05 เมษายน 2552

หุ้นเดินเรือ

โกลด์แมนแซคส์ดันหุ้นเดินเรือ
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

โพสต์ทูเดย์ — หุ้นเดินเรือวิ่งฉิว ตามใบสั่ง โกลด์แมน แซคส์ โบรกเกอร์คาดเด้งช่วงสั้น

บ่ายวานนี้ หุ้นเดินเรือผงกหัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากช่วงเช้าซื้อขายต่ำกว่าราคาวันก่อน เนื่องจากมีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ต่างประเทศออกมาปรับคำแนะนำการลงทุน ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ที่ลงไปต่ำสุดถึง 12.80 บาท ทะยานขึ้นไปปิดที่ระดับ 13.80 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 4.55% มูลค่าหนาแน่น 866.96 ล้านบาท

สำหรับบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) จากจุดต่ำสุด 10.40 บาท ปรับตัวขึ้นไปปิดที่ 11.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 10.38% มูลค่าซื้อขาย 232.67 ล้านบาท และบริษัท อาร์ซีแอล (RCL) จากแถว 5.60 บาท ปิดที่ 6.30 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 12.50% มูลค่าซื้อขาย 19.37 ล้านบาท

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นในกลุ่มเดินเรือปรับตัวขึ้นและมีมูลค่าซื้อขายหนาตา โดยการรีบาวด์ในช่วงสั้น คาดว่าจะเป็นผลจากที่โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับราคาคำแนะนำขึ้น โดยหุ้น RCL ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิมมองเป็น “เท่ากับตลาด” พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 9.40 บาท จากเดิม 5.90 บาท หรือเพิ่มขึ้น 59%

สำหรับหุ้น TTA ได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 20.70 บาท จากเดิมให้ไว้ที่ 20.70 บาท โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ”

นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นในกลุ่มเดินเรือปรับตัวขึ้น คาดว่าจะเป็นผลจากการประชุม จี20 ที่มีมาตรการที่จะกระตุ้นการลงทุนทั่วโลก ซึ่งน่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น ดังนั้นนักลงทุนก็เข้ามาเล่นเก็งกำไรกันก่อน

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเซีย คาดว่าบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) ผลดำเนินงานแย่ลงใกล้ถึงจุดต่ำแล้ว และคาดว่าในไตรมาส 2 กำไรปกติทรงตัวจากไตรมาสแรก แต่จะพลิกมามีกำไรสุทธิราว 1,000 ล้านบาท เพราะค่าเงินเยนอ่อนลงเมื่อเทียบกับบาท

ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันทรุดซึมซับกับข่าวร้ายที่ย่ำแย่ไปมากแล้ว หากธุรกิจฟื้น กำไรจะฟื้นแรงกว่า นักลงทุนมีโอกาสได้รับเงินปันผลสูงจึงเหมาะลงทุนระยะยาว

“สินเอเซียให้ราคาเป้าหมายปีนี้เท่ากับ 22.80 บาท แต่หากเลวร้ายสุดราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 17.50 บาท ซึ่งยังมี Upside อีก 11%”


ที่มา:โพสต์ทูเดย์

ไตรมาส2ไกลสุด490จุด

ไตรมาส2 ไกลสุด490จุด
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552


โพสต์ทูเดย์ — ทรีนีตี้คาดไตรมาส 2 เกิดปรากฏการณ์หุ้นฟื้นท่ามกลางภาวะหมีซึม ลากดัชนีถึง 490 จุด เพิ่มอีก 44 จุดจากตอนนี้ เชียร์พลังงาน ปิโตรเคมี

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปะชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตามสถิติภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้ง จะเกิดภาวะหุ้นฟื้นท่ามกลางตลาดหุ้นอยู่ในภาวะหมี (Bear Market Rally) เหมือนกับในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ดัชนีหุ้นแตะระดับต่ำสุดที่ 207.4 จุด ในเดือนก.ย. 2541 หลังจากนั้นตลาดเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวท่ามกลางภาวะหมี โดยในช่วง 9 เดือนดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 350 จุด หรือ 70% ขึ้นไปแตะที่ระดับ 551 จุด หลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลง
สำหรับวิกฤตรอบนี้คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว โดยในช่วงไตรมาส 2 นี้ดัชนีมีโอกาสขึ้นทดสอบ 490 จุด เพราะนักลงทุนเริ่มมีความคิดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นเริ่มลดความรุนแรงลง และรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

