เศรษฐกิจจะฟื้นตัวรวดเร็วเพียงใด
เศรษฐกิจไทยจะซบเซาต่อนานแค่ไหนหรือจะฟื้นตัวเมื่อไร ขึ้นอยู่กับว่าภาวการณ์ถดถอยของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกคือสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ในระยะนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ชี้ว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจได้ชะลอลงและเริ่มก่อตัวไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเที่ยวนี้อาจไม่ใช้เวลานาน
แต่อาจเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในลักษณะตัว V ไม่ใช่ตัว L อย่างที่หลายคนคาดการณ์กันไว้
สัญญาณบวกที่ทำให้เกิดความหวังครั้งใหม่นั้น ได้แก่ ภาวะการตึงตัวของสินเชื่อผ่อนคลายลง การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ดีขึ้น รวมทั้งยอดขายรถที่เพิ่มขึ้น ตลาดบ้านที่อยู่อาศัยถึงจุดต่ำสุดแล้ว การปลดคนงานเริ่มน้อยลง และที่สำคัญมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มออกผล ทำให้เห็นว่าจุดสุดท้ายของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวติดลบ 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น
แต่คาดว่าในไตรมาส 2 ของปีนี้ (เม.ย.–มิ.ย.) เศรษฐกิจจะไม่ขยายตัวติดลบ หรืออาจติดลบเพียงเล็กน้อย
และเศรษฐกิจจะเริ่มขยายตัวและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 ซึ่งในช่วง 4 ไตรมาสถัดไปเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างน้อย 4.5% ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบ V-Shape
เศรษฐกิจขาลงกำลังจะผ่านไปในไม่ช้า วัฏจักรเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น สินค้าคงคลังลดลงไปมากจน Stock สินค้าเหลือน้อย ในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคที่อัดอั้นไว้กำลังจะระเบิดออกมา ตลาดบ้านและรถยนต์ก็จะฟื้นตัวและเติบโตขยายตัวต่อเนื่องอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มีผู้ไม่เห็นด้วยกับการคาดการณ์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การที่รัฐบาลกู้เงินจำนวนมากและอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรง อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นทำให้ธุรกิจและประชาชนซึ่งมีหนี้มากอยู่แล้วไม่สามารถกู้เงินได้ ทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ดี การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยการก่อหนี้มหาศาล และการพิมพ์เงินใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะ Releveraging หรือการเพิ่มระดับหนี้สินต่อทุนของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทั้งในเรื่องการบิดเบือนการออมเงิน และการกู้เงินของภาคธุรกิจและประชาชน และสร้างแรงจูงใจที่ผิดทำให้เกิดการเก็งกำไรอย่างมากในระบบเศรษฐกิจซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือต้นเหตุของปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้
ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งไปกังวลกับภาวะเงินเฟ้อ หากจะมีปัญหาบ้างก็คงเป็นอีก 2-3 ปีข้างหน้า
แต่ตอนนี้เราเผชิญกับภาวะการถดถอยที่รุนแรงและเงินฝืด จำเป็นที่ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ รอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเมื่อไร แล้วเราค่อยมาพูดถึงปัญหาเงินเฟ้อครับ
ที่มา : โพสต์ทูเดย์
Categories
- กองทุน (2)
- ข่าวห้องค้า (7)
- ความรู้ หุ้น (15)
- ความรู้อนุพันธ์ (6)
- ความรู้อนุพันธ์;TFEX (1)
- ความรู้ SET (5)
- คอลัมน์ทองคำ (1)
- คอลัมน์หุ้น (30)
- ค่าเงิน (4)
- ค่าระวางเรือ (2)
- ดอกเบี้ย (6)
- ตลาดเงิน (3)
- ตลาดหุ้นทั่วโลก (9)
- ตลาดหุ้นไทย (239)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ (46)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ (2)
- ตัวเลขส่งออก (1)
- ตัวเลข GDP (2)
- ทองคำ (14)
- น้ำมัน (15)
- แนวโน้มตลาดรายวัน (8)
- บทความหุ้น (56)
- ปฎิทินหุ้น (3)
- แผนกู้วิกฤตการเงิน (19)
- วอร์แรนท์ (3)
- เศรษฐกิจญี่ปุ่น (1)
- เศรษฐกิจไทย (91)
- เศรษฐกิจโลก (29)
- เศรษฐกิจสหรัฐ (11)
- หุ้น (65)
- หุ้นกู้ (3)
- หุ้นเด่นวันนี้ (4)
- หุ้นแบงค์ (2)
- G20 (3)
- warrant (1)
--==::: ข่าวประกาศ :::==--
บทความย้อนหลัง
- 05 ก.ค. (1)
- 11 ก.ย. (3)
- 09 ก.ย. (6)
- 03 ก.ย. (3)
- 02 ก.ย. (2)
- 27 ส.ค. (2)
- 20 ส.ค. (3)
- 18 ส.ค. (4)
- 10 ส.ค. (4)
- 04 ส.ค. (1)
- 03 ส.ค. (5)
- 30 ก.ค. (5)
- 28 ก.ค. (4)
- 27 ก.ค. (3)
- 24 ก.ค. (4)
- 23 ก.ค. (4)
- 22 ก.ค. (5)
- 21 ก.ค. (3)
- 20 ก.ค. (7)
- 17 ก.ค. (3)
- 16 ก.ค. (4)
- 15 ก.ค. (2)
- 14 ก.ค. (4)
- 13 ก.ค. (5)
- 10 ก.ค. (5)
- 09 ก.ค. (5)
- 08 ก.ค. (4)
- 03 ก.ค. (6)
- 30 มิ.ย. (5)
- 29 มิ.ย. (6)
- 26 มิ.ย. (4)
- 25 มิ.ย. (5)
- 24 มิ.ย. (5)
- 23 มิ.ย. (5)
- 22 มิ.ย. (5)
- 19 มิ.ย. (5)
- 18 มิ.ย. (5)
- 17 มิ.ย. (4)
- 16 มิ.ย. (4)
- 15 มิ.ย. (6)
- 12 มิ.ย. (5)
- 11 มิ.ย. (4)
- 10 มิ.ย. (4)
- 09 มิ.ย. (4)
- 08 มิ.ย. (4)
- 05 มิ.ย. (5)
- 04 มิ.ย. (4)
- 03 มิ.ย. (1)
- 28 พ.ค. (4)
- 27 พ.ค. (4)
- 26 พ.ค. (6)
- 25 พ.ค. (6)
