20 พฤษภาคม 2552

ข้อมูลสร้างบ้านใหม่ดิ่งต่ำสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก หลังข้อมูลสร้างบ้านใหม่ดิ่งต่ำสุด

ชื่อ:  _44866044_1goresaleafp226c.jpg ครั้ง: 344 ขนาด:  16.6 กิโลไบต์
นิวยอร์ก 20 พ.ค.-ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก หลังข้อมูลล่าสุดชี้การสร้างบ้านและอพาร์ตเมนต์ใหม่ในเดือนที่ผ่านมาดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ ในช่วงแรกของการซื้อขาย ก่อนที่ดัชนีจะปรับลดลง หลังข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด ระบุปริมาณการสร้างบ้านและอพาร์ตเมนต์หลังใหม่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ลดลง 12.8%

ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งหมายถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.35 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในสัดส่วน 1,806 ต่อ 1,219 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.13 พันล้านหุ้น

ฮิวจ์ จอห์นสัน นักวิเคราะห์ชื่อดังจาก Johnson Illington Advisors กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นอย่างหนักหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนเม.ย.ร่วงลง 12.8% แตะระดับ 458,000 ยูนิต ซึ่ง เป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 525,000 ยูนิต ส่วนตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างในเดือนเม.ย.ร่วงลง 3.3% แตะระดับ 494,000 ยูนิต
ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 511,000 ยูนิต

ข้อมูลดังกล่าวสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านจะดีดตัว 2% แตะ 520,000 ยูนิตในเดือนเม.ย. ส่วนการอนุมัติสร้างบ้านอาจดีดตัวขึ้น 2.7% แตะที่ 530,000 ยูนิต

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของ ABC News ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 พ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ -45 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ -42 จุด และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ -41 จุด

อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ หลังจากบริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยหุ้นฮิวเลตต์ แพคการ์ดพุ่งขึ้นกว่า 2% ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ แอปเปิล อิงค์ ปิดบวกบวก 0.6%

ส่วนการพุ่งขึ้นของสัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเพบอดี้ เอนเนอร์จี ปิดพุ่ง 2.9% หุ้นพีพีแอล คอร์ป ปิดบวก 3.8%

หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ปิดร่วง 5.1% หลังจากบริษัทประกาศปลดพนักงานราว 4,000 ตำแหน่งหรือ 6% ของพนักงานทั้งหมด เพราะได้รับผลกระทบจากอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลให้ผู้ถือบัตรมีอัตราการผิดนัด
ชำระหนี้ โดยการประกาศลอยแพพนักงานครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ประกาศปลดพนักงานไปแล้ว 7,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนการใช้จ่ายได้ราว 2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ปรับเพิ่ม 62 เซนต์ ไปปิดที่ 59.65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 8,474.85 จุด ลดลง 29.23 จุด หรือ 0.34% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,734.54 จุด เพิ่มขึ้น 2.18 จุด หรือ 0.13% ดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 908.13 จุด ลดลง 1.58 จุด หรือ 0.17%

ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,482.25 จุด เพิ่มขึ้น 35.80 จุด หรือ 0.81%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 3,274.96 จุด ปรับขึ้น 29.57 จุด หรือ 0.91%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 4,959.62 จุด เพิ่มขึ้น 107.66 จุด หรือ 2.22%

ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ ปิดที่ 58.92 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ขณะที่ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 926.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
เพิ่มขึ้น 5 ดอลลาร์สหรัฐ จากเมื่อวันจันทร์ซึ่งปิดที่ 921.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

ที่มา :สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นไทยปิดพุ่ง 3.01% รับแรงซื้อต่างชาติ

หุ้นไทยปิดพุ่ง 3.01% รับแรงซื้อต่างชาติ

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด หรือ 3.01% ด้านบล. ฟาร์อีสท์ชี้หุ้นไทยไม่น่าไปไกลเกิน 600 จุดในช่วงนี้หลังข้อมูลเศรษฐกิจยังย่ำแย่ แนะเก็งกำไรระยะสั้น

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้หุ้น บมจ. ปตท. (PTT) และ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปรับตัวขึ้นแรงมาก จากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ เช่น ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มสำรวจและผลิต และถ่านหิน ทำให้หุ้นไทยได้รับอานิสงส์ค่อนข้างมาก

นายจักรกริชกล่าวอีกว่า นักลงทุนยังต้องติดตามข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน และตัวเลขการขอสร้างบ้านของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งหากข้อมูลไม่แย่นัก ก็มีผลให้ดัชนีหุ้นไทยทะลุ 560 จุดได้ในระยะสั้น แต่หากข้อมูลย่ำแย่ ก็อาจกดดันให้หุ้นไทยต้องปรับฐานลงได้ แต่ก็ยังน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาตลอดทาง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้จะผันผวน และไม่น่าจะขึ้นไปยืนเหนือระดับ 600 จุด เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจยังย่ำแย่ จึงยังแนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้น โดยหากดัชนีในวันนี้ปรับเพิ่มขึ้นใกล้แตะระดับ 580 จุด ก็สามารถขายออกไปก่อนได้ และไม่ควรไล่ซื้อ เนื่องจากหุ้นบางตัวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นน้อยแล้ว

สำหรับราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ได้ตอบสนองทางจิตวิทยาต่อข่าวการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว แม้ว่าอาจไม่ได้ส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์ก็ตาม เพราะธนาคารพาณิชย์มีโอกาสที่จะไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงได้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสีย แต่การที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ก็น่าจะทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนผสมเข้ามาที่ตลาดหุ้นได้


ดัชนีหุ้นไทยในวานนี้ปิดเพิ่มขึ้น 16.25 จุด หรือ 3.01% มาอยู่ที่ 556.47 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 33,413.76 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,772.05 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 2,166.23 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 4,938.27 ล้านบาท



ของขึ้น!!





ของขึ้น!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 19 พ.ค. 52 ปิดที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 33,413.76 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,165.67 ล้านบาท

สถาบันวิจัย บล.นครหลวงไทยมองแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดว่า น่าจะมีแรงซื้อเข้ามาต่อดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 552-565 จุด ทั้งนี้แนะนักลงทุนติดตามตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมทั้งข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างของสหรัฐฯเดือน เม.ย. รวมทั้ง ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำสัปดาห์

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ถือเพื่อรอจังหวะขายทำกำไร

ส่วน บล.เคทีบีชี้ว่า นักลงทุนเริ่มกล้าเข้ามาลงทุนมากขึ้นหลังมีมุมมองเศรษฐกิจในเชิงบวก ส่วนกรณีมอร์แกน สแตนเลย์ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลงอาจกระทบบ้าง แต่การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในภูมิภาคจากกระแสเงินทุนไหลเข้า ทำให้นักลงทุนมองข้ามปัจจัยดังกล่าว

แต่ต้องระมัดระวังการลงทุนเพราะหากหมดข่าวดีหรือเงินทุนที่ไหลเข้าเริ่มชะลอตัวและมีแรงขายทำกำไรออกมาหลังดัชนีปรับขึ้นจนราคาหุ้นแพงเกินปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก ดัชนีมีโอกาสทรุดตัวลงแรง

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่า จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะกลยุทธ์ ให้เก็งกำไร

ปิดท้าย แนะนำหุ้นน้องใหม่ บริษัทโตโยไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เตรียมขายหุ้นไอพีโอ 130 ล้านหุ้นต้นเดือน มิ.ย.นี้ และจะเข้าเทรดในเดือนเดียวกัน ซึ่งจะถือเป็นหุ้นตัวแรกของปีที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เหตุผลที่นำบริษัทเข้าตลาดเพราะต้องการสร้างเครดิต และเพิ่มศักยภาพในการรับงานโครงการใหญ่ในต่างประเทศ

ขณะที่ผู้บริหารคุยบริษัทมีเงินสดในมือ 4,000 ล้านบาท วางเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 1.1 หมื่นล้านบาท พร้อมรักษาอัตราการโตของกำไรสุทธิที่ 3% และเตรียมประมูลงานใหม่ ปีนี้อีก 7.2 พันล้านบาท ทั้งในและต่างประเทศ


อินเด็กซ์ 51


กระทิงสิงหุ้นไทย

กระทิงสิงหุ้นไทย

หุ้นไทยโชว์ฟอร์มเจ๋ง พบ 1 เดือนหลังสงกรานต์ดัชนีฯ กระฉูด 102.59 จุด หรือ 22.60% ส่วนมาร์เก็ตแคปพุ่งกว่า 18.83% จาก 3.61 ล้านล้านบาท เป็น 4.29 ล้านล้านบาท หลังเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าเก็บหุ้นพลังงาน-แบงก์เป็นหลัก แถมตลาดหุ้นต่างประเทศหนุน เชื่อปลุกหุ้นไอพีโอ 4-5 บริษัทฉวยจังหวะนี้ประกาศพร้อมเข้าซื้อขายในตลท. คาดโบรกฯ เตรียมทบทวนปรับเป้าหมายดัชนีฯ -ราคาหุ้นใหม่ หลังราคาวิ่งแซงมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง

ก้าวเข้าสู่ไตรมาส2/2552 หลังเทศกาลสงกรานต์ผ่านมา ดัชนีฯ หุ้นไทยก็วิ่งสนั่นเมือง มีแต่ขึ้นกับขึ้น แม้บางวันดัชนีฯ จะลบบ้างตามตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เหตุกังวลกับภาวะเศรษฐกิจ แถมไข้หวัดใหญ่ 2009 กระทบความเชื่อมั่น...แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น จนท้ายที่สุดตลาดก็ยังไม่ยุติการ Rally แทบจะเรียกได้ว่าขา ขึ้น มา แล้วกันเลยทีเดียว เพราะแม้กระทั่งการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปช.) หรือ ม็อบเสื้อแดงที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบและบั่นทอนความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติก็ยังมิอาจทำลายบรรยากาศการลงทุนได้ ส่วนภาวะเศรษฐกิจก็กลายเป็นประเด็นที่สร้างความชาชินไปเสียแล้ว


***สถิติดัชนีฯ พุ่งเฉียด 23% นับตั้งแต่สงกรานต์

หากจะให้ดีดลูกคิดคำนวณ ความแรงดีไม่มีตกของดัชนีฯ นั้น จากสถิติพบว่า ตั้งแต่หลังสงกรานต์มา ดัชนีฯ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 102.59 จุด หรือ 22.60% โดยคำนวณ จากดัชนีปิดตลาด ณ วันที่ 10 เมษายน 2552 ที่ปิดที่ 453.88 จุด และดัชนีปิดตลาด ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2552 ที่ปิดที่ 556.47 จุด ขณะที่มาร์เก็ตแคปได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 18.83 % โดยคำนวณจากมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 10 เมษายน 2552 ที่ 3.61 ล้านล้านบาท และมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ที่ 4.29 ล้านล้านบาท

สำหรับดัชนีฯ วานนี้(19 พ.ค.) ดัชนีฯ ปิดตลาดที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด หรือ 3.01% มีมูลค่าการซื้อขาย 33,413.76 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มหลักที่สนับสนุนทิศทางดัชนีฯ คือ กลุ่ม พลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

ส่วนหลักทรัพย์ที่ซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
1.PTTEP ปิดที่ 127.50 บาท เพิ่มขึ้น 9.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,481.58 ลบ.
2.PTT ปิดที่ 218.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,380.44 ลบ.
3.PTTAR ปิดที่ 19.20 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,722.85 ลบ.
4.TOP ปิดที่ 40.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,924.41 ลบ.
5.KBANK ปิดที่ 59.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,619.46 ลบ.
ขณะที่ปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม พบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,165.66 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 2,772.04 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 4,937.71 ล้านบาท


***ประเด็นที่มีผลต่อดัชนีฯ

หลังจากผลประกอบการในหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐฯ มีแนวโน้มสดใส ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า เศรษฐกิจได้ผ่านจุดที่ย่ำแย่ที่สุดไปแล้ว และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อในระยะยาว เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัท โลว์ส คอส และหลังจากนายจอห์น ลิพสกี้ รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะเริ่มขยายตัวขึ้นในปีหน้า แต่คาดว่าจะเป็นการขยายตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งดีกว่าการถดถอยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อีกทั้งมีแรงหนุนจากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านในสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนพ.ค. ซึ่งสนับสนุนมุมมองที่ว่าภาวะตกต่ำของตลาดบ้านที่ดำเนินมา 3 ปีอาจใกล้สิ้นสุดลง ส่วนกรณีที่บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ ประกาศปรับลดน้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นไทยลงสู่ 'underweight' จาก 'equal weight' อันเป็นผลจากการทรุดตัวของมูลค่าหุ้นและผลประกอบการ รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น ประเมินว่า ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเล็กน้อย แต่ให้น้ำหนักการลงทุนในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกมากกว่า

ส่วนกรณีที่โกลด์แมนแซคส์ได้ปรับราคาเป้าหมายของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เป็น 290 บาท จากเดิม 155 บาท และ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) PTTEP เป็น 140 บาท จากเดิม 72 บาท ทำให้มีแรงซื้อในหุ้นทั้ง 2 ตัวเข้ามาอย่างคึกคัก ส่วนการที่ MSCI ถอนหุ้น KBANK และ AOT ออกจากคำนวณดัชนีฯ นั้น เพราะเห็นว่าฟรีโฟลตต่ำกว่าเกณฑ์ นั้น มองว่าน่าจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น KBANK และ AOT เพียงระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่พื้นฐานของหุ้นทั้งสองตัวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และแม้ว่าทั่วโลกยังต้องเผชิญกับโคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีประมาณ 8,829 ราย ใน 40 ประเทศ แต่ตลาดหุ้นเกือบทั่วทั้งภูมิภาคไม่ได้ตอบสนองในเชิงลบเสียเลยทีเดียว