“ภาวะหุ้นฟื้นท่ามกลางภาวะหมีในรอบนี้อาจไม่ได้ลากยาวถึง 9 เดือนเหมือนปี 2540 ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากโลกาภิวัตน์ การรับรู้ข่าวสารที่รวดเร็ว ดังนั้นในไตรมาส 3 ดัชนีน่าจะอ่อนตัวลงและแตะระดับต่ำสุดของปีที่ระดับ 391 จุด และค่อยไปฟื้นตัวในไตรมาส 4 ซึ่งขึ้นไปสูงสุดของปีที่ระดับ 590 จุด”

ดังนั้น ในไตรมาส 2 นี้ทางฝ่ายวิจัยมองว่าควรเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เช่น บริษัท ปตท. (PTT) บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) บริษัท ไทยออยล์ (TOP) และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น เช่น บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) เป็นต้น

สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้น ให้น้ำหนักเท่ากับตลาดในช่วงไตรมาส 2 และลดน้ำหนักลงต่ำกว่าตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะมีความกังวลว่าสินเชื่อจะไม่เติบโต ขณะที่จะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น คาดว่าปีนี้ทั้งระบบจะอยู่ที่ 9% จาก 7% ในปีที่ผ่านมา

ด้านหุ้นวานนี้ ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ตามดัชนีดาวโจนส์ที่เพิ่มขึ้น 216.48 จุด หรือ 2.8% ปิดที่ 7,978 จุด รับผลดีประชุม จี20 ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยบวก 3.08 จุด ปิดที่ 446.04 จุด มูลค่าซื้อขาย 14,063 ล้านบาท โดยต่างชาติซื้อสุทธิเกือบ 2,000 ล้านบาท


ที่มา:โพสต์ทูเดย์

เก็งอสังหาฯรับดอกเบี้ยลด

เก็งอสังหาฯ รับ กนง.ลดดอกเบี้ย



จับตาแรงเก็งกำไรทะลักเข้าหุ้นกลุ่มอสังหาฯ รับคาดการณ์ กนง. ลดดอกเบี้ยในการประชุม 8 เมษายนนี้ 0.5% แต่นักวิเคราะห์แนะลุยกองทุนอสังหาฯ ปลอดภัยกว่า ขณะที่ภาพรวมตลาดฯ นักลงทุนยังกังวลการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เชื่อหากไม่มีเหตุรุนแรง ดัชนีฯ มีลุ้นไป 460 จุด

เปิดเทรด 7 เมษายน 2552 มีลุ้นแรงเก็งกำไรทะลักเข้าหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับคาดการณ์ คณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 0.25-0.5% ในการประชุมวันที่ 8 เมษายนนี้ โดยแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ เริ่มมีมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 เมษายน ที่ผลักดันให้ดัชนีกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยปิดที่ 58.97 จุด เพิ่มขึ้น 1.56 จุด หรือ 2.72%


* คาด กนง. ลดดอกเบี้ย 0.5%

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) (TNITY) กล่าวว่า คาดว่าการประชุม กนง. ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ซึ่งหากเป็นการปรับลดในระดับที่ตลาดฯ มีการคาดการณ์ไว้ก็จะไม่ส่งผลบรรยากาศเชิงบวกต่อตลาดหุ้นได้มากนัก

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือน เม.ย.นี้ บริษัทฯ แนะนำอุตสาหกรรมที่ให้น้ำหนักการลงทุนที่มากกว่าตลาด (Over Weight) คือหุ้นกลุ่มสื่อสาร ได้แก่ ADVANC และ DTAC รวมทั้งหุ้นสื่อและสิ่งพิมพ์ และกลุ่มค้าปลีก

