10 กรกฎาคม 2552

โบรกฯแนะซื้อหุ้นแบงก์ดัชนีต่ำ 550

โบรกฯแนะซื้อหุ้นแบงก์ดัชนีต่ำ 550

บล.กสิกรไทยแนะเก็บหุ้นเดือน ส.ค. รอขายต้นปีหน้าเพื่อรับผลตอบแทน 21% หลังสืบย้อนหลัง 20 ปี พบช่วงไตรมาส 3 ต่างชาติขายหุ้นมากที่สุด ชี้ซื้อหุ้นธนาคารช่วงดัชนีต่ำกว่า 550 จุด หลังเห็นแววสินเชื่อแบงก์สะพัดจากการกู้ภาครัฐ ด้านคลังกำชับ 7 แบงก์ขายบอนด์ออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งหน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น แย้มหากความต้องการเกินพร้อมเปิดขายล็อต 2

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา “Q3 หุ้นจะแย่ ทางแก้เป็นอย่างไร?” ซึ่งจัดขึ้นที่ตลาดหลักทรัพย์ ว่า ตามสถิติย้อนหลัง 20 ปี หากนักลงทุนเริ่มซื้อสะสมหุ้นตั้งแต่เดือน ส.ค.นี้ เพื่อขายในเดือน ม.ค.ปีหน้า จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 21% เนื่องจากตามสถิติแล้ว เดือน ส.ค.ของทุกปี จะเป็นปีที่ดัชนีปรับตัวลดลงมากที่สุด เพราะนักลงทุนต่างประเทศมีแรงขายมาก อย่างไรก็ตาม ลักษณะการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ อ้างอิงกับปัจจัยเรื่องเวลาทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยอ้างอิงปัจจัยพื้นฐานแต่อย่างใด
เขากล่าวว่า การขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างสอดคล้องกับตัวเลขตามสถิติ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากนี้ไป นักลงทุนต่างประเทศจะไม่ขายออกมาแรงนัก เพราะต้นทุนของนักลงทุนต่างประเทศรอบนี้อยู่ที่ระดับ 548 จุด โดยประเมินว่า รอบนี้ดัชนีจะค่อยๆ ปรับฐานลงจนถึงระดับ 550 จุด ในเดือน ส.ค.หรืออาจจะต่ำลงไปถึงระดับ 480 จุด ซึ่งมองว่าเป็นกรณีแย่ที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนควรเข้ามาซื้อสะสม

กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำให้ลงทุนคือกลุ่มธนาคาร เนื่องจากจะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์เรื่องการเติบโตของสินเชื่อ โดยเฉพาะการกู้เงินของภาครัฐที่ต้องการเงินมาอัดฉีดเศรษฐกิจอีกจำนวนมากในครึ่งปีหลัง โดยเชื่อว่าในปี 2552 รัฐบาลจะต้องกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์อีกราว 5 แสนล้านบาท และปี 2553 กู้อีก 5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ไม่กังวลเรื่องสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ ที่มีอยู่ราว 9 แสนล้านบาท เชื่อว่าสามารถรองรับความต้องการในการกู้ได้

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจเข้าลงทุน เพราะในไตรมาส 4 ปีนี้ ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นมาตามแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล และอาจผลักดันราคาน้ำมันให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม บล.กสิกรไทย ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารมากกว่ากลุ่มพลังงาน

นายกวีกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ เชื่อว่าในไตรมาส 3 จะดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และในไตรมาส 4 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะเป็นบวกได้ในที่สุด เพราะไตรมาส 3 และ 4 จะเป็นไตรมาสที่รายได้ภาครัฐจะกลับคืนมา หลังจากที่มีการใช้จ่ายอย่างหนักในไตรมาส 2 นอกจากนี้ยังเชื่อว่าตัวเลขการส่งออกในไตรมาส 4 โดยเฉพาะเดือน พ.ย.-ธ.ค. จะเริ่มกลับเป็นบวกอีกครั้ง โดยประเมินว่าน่าจะบวกประมาณ 10% หลังจากติดลบมาประมาณ 2 ไตรมาส

ทั้งนี้ เชื่ออีกว่าหากรัฐบาลสามารถผ่านงบประมาณปี 2553 ได้ในช่วงไตรมาส 4 นี้ จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของปี 2553 ได้ประมาณ 1-1.5% อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาครัฐก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติบโตของจีดีพี รัฐบาลจะต้องทำให้ภาคเอกชนและประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายมากกว่านี้

