12 มีนาคม 2552

ข่าวห้องค้า

ข่าวห้องค้า :
นิปปอนแพ็คปันผลหุ้นละ 2 บ.
บริษัท นิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2552 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2552 มีมติเห็นสมควรนำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปี 2551 เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการที่เป็นกำไร และมีสภาพคล่องดี จึงเห็นควรให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2551 ในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 4 พ.ค.2552 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 พ.ค.2552 ทั้งนี้กำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 ในวันที่ 21 เม.ย.2552 เวลา 14.00 น. ณ โรงแรมนารายณ์ ห้องเชียงแสน

ซิโน-ไทยลงนามรับงานก่อสร้าง
บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า บริษัทได้ลงนามสัญญากับ บริษัท สยามเลเท็กซ์สังเคราะห์ จำกัด จ้างงานโครงการก่อสร้าง S1600 General Mechanical Work For Specialty Elastomer Trains III (สัญญาเลขที่ 834/REV.0 ลงวันที่ 20 ก.พ.2552) มูลค่าโครงการ 544.844 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) งานก่อสร้างดังกล่าว เป็นงานติดตั้งเครื่องจักรและงานด้านเครื่องกล โดยมีระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.2552 - 3 ก.ย.2553

ประธานบอร์ดยูไนเต็ดลาออก
บริษัท ยูไนเต็ด เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า บริษัทได้รับหนังสือแจ้งการลาออกของ ดร.ประภา วิริยประไพกิจ จากการเป็นประธานกรรมการ และกรรมการบริษัท เนื่องจากมีโรคประจำตัว ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทฯ ได้โดยการลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.2552 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทรับทราบการลาออกดังกล่าว และจะนำเรื่องดังกล่าวพิจารณาในการประชุมของคณะกรรมการบริษัท ในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อสรรหาบุคคลที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งดังกล่าว

ไมเนอร์แจงผลใช้สิทธิอีสป-วอร์แรนท์
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ตามที่บริษัทได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท 123.8 ล้านหน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัท และหรือบริษัทย่อยในวงจำกัด โครงการ 2 ซึ่งได้ดำเนินการจัดสรรแล้ว 2 ครั้ง รวม 92,670,000 หน่วย มีกำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิปีละ 12 ครั้ง ทุกๆ วันทำการสุดท้ายของเดือน ถึงเดือนม.ค.2554 โดยมีอัตราส่วนการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ต่อ 1.12645 หุ้นสามัญ ในราคา 2.645 บาท (หลังการเปลี่ยนแปลงอัตราการใช้สิทธิ) บริษัทได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 20 ล้านหน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัท และหรือบริษัทย่อยในวงจำกัด โครงการ 3 ซึ่งได้ดำเนินการจัดสรรแล้วจำนวน 12,254,967 หน่วย มีกำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิปีละ 12 ครั้ง ทุกๆ วันทำการสุดท้ายของเดือน ถึงเดือนพ.ย.2555 โดยมีอัตราส่วนการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ต่อ 1.1 หุ้นสามัญ ในราคา 8.918 บาท (หลังการเปลี่ยนแปลงอัตราการใช้สิทธิ)
การใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (ESOP) โครงการ 2 โครงการ 3 งวดวันที่ 27 ก.พ.2552 บริษัทขอแจ้งว่ามีผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิมายื่นใช้สิทธิดังกล่าว โดยมีผู้ยื่นขอใช้สิทธิ 4 ราย ซึ่งมี 4 ราย ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญ โดยมีจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ขอใช้สิทธิและได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญ 1,096,000 หน่วย ซึ่งจำนวนหุ้นสามัญที่ได้รับจากการใช้สิทธิ 1,234,400 หุ้น
ส่วนราคาการใช้สิทธิ 2.645 บาท รวมเป็นเงิน 3,254,988 บาท ดังนั้นจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิคงเหลือ ได้แก่ ยอดสะสมของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ขอใช้สิทธิจนถึงการใช้สิทธิครั้งนี้ 67,751,000 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จัดสรรแล้วแต่ยังไม่ได้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ 24,919,000 หน่วย และใบสำคัญแสดงสิทธิที่ยังไม่ได้จัดสรร 31,130,000 หน่วย ส่วนจำนวนหุ้นสามัญคงเหลือ 25,120,800 หุ้น เพื่อรองรับการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งต่อไป