อีกทั้งแนะนำเป็นหุ้นรายตัว ดังนี้ คือ CPALL, TOP, BCP, PTTAR, PTT, SCB, KBANK, BGH, BEC, MAJOR และ SPALI โดยปรับเปลี่ยน TTW ออกไป

ส่วนหุ้นที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน และให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด คือ LH, IRPC, THAI, TPC, TRUE และ CCET


* แนะเลือกลงทุนกองทุนอสังหาฯ ดีกว่าหุ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ให้คำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น นักลงทุนควรหันมาพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะดีกว่า เพราะถือว่าทำได้ง่ายและเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนอย่างมี ประสิทธิภาพในภาวะที่เงินฝากให้ดอกเบี้ยต่ำ

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะ เป็นการแยกระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนออกจากกันดังนี้ คือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์จัดเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนก็สูงในทิศ ทางเดียวกัน (High Risk High Return) ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลายตัวที่ให้อัตราตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield สูงกว่า 10% เพราะราคาได้ตกลงมามากตามภาวะตลาด เช่น LPN มี Dividend Yield สูงกว่า 14% ในขณะที่ SC มี Dividend Yield สูงกว่า 10% และ NOBLE ให้ Dividend Yield 10%

โดยประเมินว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะไม่เติบโตมากนัก เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนถูกบั่นทอนมากจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและการเมือง ซึ่งแม้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจมีผลประกอบการที่ดี เพราะมีการรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

สำหรับ Backlog รวมทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แต่ในส่วนของการเติบโตของยอดขายใหม่คงจะไม่ได้เห็นและมีแต่จะถดถอยลงประเมิน จากตัวเลขจีดีพีและตัวเลขการว่างงานที่สะท้อนกำลังซื้อที่ตกต่ำของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักประกันว่าราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำมาแล้วจะไม่ลดลงไป กว่านี้แต่สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ตามสถิติที่ผ่านมามีการจ่ายเงินปันผล ตอบแทนผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่องถึงปีละ 4 ครั้ง โดยจะจ่ายรายไตรมาส และผลตอบแทนหรือ Dividend Yield ส่วนใหญ่จะสูงกว่า 10 ทั้งสิ้น อีกทั้งราคาก็ไม่ตกต่ำตามภาวะตลาดมากนัก ถ้าเทียบ Performance โดยรวมก็ถือว่าดีกว่าตลาด

ส่วนกองทุนอสังหาฯ ขณะนี้มีเกินว่า 50% ที่ราคาซื้อขายต่ำกว่า NAV แต่ความเสี่ยงที่ต้องประเมินของกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่สภาพคล่องและ การเข้าถึงข้อมูล ทั้งการติดต่อกับเจ้าของสินทรัพย์ในกองทุนและฟันด์เมเนเจอร์นักลงทุนจึงต้อง เลือกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และผลการดำเนินงานมีทิศทางที่ดี รวมถึงมีบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์หลายแห่งรองรับเพื่อให้พิจารณาข้อดีข้อ เสียได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่บล.เอเซียพลัสประเมินว่าโดดเด่นที่สุด และน่าลงทุน คือ CPNRF หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท โดยปัจจุบันมีราคาซื้อขายที่ 7.80 บาท ต่ำกว่า NAV ณ สิ้นปี 2551 ที่ 9.88 บาท อยู่ประมาณ 6.4% ขณะที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกไตรมาสคิดเป็น Dividend Yield ที่สูงมากกว่า 9% ต่อปี นอกจากนี้ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานที่เข้าลงทุนมีศักยภาพสูงและมีรายได้ ต่อเนื่องจากรายได้ค่าเช่า ซึ่งผู้เช่ามีความหลากหลายในธุรกิจจึงช่วยกระจ่ายความเสี่ยงรายได้จึงมั่นคง และแน่นอนในยามเศรษฐกิจถดถอย

และอีกกองทุนที่น่าสนใจคือ TFUNDที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลหรือ Dividend Yield สูงเกือบ 10% โดย TFUND ถือกรรมสิทธิ์ในโรงงานอุตสาหกรรม 131 แห่ง ของ TICON ซึ่งมีฐานรายได้จากการดำเนินงานมั่นคง โดย TICON มีมูลค่าตลาดสูงถึง 6 พันล้านบาท และมีสภาพคล่องสูง แนะนำซื้อ