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สภาพคล่องมีพอสมควร มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 21,000 ล้านบาทต่อวัน นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งหวังว่าแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังจะดีเช่นเดียวกับไตรมาส 2 หลังจากรัฐบาลคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และหากรัฐบาลเริ่มลงทุนโดยเร็ว น่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

ส่วนการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในไทยนั้น มองว่าเป็นแรงแพนิคช่วงสั้นๆ จากกระแสข่าวที่ออกมา แต่ภาพรวมเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
กรณีที่รัฐบาลออกขายพันธบัตรรัฐบาล 50,000 ล้านบาทนั้น ยอมรับว่าอาจมีเม็ดเงินบางส่วนจากตลาดหุ้นโยกไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลบ้าง แต่คาดว่านักลงทุนที่เข้าไปลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีเงินออม จึงไม่กังวลในเรื่องดังกล่าว และมองว่าพันธบัตรที่เสนอขายออกมาน่าจะช่วยเกื้อหนุนและเสริมกันมากกว่า โดยผู้ที่เข้าไปลงทุนคงพิจารณาผลตอบแทนและอัตราดอกเบี้ย


คลังกำชับ 7 แบงก์ขายบอนด์หน้าเคาน์เตอร์

ด้านนายจักรกฤษฎิ์ พาราพันธกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.ได้แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 7 แห่งที่เป็นผู้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งวงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาทว่า จะต้องทำการจำหน่ายตามขั้นตอนที่กระทรวงการคลังวางไว้อย่างเข้มงวด โดยไม่มีการเปิดรับจองล่วงหน้า แต่จะต้องเปิดขายที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ณ วันที่กระทรวงการคลังกำหนด เพื่อให้ผู้ซื้อรายย่อยสามารถเข้าจองซื้อพันธบัตรได้ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล
นอกจากนี้ แต่ละสาขาของธนาคารที่เปิดจำหน่ายพันธบัตร ควรจะมีการแจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าว่า มีวงเงินรวมที่สาขาสามารถเปิดให้ลูกค้าสามารถจองซื้อได้จำนวนเท่าใด เพื่อให้ลูกค้าได้เตรียมตัวว่า ควรจะไปจองซื้อได้ในสาขาใด เพราะแต่ละธนาคารอาจจะจัดสรรวงเงินที่แต่ละสาขาจำหน่ายได้ตามฐานเงินของแต่ละสาขา

เขากล่าวว่า หากธนาคารใดไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด คลังจะสงวนสิทธิในการเป็นผู้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งต่อไป โดยประชาชนรายใดที่ไม่ได้รับสิทธิในการซื้อพันธบัตร แม้จะปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เข้าจองซื้อในคิวแรก แต่ได้รับการปฏิเสธจากธนาคาร ให้ร้องเรียนมายังกระทรวงการคลังได้ ซึ่งสะท้อนว่าธนาคารแห่งนั้น ไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่คลังกำหนด
เขากล่าวด้วยว่า การกำหนดวงเงินให้กับผู้สูงอายุให้ได้สิทธิในการซื้อพันธบัตรในระยะแรกจำนวน 3 หมื่นล้านบาท ถือว่าน่าจะเพียงพอสำหรับความต้องการ โดย สบน.ได้เทียบเคียงจากยอดจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุที่เปิดขายเฉพาะผู้สูงอายุในปีที่แล้ววงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปรากฏว่า มีผู้จองซื้อรายใหญ่ หรือมีวงเงินการจองซื้อมากกว่า 1 ล้านบาทต่อรายจำนวน 7 คนเท่านั้น แต่ขณะนี้ มีวงเงินให้ซื้อพันธบัตรมากกว่า 4 เท่า จึงน่าจะเพียงพอสำหรับความต้องการ

อย่างไรก็ตาม หากความต้องการซื้อมีมากกว่าวงเงินที่กำหนด คลังเตรียมแผนรองรับไว้ใน 2 แนวทาง คือ อาจเปิดจำหน่ายอีกครั้งภายใต้วงเงินที่เกินความต้องการจากการขาย ล็อตแรก ซึ่งจะเป็นวงเงินที่ไม่มาก หรือเปิดขายในวงเงินจำนวนมาก เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการระดมเงินของคลัง ซึ่งคลังจะตัดสินใจ หลังผลซื้อพันธบัตรล็อตแรกออกขายเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ หากมองในแง่ต้นทุน กรณีที่คลังจะต้องระดมเงินในจำนวนที่มากกว่า 5 หมื่นล้านบาทนั้น ไม่ถือว่าเป็นต้นทุนที่มากกว่าเดิม เพราะเงินที่ระดมมาได้ ทางกระทรวงการคลังก็จะนำมาใช้ในไตรมาสนี้


