28 กรกฎาคม 2552

ใช้มาร์จินลงทุน


Monday, 29 June 2009

ใช้มาร์จินลงทุน

ในการลงทุนทำธุรกิจโดยทั่วไปนั้น เราต้องมีเงินส่วนตัวหรือเงินจากหุ้นส่วนมาร่วมกันลงทุน นอกจากเงินที่เป็น ส่วนของเจ้าของแล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังมักจะ กู้เงิน หรือยืมเงินคนอื่นมาใช้ในการลงทุนด้วย ในเรื่องของธุรกิจแล้ว เงินที่กู้มามักจะมีมากกว่าเงินในส่วนของเจ้าของเองด้วยซ้ำ ดังนั้น เงินกู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าขาดเงินกู้ โครงการหรือธุรกิจก็เดินไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้น เราก็ต้องลดขนาดของธุรกิจลง การลดขนาดของธุรกิจลงก็ทำให้กำไรลดน้อยลง ผลตอบแทนการลงทุนของเราก็น้อยลง การลงทุนก็อาจจะไม่คุ้มค่า สรุปอย่างง่ายก็คือ เรากู้เงินมาใช้ก็เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเรา

แต่การกู้เงินมาใช้นั้นมีความเสี่ยง เพราะเงินกู้นั้นต้องมีกำหนดเวลาใช้คืนและต้องมีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย บางทีทุกเดือน ถ้าบริหารกระแสเงินสดไม่ดี และ/หรือ ธุรกิจเกิดประสบปัญหาขาดทุน เราอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย เงินส่วนของเราก็สูญไปด้วย หรือในกรณีที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก เราอาจจะไม่ถึงกับล้มละลาย แต่ธุรกิจทำกำไรได้น้อยในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่า แบบนี้แทนที่เราจะได้กำไรบ้างถ้าเราไม่ได้กู้เงิน เราก็อาจจะไม่มีกำไรเลยหรือขาดทุนได้ ดังนั้น การที่เราจะกู้เงินหรือไม่จึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนักว่า ระหว่างผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้เพิ่มขึ้น กับความเสี่ยงที่ว่าเราอาจจะล้มละลายหรือผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุน เราจะเลือกอย่างไหน?

สำหรับ นักธุรกิจแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเลือกการกู้เงิน เพราะการลงทุนทำธุรกิจมักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง บางทีเกินกำลังเงินส่วนตัวที่มีอยู่ นอกจากนั้น นักธุรกิจมักมองว่าผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ดังนั้น การกู้เงินจะทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น ส่วนความเสี่ยงที่จะล้มละลาย เขามักจะให้ความใส่ใจน้อยกว่า เขาคงคิดว่าเขาเข้าใจและรู้จักธุรกิจดีพอ เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคน คุมธุรกิจ นั้นเอง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาอาจจะคิดว่า ถ้าเลวร้ายมากและธุรกิจต้องล้มละลาย เขาก็แค่เสียเงินส่วนตัวที่ลงทุนไปเท่านั้นและก็อาจจะเป็นเงินที่ไม่มาก และหลังจากล้มละลายเพียง 3-4 ปีเขาก็ หลุด จากการล้มละลายและกลับมาลองใหม่ได้อีก แต่ถ้าเขาโชคดี ธุรกิจประสบความสำเร็จงดงาม กำไรของเขาจะมหาศาลและมากกว่าการไม่กู้เงินหลายเท่า ดังนั้น สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด เขารู้ว่านี่เป็น เกม ที่เขาได้เปรียบ คือ ถ้าเขาชนะ เขาได้ 10 ถ้าแพ้ อย่างมากเขาก็เสีย 1 คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ ก็คือคนให้กู้ ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา

การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ สำหรับผมก็คือ ผมสามารถค่อย ๆ ทยอยลงทุนทีละน้อยไปเรื่อย ๆ เมื่อมีเงินเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งไหนก็ตาม อีกความแตกต่างหนึ่งก็คือ การกู้เงินมาใช้ซื้อหุ้นลงทุนนั้น สถาบันการเงินอื่นมักไม่ให้กู้ จะมีก็แต่โบรกเกอร์ที่เราเป็นลูกค้าอยู่ที่จะให้กู้ที่เรียกกันว่าการซื้อหุ้นด้วย มาร์จิน แต่โบรกเกอร์นั้นก็ให้กู้แบบมีข้อจำกัด นั่นคือ เราไม่สามารถกู้ได้เกินหนึ่งเท่าของเงินส่วนตัวที่เราเอามาลงทุน และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เราจะกู้ได้เฉพาะเพื่อที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่องพอได้

ด้วยข้อจำกัดในการกู้ดังกล่าว ประกอบกับการที่ผมค่อนข้างที่จะเน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นพิเศษเนื่องจากเราไม่อยู่ในฐานะที่เสี่ยงต่อความสูญเสียที่รุนแรงได้ ผมจึงเลือกที่จะลงทุนโดยไม่กู้เลยตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนตัวของผมเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่า ผมไม่จำเป็นที่จะต้อง เร่ง ผลตอบแทนการลงทุนไปมากกว่านั้น ว่าที่จริง การลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดนั้น ถ้ามันให้ผลตอบแทนที่พอสมควรเช่นปีละ 10% เงินมันก็โตเร็วมากอยู่แล้ว พูดโดยสรุปก็คือ การลงทุนโดยการกู้หรือที่เรียกว่าซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จิน ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลยมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประมาณปี 2538 หรือ 2539

ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน 2551 หรือปลายปีที่แล้ว วิกฤติเศรษฐกิจก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดือนเดียวดัชนีตกลงมาเข้าใจว่าเกือบ 30% หุ้นจำนวนมากมีราคาตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลายบริษัททำกิจการที่ผมมั่นใจว่าจะต้องอยู่ต่อไปในประเทศไทยและจะกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิมและมากกว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป แต่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำเกินความเป็นจริง โอกาสในการลงทุนเกิดขึ้นแต่ผมกลับไม่มีเงินสดเลยเพราะผมถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ผมไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตเพราะหุ้นเหล่านั้นก็มีราคาต่ำเกินไปเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจ กู้ โดยการเปิดพอร์ตการซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเป็นครั้งแรก

การกู้เงินซื้อหุ้นของผมนั้น ผมคิดไว้ว่า ข้อหนึ่ง มันไม่ควรมากกว่า 10-20% ของมูลค่าพอร์ต ข้อสอง หุ้นที่ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีที่เราสามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็วถ้าจำเป็นแต่ที่สำคัญเท่า ๆ กันก็คือ ข้อสาม หุ้นจะต้องมีราคาต่ำมากและกำไรของบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะสูงผิดปกติ ตรงกันข้าม มันควรที่จะมีกำไรลดลงไปมากแต่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นในเวลาไม่นานนัก และสุดท้าย เราต้องมี Exit Strategy หรือ ทางออกจากหนี้ ซึ่ง สำหรับผมก็คือ การนำเงินปันผลที่จะได้มาจากพอร์ตโดยรวมมาลดหนี้ การทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อมันมีราคาเพิ่มขึ้น และถ้าจำเป็น อาจต้องขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาล้างหนี้


ผมโชคดีที่การตัดสินใจถูกต้อง เพราะหลังจากนั้น ราคาหุ้นที่ซื้อมาปรับตัวขึ้นมาก และแม้ว่าหนี้ก็ยังคงอยู่แต่พอร์ตก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ความเสี่ยงจากการกู้ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ผมตระหนักอยู่เสมอว่า หนี้นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย เราต้องมองป้าย ทางออก อยู่เสมอ และถ้าไม่มั่นใจจริง ก็ อย่าลอง จะดีกว่า

เพิ่มเติม www.settrade.com
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2009/06/29/570

ตลท.จัด SET in the City สัญจร เชียงใหม่

โสภาวดี เลิศมนัสชัย

โสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ตลาดหลักทรัพย์ฯจัดมหกรรมการออม การลงทุนครบวงจร ที่เชียงใหม่ 1 ส.ค.นี้ แนะทางเลือกเพิ่มค่าเงินออม ต่อยอดเงินลงทุน