ไทยเกรียงเลื่อนส่งงบปี 2551
บริษัท ไทยเกรียง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตามที่บริษัทมีกำหนดต้องส่งงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2551 ภายในวันที่ 2 มี.ค.2552 โดยบริษัทได้ทำเรื่องขอยื่นงบล่าช้าเป็นวันที่ 10 มี.ค.2552 นั้น เนื่องจากขณะนี้ บริษัทยังไม่สามารถจัดการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบได้ภายในวันที่ 10 มีนาคม 2552 ดังนั้นบริษัทจึงขอขยายระยะเวลาการนำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2551 ดังกล่าวออกไปเป็นภายในวันที่ 13 มี.ค.2552

ที่มา:นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

"หุ้นกู้"

ชี้"หุ้นกู้"ทางเลือกการระดมทุนที่น่าสนใจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ถึงภาวะตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศที่ค่อนข้างปิดหรือไม่เอื้ออำนวย อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก รวมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตและด้านคู่สัญญาที่ยังมีในระดับสูง ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การระดมทุนด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการระดมเงินจากแหล่งลงทุนต่างประเทศ อาจจะไม่สดใสนัก หรือถ้าทำได้ ก็อาจมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง

ส่วนการระดมทุนด้วยการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมอาจมีแนวโน้มลดต่ำลงสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่การดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น (เช่นเดียวกับภาคธุรกิจอื่นๆ) ก็อาจทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของผู้ขอสินเชื่อไม่ได้ปรับลดลงมาในอัตราที่มากเท่ากับขนาดการลดลงของอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม ขึ้นอยู่กับฐานะความเสี่ยงและมูลค่าหลักประกันของผู้ขอสินเชื่อเป็นสำคัญ

ภายใต้ภาวะเช่นนี้ การระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นกู้จึงถูกมองว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับบริษัทเอกชน โดยเฉพาะในจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินมีแนวโน้มอยู่ในขาลง ทั้งนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยจะเริ่มขยับตัวขึ้น ตัวอย่างเช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี เริ่มขยับขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปีเมื่อปลายปีก่อน มาอยู่ที่ 2.65% ณ ขณะนี้(11 มีนาคม 2552) แต่อัตราผลตอบแทนที่ระดับดังกล่าว ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ

ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ค่อนข้างเอื้อหากผู้ระดมทุนต้องการที่จะออกหุ้นกู้ในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้สามารถล็อคต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายระยะยาวไว้ที่ระดับต่ำ แต่ก็ต้องเป็นการเสนอเงื่อนไขที่ถูกใจสำหรับผู้ลงทุนด้วย เพราะถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะถูกปรับลดลงมาต่ำมาก จนทำให้ผู้ลงทุนหรือผู้ออมน่าจะสนใจลงทุนในหุ้นกู้มากขึ้น แต่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจบรรเทาลงในอนาคต และทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อาจทยอยถูกปรับขึ้นในปีถัดๆ ไปตามแรงกดดันเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องของภาครัฐ อาจทำให้ผู้ออมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้นสำหรับการถือตราสารระยะยาว ขณะที่คงจะเลือกลงทุนในหุ้นกู้เอกชนของบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคงแข็งแกร่งและเป็นที่ไว้วางใจของสาธารณชน รวมทั้งเสนอเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยที่จูงใจและเป็นที่ยอมรับได้เมื่อเวลาผ่านไป