ตลาดไม่ห่วงบล.แข่งตัดค่าคอมฯ

นางภัทรียา กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่มีความกังวลหากเปิดใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดในปีหน้าจะเป็นการกระตุ้นให้ บล.แข่งขันตัดค่าคอมมิชชั่น หรือรีเบท เพื่อให้ลูกค้าเทรดกับโบรกเกอร์ ต้นสังกัดเพิ่มขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ พยายามตรวจสอบและดูแลในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมี บล.บางแห่งรีเบทบ้าง แต่ก็ถูกดำเนินการตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์
"ส่วนการที่สมาคม บล.จะขอแยกบัญชีของลูกค้าในการคำนวณวอลุ่มเทรดต่อวันนั้น ตลาดหลักทรัพย์ในฐานะเป็นผู้ดูแลและออกประกาศเกณฑ์ในการซื้อขายของ บล. พร้อมที่จะพิจารณาหากทางสมาคม บล.ยื่นเรื่องมาให้พิจารณา เพื่อจะทำให้ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ต้องรอสมาคมเข้ามาหารืออีกครั้งก่อนสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร"


THCOM เปล่งประกาย

THCOM เปล่งประกาย
*วงการเชียร์ สตอรี่เพียบ ปีนี้คาดกำไร 77 ลบ.


THCOM ยังแรงไม่เลิก 10 วันทำการราคาพุ่ง 32% ผู้บริหารปลื้ม เพราะพื้นฐานแกร่ง แถมราคายังต่ำบุ๊ค 14% ขณะที่มั่นใจปีนี้ได้เซ็นไอพีสตาร์กับรัฐบาลอินเดีย หนุนผลงานแจ่มได้แน่ ด้านวงการแซ่ซ้อง สตอรี่เพียบ นักลงทุนสนใจลงทุน หลังผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดปีนี้พลิกเป็นกำไรได้ 77 ล้านบาท อีกทั้งการันตีรอบนี้ไม่เข้าข่ายติด Turnover List แนะนำซื้อ เกียรตินาคิน ให้ราคาพื้นฐานถึง 9 บาท

กลายเป็นหุ้นที่ซื้อขายคึกคักอีกครั้งในช่วงนี้ สำหรับ บมจ. ไทยคม (THCOM) หลังจากก่อนหน้านี้ร้อนแรงจนถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นบัญชีเป็นหุ้นติด Turnover List และตลาดหลักทรัพย์ต้องกำหนดให้สมาชิกให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อหุ้น หรือ Cash Balance ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 - 26 มิ.ย.2552 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามแม้จะติดเกณฑ์เทรดเงินสด แต่ราคาหุ้น THCOM ก็ยังคงปรับตัวขึ้นได้อยู่ โดยเฉพาะในช่วง 10 วันทำการนั้น นับจากราคาปิดการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ราคาอยู่ที่ 4.60 บาท จากนั้นปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถึงวานนี้ (9 ก.ค. 52) ที่ระดับราคาสูงสุด 6.10 บาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 32.60% ขณะที่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.75% มูลค่าการซื้อขาย 459.63 ล้านบาท

ทั้งนี้การปรับขึ้นของราคาหุ้น THCOM คาดว่าเป็นผลมาโบรกเกอร์หลายแห่งประเมินว่าบริษัทมีข่าวดี กรณีที่คาดว่าจะปิดดีลการเซ็นสัญญาไอพีสตาร์กับรัฐบาลอินเดียได้ภายในปีนี้ รวมไปถึงยังเตรียมที่จะปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย แม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 บริษัทจะยังคงขาดทุนอยู่ก็ตาม แต่ทั้งปี 2552 จะสามารถพลิกเป็นกำไรได้แน่นอน ดังนั้นข่าวดังกล่าวจึงถือเป็นสตอรี่ ที่ช่วยหนุนให้มีแรงเก็งกำไรและส่งให้ราคาหุ้น THCOM ปรับตัวขึ้น อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นยังวิ่งไปต่อได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงถือว่า THCOM เป็นหุ้นอีก 1 ตัวที่ติดอันดับหุ้นแรงในช่วงตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา


* THCOM มองหุ้นวิ่งเพราะพื้นฐานแกร่ง-ราคาต่ำ Book 14%


แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นแรงในการซื้อขายว่า น่าจะเป็นผลมาจากนักลงทุนมองว่าระดับราคาขณะนี้น่าสนใจและพื้นฐานแกร่ง ประกอบกับมูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 14-15 บาท ขณะที่พาร์อยู่ที่ 5 บาท ซึ่งถือว่าเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน อีกทั้งช่วงก่อนหน้านี้หุ้น THCOM ถูกเทรดเงินสดจึงทำให้ค่อนข้างทรงตัว และหลังจากปลดเครื่องหมายทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น

'จริงๆ แล้วก็ไม่ทราบสาเหตุที่ราคาหุ้นขึ้น แต่เชื่อว่านักลงทุนน่าจะมองว่าราคาไม่แพงและผลประกอบการถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้หุ้น THCOM ติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ทำให้ต้องเทรดเงินสดทำให้ราคาหุ้นซึมๆ ไปบ้าง' แหล่งข่าว กล่าว

สำหรับความคืบหน้าในการเจรจากับรัฐบาลประเทศอินเดีย ในการให้บริการธุรกิจไอพีสตาร์นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับรัฐบาลประเทศดังกล่าวอยู่ โดยทีมงานพยายามที่จะดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ซึ่งเชื่อว่าใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว โดยคาดว่าน่าจะสรุปได้ภายในปีนี้

ส่วนผลการดำเนินการของบริษัทนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 นี้ พบว่า ค่อนข้างที่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้น่าจะยังคงขาดทุน เพราะมีการบันทึกค่าเสื่อมการบริการไอพีสตาร์เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้อาจจะดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อน แต่ผลการดำเนินงานทั้งปี น่าจะพลิกเป็นกำไรได้จากปีก่อนที่ขาดทุน เนื่องจากตลาดเดิมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น ขณะที่การให้บริการไอพีสตาร์ที่ทยอยเปิดให้บริการ อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ได้เริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ

'ผลงานครึ่งปีแรกคาดว่ายังคงขาดทุน เพราะบันทึกค่าเสื่อมไอพีสตาร์ค่อนข้างมาก แต่ถ้าไอพีสตาร์ขายได้เยอะก็จะคุ้มทุน ทั้งนี้ไตรมาส 2 อาจดีกว่าไตรมาสแรก แต่ยังไม่เห็นตัวเลข ซึ่งเดือน เม.ย.-พ.ค. ค่อนข้างทรงตัวไม่หวือหวา ซึ่งคงต้องรอดูผลในเดือนมิ.ย. ส่วนทั้งปีน่าจะพลิกเป็นกำไรได้ เนื่องจากตลาดเดิมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น ส่วนตลาดเล็กที่ทยอยเปิดให้บริการก็ดีขึ้นและถ้าเซ็นสัญญากับอินเดียก็ยิ่งส่งผลดีต่อเรา' แหล่งข่าว กล่าว



* วงการ เชื่อรอบนี้ไม่เข้าเกณฑ์เทรดเงินสด เหตุวอลุ่มไม่มาก


นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า ราคาหุ้นของ THCOM ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจในประเด็นผลประกอบการทั้งปีนี้ที่คาดว่าจะสามารถพลิกกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุนได้ โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทฯจะมีกำไรอยู่ที่ 77 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะสามารถฟื้นตัวได้ รวมทั้งยังมีประเด็นข่าวการเซ็นสัญญาเพื่อให้บริการธุรกิจไอพีสตาร์กับรัฐบาลอินเดียได้ทันภายในปีนี้

อย่างไรก็ตาม มองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นยังไม่เข้าข่ายติด Turn Over List เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่ผ่านมายังมีจำนวนไม่มากนัก

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อ ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 9 บาท เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจดีและสัญญาณทางเทคนิคที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยประเมินแนวรับ 5.75 บาท ส่วนแนวต้าน 6.20 บาท ขณะที่แนวต้านทางจิตวิทยาอยู่ที่ 6.50 บาท