- 22 พ.ค. (8)
- 21 พ.ค. (5)
- 20 พ.ค. (4)
- 19 พ.ค. (3)
- 14 พ.ค. (3)
- 13 พ.ค. (2)
- 12 พ.ค. (2)
- 11 พ.ค. (5)
- 07 พ.ค. (3)
- 06 พ.ค. (4)
- 30 เม.ย. (4)
- 29 เม.ย. (5)
- 28 เม.ย. (4)
- 24 เม.ย. (4)
- 23 เม.ย. (4)
- 22 เม.ย. (4)
- 20 เม.ย. (3)
- 17 เม.ย. (4)
- 16 เม.ย. (4)
- 10 เม.ย. (5)
- 09 เม.ย. (3)
- 08 เม.ย. (7)
- 07 เม.ย. (7)
- 05 เม.ย. (4)
- 03 เม.ย. (7)
- 02 เม.ย. (8)
- 01 เม.ย. (8)
- 31 มี.ค. (5)
- 30 มี.ค. (6)
- 29 มี.ค. (4)
- 28 มี.ค. (2)
- 27 มี.ค. (9)
- 26 มี.ค. (8)
- 25 มี.ค. (4)
- 24 มี.ค. (6)
- 23 มี.ค. (7)
- 20 มี.ค. (6)
- 19 มี.ค. (9)
- 18 มี.ค. (6)
- 17 มี.ค. (6)
- 16 มี.ค. (7)
- 13 มี.ค. (3)
- 12 มี.ค. (3)
- 11 มี.ค. (5)
- 10 มี.ค. (8)
- 09 มี.ค. (7)
- 05 มี.ค. (7)
- 04 มี.ค. (6)
- 03 มี.ค. (3)
- 02 มี.ค. (5)
- 27 ก.พ. (5)
- 26 ก.พ. (2)
- 25 ก.พ. (5)
- 18 ก.พ. (2)
- 17 ก.พ. (3)
- 16 ก.พ. (2)
- 12 ก.พ. (2)
- 11 ก.พ. (3)
- 09 ก.พ. (1)
24 เมษายน 2552
เศรษฐกิจจะฟื้นตัวรวดเร็วเพียงใด
โดย Mboy เวลา 08:11 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เศรษฐกิจไทย
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: แรงซื้อหุ้นแบงค์ หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 70.49 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส กรุ๊ป รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งช่วยให้ตลาดคลายความกังวลจากปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคการธนาคาร หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดถูกดดันอย่างหนักหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์รายงานการขาดทุนติดต่อกัน 2 ไตรมาส
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 70.49 จุดหรือ 0.89% แตะที่ 7,957.06 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 8.37 จุด หรือ 0.99% แตะที่ 851.92 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 6.09 จุด หรือ 0.37% แตะที่ 1,652.21 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.57 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 8 ต่อ 5 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.49 พันล้านหุ้น
ชาร์ลส์ ออร์เทล นักวิเคราะห์จาก Newport Value Partners กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากปัญหาในภาคการเงิน หลังจากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส รายงานตัวเลขกำไรที่พุ่งขึ้นเกินคาด 22% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการเนชั่นแนล ซิตี้ คอร์ป และต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับตัวลดลง
ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล ถือเป็นปัจจัยบวกที่สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อธนาคาร เวลส์ ฟารโกเผยกำไรสุทธิไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งขึ้น 50% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 3 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วยโกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานว่าธนาคารมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ หรือ 68 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 32 เซนต์
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกดันอย่างหนักหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ รายงานการขาดทุน 578 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่ขาดทุนติดต่อกัน 2 ไตรมาส พร้อมกับประกาศลดจ่ายเงินปันผล เพราะถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะตกต่ำในตลาดอสังหาริมทรัพย์
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 3.0% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 4.57 ล้านยูนิต ซึ่งลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.70 ล้านยูนิตในเดือน
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นมากเกินคาด 27,000 ราย แตะระดับ 640,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 เม.ย.จาก 613,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะคาดว่าจำนวนผู้ขอ รับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 635,000 ราย
ทั้งนี้ หุ้นพีเอ็นซี ไฟแนนเชียลปิดพุ่ง 7.5% หุ้นแอปเปิลปิดบวก 3.2% หลังจากแอปเปิล อิงค์ เผยกำไรสุทธิไตรมาสแรกพุ่งขึ้น 15% จากระดับปีที่แล้ว แตะ 1,205 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดขายที่สดใสของไอโฟน ซึ่งเข้ามาช่วยชดเชยความต้องการพีซีที่อ่อนตัวลงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
ส่วนหุ้นยูพีเอสร่วงลง 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการลดลง 55%
ที่มา : IQ ข่าวหุ้น
โดย Mboy เวลา 08:04 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นสหรัฐ
น้ำมันดิบปิดบวก 77 เซนต์
ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบปิดบวก 77 เซนต์ หลังดาวโจนส์ฟื้นตัว