ในภาพรวมของปี 2552 นี้ ก็น่าที่จะถือว่าเป็นปีที่เอื้อสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ จนทำให้มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าการออกหุ้นกู้เอกชนในปีนี้อาจมีจำนวนสูงขึ้นเป็น 4.0 แสนล้านบาท เทียบกับจำนวน 2.8 แสนล้านบาทในปี 2551 และค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 2.0 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีก่อนหน้า (ปี 2548-2550)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า บริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและ/หรือมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ค่อนข้างดีย่อมจะมีความได้เปรียบหรือประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มากกว่า ซึ่งทางออกสำหรับบริษัทที่อาจจะมีทางเลือกในการออกหุ้นกู้ได้ค่อนข้างจะจำกัดนั้น อาจจำเป็นต้องยอมเสียต้นทุนที่สูงขึ้นในกรณีที่ต้องการเงินทุนจริงๆ หรืออาจหันไประดมทุนด้วยการขอสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์เฉพาะวงเงินที่จำเป็นเพื่อการหมุนเวียนกิจการเฉพาะหน้า (Working Capital) มิเช่นนั้นก็คงจะต้องเลื่อนการระดมทุนออกไปเพื่อรอจังหวะที่เอื้ออำนวยกว่านี้ของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ

ที่มา : นสพ.มติชน

หุ้น TOP เจ๋ง!!

หุ้น TOP เจ๋ง!!
[12 มี.ค. 52 - 06:30]
ดัชนีหุ้นวันที่ 11 มี.ค.52 ปิดที่ 414.41 จุด ลดลง 3 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 8,239 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 56.51 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวงชี้ว่า หุ้นไทยพลิกกลับมาปิดในแดนลบหลังช่วงเช้าดีดเด้งอยู่ในแดนบวกได้ตามตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากมีแรงขายทำกำไรออกมาในหุ้นพลังงาน ที่ช่วงเช้าราคาดีดขึ้นแรงไปรับข่าวว่าโอเปกอาจจะลดกำลังการผลิตแต่สถานการณ์ขณะนี้ก็เริ่มไม่แน่นอนแล้ว

ขณะที่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากปรับตัวลดลง หรือทรงตัว อาจกดดันให้หุ้นไทยปรับตัวลงตามได้เพราะความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคุกรุ่น

แนะกลยุทธ์การลงทุนให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นพลังงานเนื่องจากเกรงว่าหากโอเปกไม่ลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.นี้ หุ้นพลังงานจะปรับตัวลงได้อีก ขณะที่แนะให้รอซื้อหุ้นที่ปันผลดีคือ ADVANC ที่ราคาบริเวณ 77-78 บาท เพราะมีข่าวดีเรื่องระบบโครงข่าย 3G

ปิดท้าย เจพีมอร์แกนเชสแอนด์โคยกย่องหุ้น TOP ของไทยติดอันดับหุ้น Top Pick ที่น่าซื้อที่สุดในอาเซียนพ่วงด้วยหุ้นไทยอีก 5 บริษัท หลังประเมินว่าเป็นบริษัทที่มีทุนหนาราคามีส่วนลดสูง ทำให้มีความเสี่ยงต่ำที่จะลดลงอีก และพร้อมผงาดหากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้น

บทวิเคราะห์เจพีมอร์แกนยังระบุว่า หุ้น TOP มีงบดุลที่แข็งแกร่งสามารถเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกปีนี้ได้ขณะที่ราคาหุ้นลดลงมาจนแตะระดับที่น่าสนใจลงทุน

ทั้งนี้หุ้น TOP เป็น 1 ในหุ้น 19 บริษัทที่เจพีมอร์แกนเลือกเป็นหุ้น Top Pick ในอาเซียน โดยหุ้นไทยอีก 5 บริษัทประกอบด้วย ADVANC, BEC, CPALL, PTTEP และ SCB

ล่าสุดหุ้น TOP ปิดที่ 23.50 บาท ลดลง 0.20 บาท.

อินเด็กซ์ 51
ไทยรัฐ

Template by - Abdul Munir | Blogging4