24 เมษายน 2552

เศรษฐกิจจะฟื้นตัวรวดเร็วเพียงใด

เศรษฐกิจจะฟื้นตัวรวดเร็วเพียงใด

เศรษฐกิจไทยจะซบเซาต่อนานแค่ไหนหรือจะฟื้นตัวเมื่อไร ขึ้นอยู่กับว่าภาวการณ์ถดถอยของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกคือสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ในระยะนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ชี้ว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจได้ชะลอลงและเริ่มก่อตัวไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเที่ยวนี้อาจไม่ใช้เวลานาน

แต่อาจเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในลักษณะตัว V ไม่ใช่ตัว L อย่างที่หลายคนคาดการณ์กันไว้
สัญญาณบวกที่ทำให้เกิดความหวังครั้งใหม่นั้น ได้แก่ ภาวะการตึงตัวของสินเชื่อผ่อนคลายลง การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ดีขึ้น รวมทั้งยอดขายรถที่เพิ่มขึ้น ตลาดบ้านที่อยู่อาศัยถึงจุดต่ำสุดแล้ว การปลดคนงานเริ่มน้อยลง และที่สำคัญมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มออกผล ทำให้เห็นว่าจุดสุดท้ายของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวติดลบ 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น
แต่คาดว่าในไตรมาส 2 ของปีนี้ (เม.ย.–มิ.ย.) เศรษฐกิจจะไม่ขยายตัวติดลบ หรืออาจติดลบเพียงเล็กน้อย
และเศรษฐกิจจะเริ่มขยายตัวและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 ซึ่งในช่วง 4 ไตรมาสถัดไปเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างน้อย 4.5% ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบ V-Shape

เศรษฐกิจขาลงกำลังจะผ่านไปในไม่ช้า วัฏจักรเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น สินค้าคงคลังลดลงไปมากจน Stock สินค้าเหลือน้อย ในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคที่อัดอั้นไว้กำลังจะระเบิดออกมา ตลาดบ้านและรถยนต์ก็จะฟื้นตัวและเติบโตขยายตัวต่อเนื่องอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม มีผู้ไม่เห็นด้วยกับการคาดการณ์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การที่รัฐบาลกู้เงินจำนวนมากและอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรง อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นทำให้ธุรกิจและประชาชนซึ่งมีหนี้มากอยู่แล้วไม่สามารถกู้เงินได้ ทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ดี การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยการก่อหนี้มหาศาล และการพิมพ์เงินใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะ Releveraging หรือการเพิ่มระดับหนี้สินต่อทุนของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทั้งในเรื่องการบิดเบือนการออมเงิน และการกู้เงินของภาคธุรกิจและประชาชน และสร้างแรงจูงใจที่ผิดทำให้เกิดการเก็งกำไรอย่างมากในระบบเศรษฐกิจซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือต้นเหตุของปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้
ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งไปกังวลกับภาวะเงินเฟ้อ หากจะมีปัญหาบ้างก็คงเป็นอีก 2-3 ปีข้างหน้า

แต่ตอนนี้เราเผชิญกับภาวะการถดถอยที่รุนแรงและเงินฝืด จำเป็นที่ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ รอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเมื่อไร แล้วเราค่อยมาพูดถึงปัญหาเงินเฟ้อครับ

ที่มา : โพสต์ทูเดย์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: แรงซื้อหุ้นแบงค์ หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 70.49 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส กรุ๊ป รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งช่วยให้ตลาดคลายความกังวลจากปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการธนาคาร หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดถูกดดันอย่างหนักหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์รายงานการขาดทุนติดต่อกัน 2 ไตรมาส

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 70.49 จุดหรือ 0.89% แตะที่ 7,957.06 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 8.37 จุด หรือ 0.99% แตะที่ 851.92 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 6.09 จุด หรือ 0.37% แตะที่ 1,652.21 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.57 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 8 ต่อ 5 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.49 พันล้านหุ้น

ชาร์ลส์ ออร์เทล นักวิเคราะห์จาก Newport Value Partners กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากปัญหาในภาคการเงิน หลังจากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส รายงานตัวเลขกำไรที่พุ่งขึ้นเกินคาด 22% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการเนชั่นแนล ซิตี้ คอร์ป และต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับตัวลดลง

ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล ถือเป็นปัจจัยบวกที่สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อธนาคาร เวลส์ ฟารโกเผยกำไรสุทธิไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งขึ้น 50% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 3 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วยโกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานว่าธนาคารมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ หรือ 68 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 32 เซนต์

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกดันอย่างหนักหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ รายงานการขาดทุน 578 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่ขาดทุนติดต่อกัน 2 ไตรมาส พร้อมกับประกาศลดจ่ายเงินปันผล เพราะถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะตกต่ำในตลาดอสังหาริมทรัพย์

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 3.0% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 4.57 ล้านยูนิต ซึ่งลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.70 ล้านยูนิตในเดือน