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะจัด “มหกรรมการออม การลงทุน SET in the City สัญจร” ในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคมนี้ ตามแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายการขยายฐานผู้ลงทุน หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากจากการจัดกิจกรรม SET in the City สัญจรฯ ที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

“จังหวัดเชียงใหม่ มีมูลค่าการออมและการลงทุนในหลักทรัพย์สูงเป็นอันดับ 1 ในภาคเหนือ โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2552 มีฐานเงินออมกว่า 112,782 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29.29 ของภาคเหนือ ส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่มกราคม – มิถุนายน 2552 เท่ากับ 37,022.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.24 ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดในภาคเหนือ ปัจจุบันมีสำนักงานสาขาของบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 18 แห่ง รวม 22 สาขา ถือว่าเป็นจังหวัดที่ยังมีศักยภาพที่จะขยายฐานผู้สนใจด้านการลงทุนเพิ่มเติมได้อีก” นางสาวโสภาวดีกล่าว

ในงาน “มหกรรมการออม การลงทุนครบวงจร SET in the City สัญจร เชียงใหม่” ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ โกลด์ฟิวเจอร์ส กองทุนรวม ร่วม 30 แห่ง พร้อมฟังสัมมนาที่น่าสนใจ อาทิ “เพิ่มค่าเงินออม ต่อยอดเงินลงทุน กับ หุ้น - พันธบัตร - อนุพันธ์ – ทองคำ - กองทุนรวม” และ “วิเคราะห์ปากท้องชาวบ้าน จาก เศรษฐกิจชาติ และมาตรการการเงิน

นอกจากนี้ ผู้ชมงานจะได้พบกิจกรรมตลอดทั้งวัน อาทิ การสมัครแข่งขัน “TFEX Simulation 2009 และ “SET Click2WIN เกมลงทุนหุ้นออนไลน์” เพื่อให้ผู้สนใจได้เรียนรู้วิธีการซื้อขายก่อนลงทุนจริงผ่านเกมจำลอง ชิงรางวัลกว่าล้านบาท การนำเสนอสินค้าและบริการของตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านช่องทาง SET Easy Services เพื่อให้ผู้ลงทุนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายขึ้น และสำหรับ 300 ท่านแรกที่เข้าร่วมสัมมนา รับฟรี “หนังสือการออมการลงทุน” มูลค่า 120 บาท และของสมนาคุณเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินในงาน และเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ร่วมงาน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วยการฉีดพ่นอบน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนวันงาน ส่วนในวันงานได้จัดบริการเจลล้างมือและหน้ากากอนามัยแจกฟรีให้ผู้ร่วมงานอีกด้วย

“มหกรรมการออม การลงทุน SET in the City สัญจร เชียงใหม่” จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2552 เวลา 09.00–16.00 น. ณ ห้องป่าสักหลวง โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ S-E-T Call Center โทร. 0 2229 2222 และหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ โทร. 053 241404-5


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ได้เวลา"เก็งกำไร"หุ้นเด็ดสัปดาห์นี้!!!

ได้เวลา"เก็งกำไร"หุ้นเด็ดสัปดาห์นี้!!!

Tuesday, 28 July 2009 07:56



กูรู ประสานเสียง ชี้ หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างสัปดาห์นี้คาดมีบิ๊กเซอร์ไพร์ส หลังผลงานไตรมาส2/52 ส่อแววดีเกินคาด แนะนักลงทุนเตรียมจับตา SCC-PTTEP-TPIPL-DCC ให้ดีหลังเตรียมทยอยประกาศผลงานQ2/52 งานนี้ แนะเก็งกำไรสถานเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ OVERWEIGHTED กลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ในส่วนของวัสดุก่อสร้างนั้น การใช้ปูนซีเมนต์ เม.ย. 52 ยังลดลง –11% ต่อจาก มี.ค.อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เม.ย. ติดลบน้อยลง และการใช้กำลังการผลิตในด้านก่อสร้างยังทรงตัวที่ 61.9% จึงคาดว่าใน 2Q52 มีโอกาสที่ยอดขายกลุ่มวัสดุก่อสร้างกระเตื้อง หุ้นที่เราชอบ คือ SCC (เป้าหมาย 180 บาท) อิงค่า P/E กลุ่มปูนซีเมนต์และปิโตรเคมีในต่างประเทศที่ขณะนี้ซื้อขายกันที่ระดับ 12x