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) หลังจากสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นไม่มากนักเนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสหรัฐสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ดีมานด์พลังงานหดตัวลงด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ไต่ขึ้น 77 เซนต์ หรือ 1.58% ปิดที่ 49.62 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 48.37-49.92 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 1.20 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 1.3179 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 0.38 เซนต์ ปิดที่ 1.3944 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.6% แตะที่ 50.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฟิล ไฟน์ นักวิเคราะห์จากอลารอน เทรดดิ้ง กล่าวว่า ตลาดน้ำมันนิวยอร์กเคลื่อนไหวตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส รายงานตัวเลขกำไรที่พุ่งขึ้นเกินคาด 22% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการเนชั่นแนล ซิตี้ คอร์ป และต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับตัวลดลง
"นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ซึ่งดอลลาร์อ่อนตัวลงเรื่อยมานับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นเหลือเพียง 0-0.25% อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายค่อนข้างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากกังวลเรื่องสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ดีมานด์พลังงานลดน้อยลงด้วย จึงทำให้น้ำมันดิบคงค้างอยู่ในสต็อกจำนวนมาก" ไฟน์กล่าว
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 เม.ย.พุ่งขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล แตะที่ 370.6 ล้านบาร์เรลซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 19 ปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะที่ 217.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 400,000 บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่าบริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ คอร์ป (จีเอ็ม) เตรียมปิดโรงงานหลายแห่งในสหรัฐนานสูงสุด 9 สัปดาห์ในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังยอดขายร่วงลงจนทำให้ยอดรถค้างสต็อกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้พนักงานหลายพันคนถูกลอยแพหลังการปิดโรงงาน นอกจากนั้นบริษัทซัพพลายเออร์ยังเป็นอีกกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากการปิดโรงงานทำให้บริษัทไม่สามารถขายชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับจีเอ็มได้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นมากเกินคาด 27,000 ราย แตะระดับ 640,000 ราย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ที่มา : IQ ข่าวสินค้าโภคภัณฑ์
โดย Mboy เวลา 08:03 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: น้ำมัน
ทองคำปิดพุ่ง $14.10
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำปิดพุ่ง $14.10 หลังดอลล์อ่อน-ผลประกอบการเอกชนสดใส
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) โดยทองคำทะยานขึ้นเหนือระดับ 900 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ผันผวนทำให้นักลงทุนทุ่มซื้อทองเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับยูโรและผลประกอบการที่สดใสของบริษัทหลายแห่ง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดที่ 906.60 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 14.10 ดอลลาร์ เคลื่อนตัวในช่วง 890.50-910.40 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.ปิดที่ 12.755 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 45.00 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 6.95 เซนต์ ปิดที่ 1.9910 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนก.ค.ปิดที่ 1,188.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 9.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมเดือนมิ.ย.ปิดที่ 232.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 0.80 ดอลลาร์
นักลงทุนรุกเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างคึกคักเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในยามที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของภาคเอกชน โดยบริษัท แอปเปิล อิงค์ เผยกำไรสุทธิไตรมาสแรกพุ่งขึ้น 15% จากระดับปีที่แล้ว แตะ 1,205 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยการร่วงลงของดีมานด์คอมพิวเตอร์พีซีได้
เบย์ อิงค์ (EBay Inc.) เผยยอดขายและกำไรสูงกว่าคาดการณ์ นับเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าความพยายามในการปรับปรุงระบบการประมูลบนเว็บไซต์และไซทต์ขายปลีกที่มีการกำหนดราคานั้นได้ผล
ขณะที่อีเบย์ อิงค์ (EBay Inc.) เปิดเผยรายได้สุทธิ 357.1 ล้านดอลลาร์ หรือ 28 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์
ที่มา: IQ ข่าวเศรษฐกิจ
โดย Mboy เวลา 07:58 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ทองคำ