* ทรีนีตี้ ให้ราคาเหมาะสม 6.20 บาท แนะนำซื้อ


บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. ทรีนิตี้ คาดไตรมาส 2/52 กำไรสุทธิกลับเป็นบวกจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน โดยภาพรวมผลการดำเนินงานทรงตัวจากไตรมาส 1/52 แต่มีรายการบันทึกรายได้จากลูกหนี้ที่ล่าช้า (คาดว่าประมาณ 20 ล้านบาท) ทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นเล็กน้อย คาดผลการดำเนินงานปกติขาดทุน 62 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาส 1/52 ที่ขาดทุน 110 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิพลิกกลับเป็นบวก 251 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 220 ล้านบาทในไตรมาสก่อน จากบาทแข็งทำให้มีกำไรค่าเงิน 313 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 110 ล้านบาท

จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายคืออินเดีย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ iPSTAR ทยอยเปิดให้บริการแล้วในออสเตรเลีย กัมพูชา จีน พม่า นิวซีแลนด์ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ล่าสุดคืออินโดนีเซีย ซึ่งรวมแล้วคิดเป็น Capacity 80% ปัจจุบันมี Utilization อยู่ที่ 12% คงเหลืออินเดียที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ Capacity คิดเป็น 17.5% ของ iPSTAR ซึ่งหากการลงนามในสัญญากับรัฐบาลอินเดียเพื่อเริ่มให้บริการได้ในปีนี้ เมื่อรวมกับอีก 12 ประเทศข้างต้น คาดว่าจะทำให้ Utilization ณ สิ้นปีขึ้นถึงระดับคุ้มทุนที่ 15% ก่อนเร่งตัวสู่ 30% ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานรวมปี 2553 กลับมามีกำไรปกติเป็นบวกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2548

ความล่าช้าของ iPSTAR ในอีกมุมหนึ่งหมายถึงการที่ผู้อื่นจะเข้ามาแข่งขันได้ยาก ความล่าช้าของ iPSTAR มาจากกฎระเบียบที่รัดกุม และความกังวลของประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นดาวเทียมบรอดแบนด์ดวงแรกของโลก ทำให้ต้องใช้เวลานานเพื่อทำความเข้าใจกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ถึงรูปแบบธุรกิจ รวมถึงในแง่ความมั่นคงว่ารัฐสามารถควบคุมเนื้อหาและการใช้งานผ่านเกตเวย์ภาคพื้นดินได้ ซึ่งปัจจุบันแม้แต่จีนที่มีความเข้มงวดด้านการกำกับดูแลยังอนุญาตให้ iPSTAR เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ มองในมุมกลับความยากลำบากในการประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลประเทศต่างๆ แม้ทำให้ธุรกิจเริ่มต้นล่าช้า แต่ก็ช่วยกีดกันการเข้าแข่งขันของคู่แข่งรายใหม่ๆ ไปในตัวเช่นกัน

ความเสี่ยงจากไทยคม 2 หมดอายุ ตกปีละ 154 ล้านบาท อยู่ในประมาณการแล้ว เราคาดว่าหากดาวเทียมไทยคม 2 หมดอายุ จะมีลูกค้า C-Band จำนวน 4.4 ช่องสัญญาณ (Transponder) ที่ไม่สามารถโอนย้ายได้ไปยังไทยคม 5 เนื่องจากช่องสัญญาณเต็ม และหากไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงไอซีทีให้เช่าช่องสัญญาณจากดาวเทียมอื่น จะมีความเสี่ยงด้านรายได้ที่หายไปปีละ 154 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในประมาณการแล้ว และผลกระทบดังกล่าวถือว่าต่ำหาก iPSTAR สามารถเติบโตได้ดังที่เราคาด เราคงราคาเหมาะสมที่ 6.20 บาท (sum-of-the-parts) และคำแนะนำซื้อ



* SCRI แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” มูลค่าเหมาะสม 6.30 บาท