ส่วนวัสดุตกแต่ง (furnishing materials) ปริมาณขายของวัสดุตกแต่งเริ่มกระเตื้องขึ้นจาก 4Q51 แต่ความต้องการโดยรวมยังซบเซา และราคาวัสดุตกแต่งส่วนใหญ่ยังอ่อนตัวเล็กน้อยจากการแข่งขันกันสูง ซึ่งมีเพียงบางบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้โดยขยายสาขาในต่างจังหวัด ส่งผลให้ DCC (เป้าหมาย 20 บาท) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีต้นทุนต่ำ ยังโตสวน ทางกับตลาดโดยรวมที่หดตัว

ด้านบล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ภาพรวมของกลุ่มวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 2 เชื่อว่าผลประกอบการของ SCC, TPIPL และ DCC น่าจะออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ได้คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวได้เร็วเช่นปัจจุบัน ซึ่งเดิมประมาณการว่าจะฟื้นตัวปลายปี จึงทำให้ในเชิงกลยุทธ์สามารถที่จะเข้าเก็งกำไรได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินทางปัจจัยพื้นฐานคงต้องพิจารณาถึงราคาหุ้นของแต่ละรายบริษัทว่าที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับราคาเป้าหมายมากน้อยเพียงใด ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนมองว่าหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างค่อนข้างที่จะผลการดำเนินงานไม่ค่อยโดดเด่นตั้งแต่ไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 1 ทำให้ราคาหุ้นถูกกดดันแต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าคาด โดยราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นจะสะท้อน 6-9 เดือนล่วงหน้า ซึ่งสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานกลุ่มดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ปัจจัยที่จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องน่าจะเป็น การสะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังว่าภาครัฐจะเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็ก ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการของหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างให้ปรับเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้อีก

'ความต้องการที่เพิ่มขึ้นถ้าหากเป็นจริงจะช่วยผลักดันราคาหุ้น แต่ถ้าหากมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นในแง่ลบเข้ามากระทบอาจจะทำให้นักลงทุนบางส่วนเทขายหุ้นออกมา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว โดยหุ้นกลุ่มเหล็กก็ปรับเพิ่มขึ้นมา 2 เท่ากว่า และ SCC ปรับเพิ่มขึ้นมาพอสมควร เราก็มองว่าการปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวน่าจะเป็นการขึ้นมาตอบรับกับข่าว ซึ่งหากนักลงทุนจะสนในลงทุนหุ้นกลุ่มนี้อยากให้นักลงทุนมองการลงทุนแบบรายตัว ดูผลตอบแทนและความเสี่ยงประกอบในการลงทุน'

ทั้งนี้ หุ้นที่ค่อนข้างโดดเด่น คือ TSTH เพราะเป็นผู้ประกอบการที่ผลิตเหล็กส่งยาว ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีมาร์เก็ตแชร์ 30% โดยจะได้รับอานิสงส์จากการก่อสร้างที่จะกลับมา โดยหากพิจารณาจากนโยบายภาครัฐจะพบว่าเน้นการลงทุนในอินฟาสตรัคเจอร์ อาทิ รถไฟฟ้า รางรถไฟฟ้าใหม่ และการก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 จะทำให้ธุรกิจเหล็กส่งยาวถูกนำมาใช้ ประกอบกับบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เพราะมีบริษัทแม่คือทาทา ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะสามารถหาวัสดุเหล็กได้เปรียบกว่าคู่แข่ง ทำให้อัตราการทำกำไรสูง ประกอบกับ ในช่วงเดือน ส.ค. นี้ โรงงานใหม่จะเริ่มผลิตเฟสแรกได้ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อ TSTH

