาดดุล 3.7 แสนล้าน

10 เดือนรัฐขาดดุล 3.7 แสนล้าน


คลังแจงฐานะช่วง 10 เดือนรัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 378,103 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ของจีดีพี สะท้อนถึงบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคเอกชนชะลอการใช้จ่าย




นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ว่า ในเดือน ก.ค. 2552 รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณจำนวน 62,661 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณจำนวนรวมทั้งสิ้น 449,241 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 71,138 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 378,103 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สะท้อนถึงบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคเอกชนชะลอการใช้จ่าย

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ชดเชยการขาดดุลเงินสดด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลัง ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนก.ค.2552 เท่ากับ 278,987 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่มีความมั่นคงต่อฐานะการคลังของรัฐบาล

โดยฐานะการคลังในช่วง 10 เดือนแรกปีงบประมาณ 2552 หรือ ต.ค.2551-ก.ค.2552 นั้นรายได้นำส่งคลัง รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,128,844 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 107,150 ล้านบาท คิดเป็น 8.7% เนื่องจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลักที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีธุรกิจเฉพาะ นอกจากนั้นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน

ส่วนรายจ่ายรัฐบาล การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 1,578,085 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 219,165 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16.1% ประกอบด้วยรายจ่ายปีปัจจุบัน 1,467,057 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว15.6% คิดเป็นอัตราการเบิกจ่าย 75.2% ของวงเงินงบประมาณ 1,951,700 ล้านบาท และรายจ่ายปีก่อน 111,028 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 22.9%

โดยรายจ่ายปีปัจจุบันจำนวน 1,467,057 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายจ่ายประจำ 1,228,648 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 19.1% และรายจ่ายลงทุน 238,409 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 0.8%

นายเอกนิติ กล่าวว่า สำหรับดุลการคลังรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ขาดดุล 378,103 ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 449,241 ล้านบาท ส่วนดุลเงินนอกงบประมาณเกินดุลจำนวน 71,138 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการออกพันธบัตรตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ จำนวน 50,000 ล้านบาท และการได้รับรายได้จากการชดใช้เงินคงคลังจำนวน 27,540 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน รวมทั้งสร้างความมั่นคงของฐานะการคลัง จึงได้ชดเชยการขาดดุลดังกล่าวด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังรวม 428,030 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสด เกินดุล 49,927 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ก.ค.2552 มีจำนวน 278,987 ล้านบาท

สำหรับฐานะการคลังเดือน ก.ค.นั้นรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 101,457 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 2,677 ล้านบาท คิดเป็น 2.6% โดยมีสาเหตุสำคัญจากการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงในช่วงเศรษฐกิจหดตัว ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และอากรขาเข้าลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว


เริ่มเห็นสัญญาณการพักตัวแล้ว

บล. เกียรตินาคินเตือน เริ่มเห็นสัญญาณการพักตัวแล้ว
ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 610- 620 จุด


วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวตามตลาดภูมิภาค โดยยังคงขาดปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้น ส่วนแรงขายในตลาดหุ้นจีน ก็จะเข้ามาเป็นปัจจัยกดดันตลาดภูมิภาคเอเชียโดยรวมในช่วง 2 วันที่เหลือของสัปดาห์นี้ได้ โดยดัชนีหุ้นไทยยังมีแนวโน้มแกว่งตัวได้ในกรอบ 610 – 620 จุด แต่การที่หุ้นหลายตัวได้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลออกมา ทำให้มีแรงช้อนซื้อเข้ามาในตลาดด้วย

สำหรับราคาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นตลอด 4 เดือนจากสภาพคล่องที่ไหลเข้ามาหาผลตอบแทนนั้น ก็เชื่อว่ายังมีโอกาสปรับลดลงได้หากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหรือมีเงินไหลออกไป แต่การที่หุ้นกลุ่มนี้ในตลาดหุ้นไทยมีการจ่ายปันผลที่ดี เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้ าก็อาจมีแรงรับกลับเข้ามาได้เช่นกัน ส่วนโรงกลั่นที่จ่ายปันผลไม่สูงนัก ก็ยังมีโอกาสผันผวนได้

วิริยาแนะนำว่า เนื่องจากดัชนียังมีความผันผวนไปจนสัปดาห์หน้า ผู้ที่มีเงินสดในมือก็อาจรอตั้งรับไว้ที่ 610-620 จุด ส่วนคนที่ลงทุนระยะยาวเพื่อหวังปันผลก็อาจถือต่อไปได้ ส่วนผู้ที่เก็งกำไรในช่วงก่อนหน้าก็ต้องอิงกับกรอบทางเทคนิคด้วยว่าเริ่มเห็นสัญญาณพักตัวและผันผวนมากขึ้นแล้ว จึงอาจต้องขายออกมาด้วยหากมีการดีดตัวขึ้นโดยยังต้องให้ความสำคัญกับตัวเลขเศรษฐกิจ รวมถึงจีดีพีที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า ตลอดจนปัจจัยการเมือง และการไหลเข้าออกของเม็ดเงินต่างชาติ ซึ่งจะมีผลให้หุ้นไทยยังมีความผันผวนได้




Template by - Abdul Munir | Blogging4