บทวิเคราะห์จาก สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) ระบุว่า การปลดระวางดาวเทียมไทยคม 1 และ ไทยคม 2 ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ โดยดาวเทียมไทยคม 1 หมดอายุในเดือน พ.ค. 2552 โดย THCOM ได้โอนย้ายลูกค้าของดาวเทียมไทยคม 1 ไปใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมไทยคม 5 ทั้งหมดแล้ว ส่วนดาวเทียมไทยคม 2 ที่กำลังจะหมดอายุลง ผู้บริหารกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือก โดยอาจจะมีการเช่าช่องสัญญาณของดาวเทียมดวงอื่นแทนไปก่อน อย่างไรก็ดี THCOM ไม่มีแผนลงทุนสร้างดาวเทียมใหม่ไปทดแทน ทั้งนี้ ดาวเทียมที่หมดอายุลงได้ส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาของ THCOM ลดลงประมาณ 50 ล้านบาท/ไตรมาส หรือ ลดลงราว 120 ล้านบาท ในปี 2552 และ 200 ล้านบาท ในปี 2553 ดังนั้นหาก THCOM ไม่มีการลงทุนสร้างดาวเทียมเพิ่มจะทำให้กำไรขั้นต้นของ THCOM ปรับตัวดีขึ้น

SCRI ประเมินว่า สัญญาสัมปทานของไทยคม 1 และ ไทยคม 2 ที่หมดลง จะไม่มีผู้ประกอบการมาเช่าวงโคจรที่ว่างลง โดยประเมินว่า การลงทุนสร้างดาวเทียมของรัฐบาลมีความเป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงและมีความเสี่ยงที่จะมีผลตอบแทนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนและต้องใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 2 ปี โดยหากเป็นการลงทุนสร้างดาวเทียมแบบ Conventional ลักษณะเดียวกันกับ ไทยคม 1 และ 2 จะใช้เงินลงทุนมากกว่า 3 พันล้านบาท (เทียบเคียงกับ THCOM ใช้เงินลงทุนสร้าง ไทยคม 1 และ 2 ประมาณ 2,500 – 2,900 ล้านบาท) และ อาจจะสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท หากเป็นการลงทุนสร้างดาวเทียมบรอดแบรนด์เช่นเดียวกับดาวเทียม IPSTAR และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเปิดให้ผู้ประกอบการเอกชนรายใหม่มาเช่าช่องสัญญาณของดาวเทียมไทยคม 1 และ ไทยคม 2 ที่จะปลดระวาง แต่เนื่องจากช่องสัญญาณของไทยคม 1 อยู่ที่วงโคจร 120 องศา ใกล้เคียงกับ 119.5 องศา ของดาวเทียม IPSTAR จึงต้องขออนุญาตจาก IPSTAR ในการตรวจสอบว่าสัญญาณซ้อนทับกันหรือไม่

คำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐาน SCRI ประเมินว่า ประเด็นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อ THCOM และ ยังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” จากประเด็นแนวโน้มผลการดำเนินงานของ THCOM จะไม่แย่ลงไปมากกว่านี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการปลดระวางดาวเทียม 2 ดวง ประกอบกับความเป็นไปได้มากขึ้นว่าการเซ็นสัญญากับรัฐบาลอินเดียจะเกิดได้ในปีนี้รวมถึงการทำตลาดเชิงพาณิชย์ในจีน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวบวกต่อ IPSTAR มูลค่าเหมาะสมของ THCOM ประเมินไว้ที่ 6.30 บาท (SCRI อยู่ระหว่างการปรับประมาณการ THCOM ใหม่) มูลค่าเหมาะสม 6.30 บาท



ผู้นำจี 8-จี 5

ผู้นำจี 8-จี 5 เห็นพ้องผลักดันระบบการเงินให้มีเสถียรภาพ


อิตาลี 10 ก.ค. - ผู้นำจี 8 และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจโตเร็ว 5 ชาติ (จี 5) เห็นพ้องที่จะชะลอการลดค่าเงินสกุลต่าง ๆ รวมถึงผลักดันระบบการเงินระหว่างประเทศให้มีเสถียรภาพ

ในวันที่ 2 ของการประชุมผู้นำกลุ่มจี 8 เป็นการหารือกับประเทศเศรษฐกิจโตเร็ว 5 ชาติ (จี 5) ได้แก่ บราซิล จีน อินเดีย เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ ในหลายประเด็น ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการค้ากับกลุ่มจี 8 ซึ่งทั้งหมดนี้ ที่ประชุมจี 8 ได้หารือกันไปในการประชุมวันแรก โดยร่างคำประกาศของที่ประชุมระบุว่า กลุ่มประเทศจี 8 และจี 5 ซึ่งรวมถึงอียิปต์ จะชะลอการลดค่าเงินสกุลต่าง ๆ ของแต่ละชาติ รวมถึงผลักดันระบบการเงินระหว่างประเทศให้มีเสถียรภาพ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้คำมั่นที่จะผลักดันการเจรจาการค้าโลกรอบโดฮาให้ประสบผลสำเร็จในปีหน้า และจะให้รัฐมนตรีการค้าของแต่ละชาติได้พบหารือกัน ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 20 ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก ประเทศสหรัฐ ในเดือน ก.ย.นี้