แต่อย่างไรก็ดี คาดว่างบไตรมาส 2/52 ของ TSTH อาจจะออกมาไม่ดี ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนระยะยาว เพราะผลประกอบการที่ไม่ดีจะตอบรับไปในราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับลดลง ซึ่งฝ่ายวิจัยอยู่ในระหว่างปรับประมาณการรายได้ กำไร ราคาเหมาะสมขึ้น จากการคาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์จากโครงการเมกะโปรเจ็ก ซึ่งเดิมประมาณการราคาเหมาะสมไว้ที่ 1.60 บาท

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดว่า SCC จะรายงานกำไรไตรมาส 2/52 อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่คงที่จากไตรมาสแรก ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษที่อ่อนตัวลง รวมถึงเงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน (equity income) ที่ลดลง ในขณะที่ผลประกอบการคงที่จากไตรมาสแรก เนื่องจากกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น ช่วยหักล้างกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษที่อ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล รวมถึงการมีเงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน (equity income) ที่เพิ่มขึ้น อนึ่ง บริษัทจะประกาศผลประกอบการในไตรมาส 2/52 ในวันที่ 29 ก.ค. นี้

ทั้งที่เข้าสู่ช่วงที่ผลประกอบการน่าจะอ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาล แต่ผลประกอบการของ SCC น่าจะยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 2/52 สนับสนุนโดยกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ดีกว่าคาด ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า SCC จะประกาศเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ 3.5บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 2.1% โดยในอนาคตฝ่ายวิเคราะห์ได้รวมส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนตัวไว้ในประมาณการของเราแล้ว เพราะคาดว่าจะมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีส่วนเพิ่มอีก 4-5 ล้านตันในครึ่งปีหลังของปี 52 และ 6-7 ล้านตันในปี 53 ตามข้อมูลของบริษัท

อย่างไรก็ดี จากต้นไตรมาส 3/52 ถึงปัจจุบัน ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยคงที่จากไตรมาสก่อนโดยเฉลี่ยซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป (สนับสนุนโดยความต้องการปิโตรเคมีทั่วโลกที่ดีกว่าคาด ความล่าช้าของการเริ่มกำลังการผลิตใหม่ และการเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ทั่วโลกแบบไม่เต็มที่) จะแสดงถึง upside กับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ และยังคงคำแนะนำ ถือ SCC ราคาเป้าหมายวิธี sum-of-the-part อยู่ที่ 170 บาท

ส่วนบทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ จำกัด รายงานว่า คาดว่า DCC จะรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/52 มีกำไรสุทธิ 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 20% จาดกไตรมาสแรก เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการเงินปันผลสำหรับไตรมาส 2/52 ขึ้นมาอยู่ที่ 0.48 บาทจากเดิม 0.45 บาทจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 2.5%

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการยังสดใส ยอดขายของ DCC โตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากความต้องการในต่างจังหวัดยังแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายของ DCC เรายังคงคาดว่า DCC จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะมุ่งเน้นถนนชนบทและโครงการบริหารจัดการน้ำในต่างจังหวัด ซึ่งโครงการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นอำนาจในการใช้จ่ายในต่างจังหวัด

ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงแนะนำ“ซื้อ” สำหรับ DCC ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 24.10 บาท (ปรับการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเป็นปีหน้า ที่ PER 10 เท่าปี 2553F) จากสถานะในตลาดที่แข็งแกร่ง, การมีระบบกระจายสินค้าเป็นของตนเองและความได้เปรียบด้านต้นทุน ส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาเป้าหมายของเราและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ยังน่าสนใจ