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นมากเกินคาด 27,000 ราย แตะระดับ 640,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 เม.ย.จาก 613,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะคาดว่าจำนวนผู้ขอ รับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 635,000 ราย

ทั้งนี้ หุ้นพีเอ็นซี ไฟแนนเชียลปิดพุ่ง 7.5% หุ้นแอปเปิลปิดบวก 3.2% หลังจากแอปเปิล อิงค์ เผยกำไรสุทธิไตรมาสแรกพุ่งขึ้น 15% จากระดับปีที่แล้ว แตะ 1,205 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดขายที่สดใสของไอโฟน ซึ่งเข้ามาช่วยชดเชยความต้องการพีซีที่อ่อนตัวลงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

ส่วนหุ้นยูพีเอสร่วงลง 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการลดลง 55%

ที่มา : IQ ข่าวหุ้น

น้ำมันดิบปิดบวก 77 เซนต์

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบปิดบวก 77 เซนต์ หลังดาวโจนส์ฟื้นตัว

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) หลังจากสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นไม่มากนักเนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสหรัฐสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ไต่ขึ้น 77 เซนต์ หรือ 1.58% ปิดที่ 49.62 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 48.37-49.92 ดอลลาร์

สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 1.20 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 1.3179 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 0.38 เซนต์ ปิดที่ 1.3944 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.6% แตะที่ 50.11 ดอลลาร์/บาร์เรล

ฟิล ไฟน์ นักวิเคราะห์จากอลารอน เทรดดิ้ง กล่าวว่า ตลาดน้ำมันนิวยอร์กเคลื่อนไหวตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส รายงานตัวเลขกำไรที่พุ่งขึ้นเกินคาด 22% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการเนชั่นแนล ซิตี้ คอร์ป และต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับตัวลดลง

"นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ซึ่งดอลลาร์อ่อนตัวลงเรื่อยมานับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นเหลือเพียง 0-0.25% อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายค่อนข้างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากกังวลเรื่องสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ดีมานด์พลังงานลดน้อยลงด้วย จึงทำให้น้ำมันดิบคงค้างอยู่ในสต็อกจำนวนมาก" ไฟน์กล่าว

กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 เม.ย.พุ่งขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล แตะที่ 370.6 ล้านบาร์เรลซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 19 ปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะที่ 217.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 400,000 บาร์เรล

นักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่าบริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ คอร์ป (จีเอ็ม) เตรียมปิดโรงงานหลายแห่งในสหรัฐนานสูงสุด 9 สัปดาห์ในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังยอดขายร่วงลงจนทำให้ยอดรถค้างสต็อกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้พนักงานหลายพันคนถูกลอยแพหลังการปิดโรงงาน นอกจากนั้นบริษัทซัพพลายเออร์ยังเป็นอีกกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากการปิดโรงงานทำให้บริษัทไม่สามารถขายชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับจีเอ็มได้

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นมากเกินคาด 27,000 ราย แตะระดับ 640,000 ราย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ที่มา : IQ ข่าวสินค้าโภคภัณฑ์

ทองคำปิดพุ่ง $14.10

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำปิดพุ่ง $14.10 หลังดอลล์อ่อน-ผลประกอบการเอกชนสดใส

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) โดยทองคำทะยานขึ้นเหนือระดับ 900 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ผันผวนทำให้นักลงทุนทุ่มซื้อทองเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับยูโรและผลประกอบการที่สดใสของบริษัทหลายแห่ง

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดที่ 906.60 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 14.10 ดอลลาร์ เคลื่อนตัวในช่วง 890.50-910.40 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.ปิดที่ 12.755 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 45.00 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 6.95 เซนต์ ปิดที่ 1.9910 ดอลลาร์/ปอนด์

ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนก.ค.ปิดที่ 1,188.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 9.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมเดือนมิ.ย.ปิดที่ 232.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 0.80 ดอลลาร์

นักลงทุนรุกเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างคึกคักเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในยามที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของภาคเอกชน โดยบริษัท แอปเปิล อิงค์ เผยกำไรสุทธิไตรมาสแรกพุ่งขึ้น 15% จากระดับปีที่แล้ว แตะ 1,205 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยการร่วงลงของดีมานด์คอมพิวเตอร์พีซีได้

เบย์ อิงค์ (EBay Inc.) เผยยอดขายและกำไรสูงกว่าคาดการณ์ นับเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าความพยายามในการปรับปรุงระบบการประมูลบนเว็บไซต์และไซทต์ขายปลีกที่มีการกำหนดราคานั้นได้ผล

ขณะที่อีเบย์ อิงค์ (EBay Inc.) เปิดเผยรายได้สุทธิ 357.1 ล้านดอลลาร์ หรือ 28 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์

ที่มา: IQ ข่าวเศรษฐกิจ

Template by - Abdul Munir | Blogging4