* นลท. ยังกังวลชุมนุมเสื้อแดง

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันที่ 7-10 เมษายนว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ ดัชนีฯ มีโอกาสผันผวน เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากประเด็นการเมืองภายในประเทศ ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งเป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ยังคงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล แม้ว่าศาลแพ่งได้มีคำสั่งเปิดทาง

โดยกลุ่มเสื้อแดงประกาศระดมพลใหญ่ในวันที่ 8-9 เม.ย.นี้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งการชุมนุมใหญ่ที่เกิดขึ้นยังไม่มีความชัดเจนว่าจะก่อให้เกิดปัญหาและ ความวุ่นวายมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป


* หากชุมนุมไม่รุนแรงดัชนีฯ จะไป 460 จุด

นายศราวุธ กล่าวต่อว่า หากประเด็นการเมืองไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ดัชนีฯ อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ สะท้อนจากตัวเลขต่างๆออกมาเป็นเชิงบวก ซึ่งล่าสุดในการประชุม จี 20 ได้อนุมัติเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำใช้แก้ปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามการแก้ปัญหาหนี้เสียของสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนในเร็ววันนี้ โดยดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 450 จุด และหากผ่านแนวดังกล่าวได้ มีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 460 จุด

นอกจากนี้ จากกรณีที่ยังไม่มีการออกพระราชกฤษฎีกา เรื่องการขยายเวลาลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11% ที่ครบกำหนดในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนระยะสั้นในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจต้องมีภาระต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ และประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกดดันดัชนีฯ

สำหรับการประชุมของ กนง. ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ประเมินว่า กนง.น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากปัจจุบันที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ซึ่งหากกนง.ลดอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ไทย เนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ แต่หากปรับตัวลดลงมากกว่า 0.25% ก็อาจส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ซื้อ PTT-PTTEP และกลุ่มเดินเรือ โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ อยู่ที่ 436-433 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450-460 จุด


* คาด นลท. ชะลอลงทุนหลบหยุดยาวสงกรานต์

ด้านนายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีฯ 7-10 เม.ย.นี้ คาดการณ์ว่า ดัชนีฯ มีโอกาสแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยการประชุมในวันที่ 8 เม.ย. ของ กนง. ประเมินว่าอาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25-0.50% จากปัจจุบันที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดฯ

แต่อย่างไรก็ตาม หาก กนง.ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่า กนง. มีโอกาสสูงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยระบุว่า พร้อมที่จะใช้เครื่องมือที่มีอยู่เป็นตัวช่วยเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ประเมินว่านักลงทุนส่วนใหญ่อาจชะลอการลงทุน เนื่องจากใกล้เทศกาลหยุดยาวช่วงสงกรานต์ รวมทั้งนักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยบกับปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถคาด การณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน

"ดัชนีฯ ในช่วง 2 เดือนนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 500 จุด แต่ในระหว่างทางอาจจะปรับฐานบ้าง ดังนั้นนักลงทุนระยะ 2-3 เดือน อาจะสะสมหุ้น" นายกวี กล่าว

ทั้งนี้ ต้องติดตาม ประเด็นการเมืองภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของสถาบันการเงินทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งส่วนของสถาบันการเงินต่างประเทศนั้น มองว่าความกังวลในเรื่องของผลประกอบการลดลงน้อยลง เนื่องจากรัฐบาลยกเลิก Mark-to-Market ทำให้ผลงานน่าจะดูดี ซึ่งนักลงทุนก็คาดการณ์ว่าน่าจะมีกำไร แต่หากประกาศออกมาไม่มีมีผลขาดทุน ก็เป็นปัจจัยต่อตลาดฯ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ หาจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ อยู่ที่ 440 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด



ที่มา:eFinanceThai.com

เก็งกำไรหุ้น

บทความเรื่องรายได้ : มุมมอง set : เก็งกำไรหุ้น

ในชีวิตประจำวันของเราต้องใช้เงินเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการที่ เราอยากได้ เงินเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตเรามีความสะดวกสบายขึ้นอย่างมาก และทุกคนต่างอยากมีเงินเก็บสะสมไว้เพื่อที่ว่าจะได้ใช้ในยามที่ต้องการ แต่ทำไมเงินที่เราหามาได้นั้นมักจะไม่พอกับค่าใช้จ่าย ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราใช้จ่ายมากเกินไปหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะว่าค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นมากและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่างหาก เงินที่เราหามาได้ในจำนวนเท่าเดิมจึงไม่สามารถเพียงพอต่อการดำรงชีวิต หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เงินเฟ้อเพิ่มสูงมากจนทำให้ค่าของเงินลดน้อยลง และเราไม่สามารถหาเงินมาทดแทนให้เพียงพอกับมูลค่าของเงินที่ลดลงไปอย่างรวด เร็วได้

เมื่อเราได้ยินใครสักคนพูดว่า เงินมีความสำคัญ มันเป็นคำพูดที่เราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ มีบางคนเริ่มโต้แย้งว่า ผม/ฉัน คิดว่าเงินไม่มีความสำคัญ ดิฉันอยากบอกว่า เงินมีความสำคัญ ถ้าสิ่งที่คุณต้องการนั้นต้องใช้เงินในการแลกเปลี่ยน แต่ถ้าสิ่งที่คุณไม่ต้องการนั้นมันไม่ต้องใช้เงินในการแลกเปลี่ยน เงินก็กลายเป็นสิ่งไม่สำคัญ เช่น ถ้าคุณต้องการซื้อรถ คุณสามารถไปบอกคนขายได้ไหมคะว่า ผมมีความรักอยู่มากมายเลย ช่วยแลกเปลี่ยนรถคันนี้(ที่ผมอยากได้มากๆ)กับความรักที่ผมมีเถอะ คุณผู้อ่านคิดว่า คนขายเค้าจะขายรถให้คุณหรือไม่ ดิฉันคิดว่าคนขายคงบอกให้ใครก็ได้มาพาคุณออกไปจากโชว์รูมขายรถของเค้าแน่นอน

ดิฉันกำลังจะชวนคุณผู้อ่านว่า พวกเรามาเล่นเกมการเงินกันเถอะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้สิ่งที่เราต้องการเพื่อทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบาย สิ่งของเหล่านี้ต้องใช้เงินในการแลกเปลี่ยนแทบทั้งนั้น คุณผู้อ่านเห็นด้วยไหมคะ เอาอย่างที่มองเห็นใกล้ๆตัวเราก่อน ข้าว ข้าวเราก็ต้องซื้อเค้ากิน ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารหรือข้าวสวย เห็นภาพชัดเจนเลยใช่ไหมคะ

ถ้าเราจะเล่นเกมการเงิน เพื่อให้ได้ความเป็นอิสระทางการเงิน เราก็ต้องเริ่มให้ความสำคัญของรายได้และรายจ่ายอย่างเท่าเทียมกันเสียก่อน

ความเป็นอิสระทางการเงินในที่นี้หมายความว่า เราจะมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็นเวลาสำหรับครอบครัว เวลาสำหรับพักผ่อน ถ้าอยากทำงานก็ทำงานด้วยความสนุก ไม่เครียด ทำงานเพราะอยากทำงานนั้นๆ ไม่ใช่เป็นเพราะว่างานที่ตนเองกำลังทำอยู่นั้น ต้องบังคับให้ตัวเองไปทำงานเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่าย กรณีที่ต้องบังคับให้ตัวเองไปทำงานนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าสนุกแน่ๆ

คุณผู้อ่านเริ่มที่จะสนใจเรื่องของรายได้และรายจ่ายหรือยังคะ ถ้าสนใจก็ต้องเริ่มที่จะรู้ก่อนว่า