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดว่าไตรมาส 2/52 กำไรจากการดำเนินงานของ TPIPL จะอยู่ที่ 254 ล้านบาท ลดลง 58%จากช่วงเดียวกันปีก่อนภาวะการก่อสร้างโดยรวมที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ปริมาณการบริโภคปูนซีเมนต์ในประเทศช่วงไตรมาส 2 ปรับตัวลดลง 12%จากช่วงเดียวกันปีก่อน กดดันให้ราคาขายปูนปรับลดลงมาจากงวดไตรมาส 1/52 ประมาณ 50 บาท/ตัน เหลือเพียง 1,500 บาท/ตัน ราคาขายปูนที่ลดลงประกอบกับสัดส่วนการส่งออกปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอย โดยที่การส่งออกปูน จะมี margin ต่ำกว่าการขายในประเทศ จะทำให้ผลประกอบการของธุรกิจปูนซีเมนต์ของ TPIPL มีแนวโน้มปรับลดลงจากงวดไตรมาส 1/52

สำหรับผลประกอบการของธุรกิจเม็ดพลาสติก ก็มีแนวโน้มปรับลดลงเช่นกัน จากปริมาณการขายที่ลดลงตามฤดูกาล รวมถึงยังได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบคือ Ethylene ที่ปรับขึ้นเร็วกว่าราคาผลิตภัณฑ์ LDPE โดยรวมจึงคาดว่างวดไตรมาส 2/52 TPIPL จะมียอดขาย 5,510 ล้านบาท ลดลง 16%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี gross margin เฉลี่ยลดลงเหลือ 19.2% ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ในงวดไตรมาส 1 นี้ TPIPL จะมีการบันทึกกำไรพิเศษคือกำไรจากการขายหนี้คืนแบบมีส่วนลดประมาณ 353 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 607 ล้านบาท แม้ในระยะสั้น ผลประกอบการของ TPIPL ยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาะวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังซบเซา แต่เชื่อว่าปี 2553 สถานการณ์ต่างๆน่าจะปรับตัวขึ้น จากการเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆจากภาครัฐ ซึ่งจะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้ปริมาณการบริโภคปูนซีเมนต์ฟื้นตัวได้ในปี 2553 ขณะที่โครงสร้างทางการเงินของ TPIPL มีความเข้มแข็งมากขึ้นมาก และกำลังอยู่ในช่วงการเจรจากับเจ้าหนี้เกี่ยวกับระยะเวลาการชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ยใหม่ โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 2552 TPIPL จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,392 ล้านบาท และกำหนด Fair Value ที่ P/E 10 เท่า จะให้ราคาหุ้นทีเหมาะสมอยู่ที่ 6.90 บาท มี Upside 23%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากคดีความต่างๆที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะคดีเงินค่าปรับ 6.9 พันล้านบาท ที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงโอกาสที่ TPIPL จะไม่จ่ายเงินปันผลในปี 2552 จึงคงคำแนะนำเพียง ถือ

ส่วนบทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มั่นใจว่าบริษัทจะมีผลประกอบการไตรมาส 2/52 เป็นไปตามที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยเราคาดกำไรสุทธิไว้ที่ประมาณ 6,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสแก่อน แต่ลดลง 47%จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ปัจจุบันราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ $60-$70/bbl ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาขายปิโตรเลียมของบริษัท อย่างไรก็ตามเรายังมีความกังวลในด้านปริมาณขายซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 220,000 BOED ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 240,000 BOED

ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังไม่เปลี่ยนแปลงประมาณการผลการดำเนินงานในปีนี้ โดยยังคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิตามเดิม โดยคาดได้รายได้ประมาณ 114,480 ล้านบาทลดลง 18%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดกำไรสุทธิประมาณ 31,746 ล้านบาทลดลง 24%จากช่วงเดียวกันปีก่อน

จากแนวโน้มเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 53 เราคาดว่าราคาน้ำมันจะเป็นขาขึ้นและส่งผลดีต่อราคาขายปิโตรเลียมโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ในปี 53 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกจากแหล่งมอนทาราในออสเตรีย แหล่ง Arthit North และแหล่ง MTJDA ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 BOED จาก 240,000 BOED ในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25%ดังนั้นโดยภาพรวมคาดว่าผลประกอบการในปี 53 จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นโดยเราคาดรายได้ประมาณ 155,319 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 42%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดกำไรสุทธิประมาณ 48,472 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 53%จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ฝ่ายวิเคราะห์จึงแนะนำ “ซื้อ” : โดยมีราคาเป้าหมายในปี 53 ที่ 176 บาท ระยะสั้นหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงถือเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อสะสมเพื่อรอการฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในปี 53