สำนักข่าวไทย

หุ้นพลังงานดันตลาดหุ้นไทย Reboun

หุ้นพลังงานดันตลาดหุ้นไทย Rebound
ปิดทำการ ณ จุดสูงสุดของวัน


พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวในรายการ Trading Hour (Afternoon) ว่า การ Rebound ของดัชนีหุ้นไทยเป็นการเพิ่มขึ้นทางเทคนิค ซึ่งไม่น่าจะทำให้บวกเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้สาเหตุมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ย่อตัวลงตลอด 6 วันทำการที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณกระเตื้องขึ้น ส่งผลดีต่อเนื่องไปยังหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักสูงในตลาดหุ้นไทย จึงทำให้ดัชนีปิดทำการ ณ จุดสูงสุดของวันได้

ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้เคลื่อนไหวผันผวนตามตลาดหุ้นโลก และพิชัยยังเชื่อว่าระยะนี้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยคาดว่า การปรับฐานจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อดัชนีขึ้นไปอยู่เหนือ 610 จุดได้ อย่างไรก็ตามพิชัยยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่งกว่าที่คาด โดยมองว่า การปรับฐานดัชนีตลาดหุ้นไทยในรอบนี้อาจลดลงไปต่ำที่สุดที่ 520 จุดเท่านั้น

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 581.99 จุด เพิ่มขึ้น 6.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,881.406 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 731.88 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,387.89 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,119.77 ล้านบาท




แนะหุ้นรายตัว!!

แนะหุ้นรายตัว!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 9 ก.ค.52 ปิดที่ 581.99 จุด เพิ่มขึ้น 6.12 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 15,888.41 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,386 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังปรับตัวลงมาที่แนวรับสำคัญที่ 60 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล โดยราคาซื้อขายน้ำมันตลาดฟิวเจอร์เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นแล้ว ทำให้มีแรงซื้อกลับหุ้นพลังงาน

แต่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่ายังอยู่ในช่วงการปรับฐาน แม้จะมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิค ปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมกลุ่มประเทศจี 8 ซึ่งผลสรุปที่ออกมาอาจเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อกระแสเงินลงทุนไหลเข้า

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้หาจังหวะขายเมื่อดัชนีรีบาวด์ขึ้น

"กวี ชูกิจเกษม" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองไตรมาส 4 ปีนี้ หรือไตรมาส 1 ปีหน้า ดัชนีจะทะยานขึ้นมาได้ หลังประเมินว่าไตรมาส 3 ดัชนีจะปรับฐานครั้งใหญ่ จึงเป็นโอกาสเข้าทยอยซื้อหุ้นเพื่อรอขายทำกำไรในช่วงที่ดัชนีปรับขึ้น

หุ้นที่เด่นๆที่แนะนำคือ หุ้นแบงก์และพลังงาน โดยหุ้นแบงก์แนะซื้อ KTB และพลังงานให้รอซื้อ PTTEP

ปิดท้าย มีบทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ชี้ว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 21,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาส 2 ปี 51 และโตขึ้นถึง 145% จากไตรมาสก่อนหน้า

แต่หุ้นหลายตัวราคาได้ปรับขึ้นมารับข่าวไปแล้ว จึงแนะขาย ASP เนื่องจากราคาหุ้นซื้อขายใกล้เคียงกับราคาเหมาะสมที่ให้ไว้ และแนะขาย PHATRA จากแนวโน้มส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง

แต่แนะ "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" หุ้น BLS เนื่องจากราคายังพอมีส่วนต่างจากราคาเหมาะสมอยู่ 9% และสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดได้แข็งแกร่งที่ 4%

อดใจไม่ไหว แถมให้อีกตัว บล.ทิสโก้ ยังคงแนะ "ถือ" หุ้น BANPU โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาอยู่ที่ 343 บาท จากเดิม 295 บาท เพื่อสะท้อนราคาถ่านหินระยะยาวที่มีแนวโน้มดีขึ้น.


อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4