ถ้าเรามีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย เราจะไม่มีเงินเหลือเลย และมีโอกาสเป็นหนี้ 100%
ถ้าเรามีรายได้เท่ากับรายจ่าย เราก็จะไม่มีเงินเหลือเลย และยังมีโอกาสเป็นหนี้อยู่
ถ้าเรามีรายได้มากกว่ารายจ่าย เราก็จะมีเงินเหลือ

ทีนี้คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่า รายจ่ายมีความสัมพันธ์อย่างไรกับรายได้ มันมีความสัมพันธ์ว่า ถ้ารายได้สูงรายจ่ายก็จะเพิ่มสูงตามไปด้วย นี่เป็นความจริงอย่างแน่นอนที่สุด แล้วเราจะทำยังไงดียิ่งมีรายรับมากรายจ่ายก็ยิ่งมากตามไปด้วย

ก่อนที่เราจะมานั่งเป็นกังวลเรื่องของรายได้และรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงา ตามตัว เรามารู้จักแหล่งที่มาของรายได้เสียก่อน แหล่งที่มาของรายได้ของคนเรานั้นมีสองทางค่ะ ทางหนึ่งคือ รายได้จากการทำงานและอีกทางหนึ่งคือ รายได้งอกเงย

รายได้จากการทำงาน คือ รายได้ที่คนส่วนมากกำลังทำกันอยู่ทุกวันนี้ นั่นคือตื่นแต่เช้าทุกวัน ไปทำงาน ตอนเย็นกลับมาบ้าน สิ้นเดือนรับเงินเดือน

รายได้จากการทำงาน (หนัก) นี้ย่อมไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ปกติเราขับรถไปทำงานทุกวัน ค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำมันรถต่อเดือนเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตทางด้านพลังงานราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นไป ทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำมันรถต่อเดือนเพิ่มขึ้นไปจนถึงเดือนละ 4,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มต่อเดือนเฉพาะค่าน้ำมันก็เพิ่มขึ้นไปถึงเดือนละ 2,000 บาท คิดเป็น 100% ต่อเดือน นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอื่นๆที่ทยอยเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตาม ราคาน้ำมัน พอสิ้นปีสมมุติว่าเงินเดือนเพิ่มขึ้น 25% (เพิ่มขึ้นมากเลยนะเนี่ย) มันก็ยังไม่พอกับค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตั้ง 200% ถ้าคุณบอกว่า งั้นขึ้นรถเมล์ไปทำงานก็ได้ ดิฉันจะบอกว่า ได้ค่ะ แต่ชีวิตคุณเริ่มไม่สะดวกสบายแล้วใช่ไหมคะ

ส่วนรายได้งอกเงย คือ รายได้ที่ได้จากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการลงทุนใน หุ้น พันธบัตร รายได้จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ ลิขสิทธิ์งานเขียน หรือรายได้จากสิ่งอื่นใดก็ตามที่คุณนำเงินไปลงทุนแล้วได้รับผลตอบแทนจากการ ลงทุนนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องใช้แรงของคุณไปทำงาน แต่ใช้แรงของเงินไปทำงานแทน

รายได้งอกเงยหรือรายได้จากการลงทุนนั้น สามารถให้ผลตอบแทนที่มากมายมหาศาล คุณจะมีเวลาว่างมากมาย ถ้าคุณอยากได้รายได้เพิ่ม คุณก็แค่ไปลงทุนเพิ่ม อยากได้เพิ่มมากเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่ว่าคุณต้องการให้เงินของคุณทำ งาน(หนัก)มากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนมากแล้ว เราก็อยากให้เงินไปทำงาน(หนัก) แทนเราใช่ไหมคะ

ถ้าคุณอยากมีอิสระทางการเงินได้อย่างรวดเร็วแล้ว คุณต้องมีรายได้งอกเงย มากกว่า รายจ่ายของคุณทั้งหมด คุณถึงจะชนะเกมการเงินและมีอิสระทางการเงิน

เขียนและเรียบเรียง ณัฐพร แสงกรชัยพัฒน์
มีข้อแนะนำติชมอย่างไรส่งมาได้ที่ nsangkorn@hotmail.com

Template by - Abdul Munir | Blogging4