กระแสหุ้นออนไลน์

ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2552

ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2552

BY นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.,BAM)
Tuesday, 28 July 2009 09:25





นายบรรยง วิเศษมงคลชัย

พอกล่าวถึงคำว่า “ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ “ คนทั่วไปอาจเข้าใจถึง “ ตลาดของบ้านสร้างใหม่ “ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมีหลายส่วนที่สามารถแยกแยะออกมาได้ เช่น

· ตลาดของที่ดินเปล่า

· ตลาดของที่ดินพร้อมบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์

· ตลาดของคอนโดมิเนียม

· ตลาดของบ้านมือสอง




ปีนี้หากพูดถึงตลาดบ้านใหม่แล้วดูไม่สดใสมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แย่กว่าที่คาดไว้ เดิมผู้ประกอบการต่างๆ คาดว่าปี 2552 น่าจะหดตัวระหว่างร้อยละ 20-30 เทียบกับปี 2551 เอาเข้าจริงคาดว่าจะหดตัวเพียงร้อยละ 15-20 เท่านั้น โดยคาดว่าจำนวนบ้านสร้างใหม่ขายได้ปีนี้น่าจะอยู่ที่ราวๆ 50,000-60,000 หน่วย เหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะมีหลายๆ เหตุผลประกอบกัน เช่น ราคาน้ำมันครึ่งปีแรกของปี 2552 ลดลงกว่าปี 2551 ค่อนข้างมาก ทำให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างและอื่นๆ ลดลง ช่วยผู้ประกอบการใช้เป็นส่วนลดให้กับผู้ซื้อได้มาก อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังเอื้อต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำอยู่ อีกทั้งจากสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีมากในระบบอยู่ในขณะนี้ โดยมีสภาพคล่องล้นระบบอยู่เกินกว่า 1 ล้านล้านบาท อีกทั้งในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็หดตัวลงไปพอสมควร จึงคาดว่าธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จะเร่งระดมการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อยอดขายอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก



สำหรับตลาดของที่ดินเปล่านั้น พบว่า จำนวนรายการที่มีการซื้อขายกันในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 มีจำนวน 283,872 รายการ เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปี 2551 ซึ่งมีจำนวน 283,774 รายการ เพิ่มขึ้น 0.03% แต่ที่น่าสนใจ คือ ดัชนีราคาที่ดินเปล่าย้อนหลัง 10 ปี เพิ่มขึ้นค่อนข้างน่าสนใจ ดังภาพข้างล่าง






จากข้อมูลจะเห็นว่า ที่ดินปี 2551 ราคาเพิ่มจากปี 2550 จาก 169.2 มาเป็น 180.2 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 6.10% แต่จากปี 2542-2551 ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นจาก 135.5 เป็น 180.2 ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง 32.99% หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.08% ต่อปี โดยปีที่ราคาที่ดินเพิ่มมากขึ้นมากที่สุดคือปี 2551 ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ 6.10%

ที่กล่าวมาเป็นเพียงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของที่ดินเปล่าและบ้านสร้างใหม่เท่านั้น ส่วนบ้านมือสองและตลาดคอนโดมิเนียมจะกล่าวถึงในครั้งหน้าครับ

โดยสรุป

ตลาดบ้านสร้างใหม่ในปี 2552 คาดว่าจะหดตัวจากปี 2551 ไม่มากนัก ซึ่งมีสาเหตุมาจากเหตุผลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่สำหรับที่ดินเปล่ายังมีอนาคตโดยที่ราคามีการเคลื่อนไหวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีเงินที่จะลงทุนในยามดอกเบี้ยต่ำที่เป็นอยู่ในขณะนี้ สามารถที่จะลงทุนและได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

กระแสหุ้น

Template by - Abdul Munir | Blogging4