***แผนกระตุ้นศก.กระทุ้งหุ้นรับเหมาฯ ตื่นตัว

ดังนั้นตามคำทำนายของเหล่าบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายที่ได้ประเมินว่า ดัชนีฯ ช่วงนี้มีโอกาสทะยานสู่ระดับ 550 จุดได้นั้น ถือว่าธงไม่หัก เพราะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ด้วยอนุภาพของปัจจัยบวกต่างๆ ภายใต้สถานการณ์ที่น่ายินดีนี้ รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าออกนโยบายอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนต่อไปอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีแผนกู้เงินเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวน 4 แสนล้านบาท แต่วิปรัฐบาลได้มีมติเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวน 4 แสนล้านบาทออกไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแล้วเสร็จ

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง เชื่อว่า รัฐบาลจะบรรลุแผนการกู้เงินจำนวนดังกล่าว โดยหากพระราชกำหนดเงินกู้ 4 แสนล้านบาทไม่ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินแผนได้เลยโดยไม่ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร หรือหากศาลเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็อาจจะเรียกประชุมสภาสมัยวิสามัญโดยน่าจะทำให้เป็นพระราชบัญญัติไปในกาลนี้เลยโดยมีกำหนดการต้นเดือนมิถุนายน และในช่วงระหว่างกระบวนการรัฐบาลมีทางเลือกการเงินในการพิมพ์เงินเข้าระบบด้วยเพราะในสถานการณ์เช่นนี้ มีความได้เปรียบเรื่องค่าเงินบาทแข็งตัวและดอกเบี้ยโลกต่ำ ซึ่งพระราชบัญญัติเงินกู้อีก 4 แสนล้านบาท รัฐบาลมีความยึดหยุ่นด้านเวลาโดยน่าจะเลือกใช้ช่วงการประชุมสมัยสามัญทั่วไปที่จะเปิดสภาในช่วง 1 สิงหาคม ถึง 28 พฤศจิกายนศกนี้

เมื่อรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดเม็ดเงินต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แน่นอนว่าหากแผนดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ อานิสงส์ครั้งนี้ย่อมเผื่อแผ่ไปถึงภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เหล็ก รวมถึงโครงการเมกะโปรเจ็กซ์ต่างๆ


*** 4 ไอพีโอ ฉวยจังหวะตลาดคึก สูบเม็ดเงิน

จากสถานการณ์การกระทิงสิงหุ้นไทยนี้ ทำให้หุ้นไอพีโอหลายบริษัทในกล้า ออกมาประกาศก้องว่า ขณะนี้พร้อมแล้วที่จะเป็นสมาชิกของตลาดฯ อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พร้อมที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 27% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดแก่นักลงทุนทั้งหมดในต้นมิ.ย.นี้ และพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดฯ ภายในเดือนเดียวกัน โดยมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี

ขณะที่บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ยังคงยืนยันว่าประมาณเดือนกรกฎาคม 2552 จะนำหุ้นไอพีโอ จำนวน 75 ล้านหุ้น ของบริษัทดังกล่าว เข้าระดมทุนในตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวคงเป็นจังหวะที่ดีและเหมาะสม ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเริ่มคึกคัก หุ้น IPO คงได้รับประโยชน์ด้วย

ด้านบริษัท ควอลลีเทค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 20 ล้านหุ้น และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ได้ภายในช่วงเดือนมิถุนายน 2552 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากโรงงานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต้องการความปลอดภัยในการใช้งานต่างๆของโรงงาน จึงจำเป็นต้องใช้การตรวจสอบและทดสอบทางวิศวกรรม ซึ่งบริษัทในประเทศไทยที่สามารถทำได้ทั้งทดสอบ ตรวจสอบและรับรองในระดับสากลมีน้อยราย ประกอบกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจเกือบ 20 ปี ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทฯชั้นนำของประเทศ

ส่วนบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แม้ช่วงนี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น และมีวอลุ่มเข้ามาหนาแน่น ดังนั้นจึงพร้อมที่จะเข้าซื้อขายหุ้นไอพีโอจำนวน 185 ล้านหุ้นได้ช่วงปลายเดือนมิถุนายน

ล่าสุดวานนี้(19 พ.ค.) ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งไฟลิ่ง บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เพื่อขายหุ้นไอพีโอจำนวน 50 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินขยายโครงการปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงชำระคืนเงินกู้บางส่วน


***มีลุ้นโบรกฯ อาจปรับเป้าดัชนีฯ

ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลว่า...ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักนี้ การตั้งราคาไอพีโอคงจะแตกต่างไปจากการตั้งราคาไอพีโอในช่วงที่ตลาดซบเซาในช่วงไตรมาส1/2552 ซึ่งนั่นหมายความว่า ราคาไอพีโอคงไม่ใช่ถูกๆ แน่ และอาจเกิดการเอารัดเอาเปรียบนักลงทุนเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับหุ้นไอพีโอบางตัวมาแล้ว

สุดท้ายแล้วเชื่อว่า โบรกฯ หลายๆ ค่ายคงต้องออกมาทบทวนปรับเป้าหมายดัชนีฯ รวมถึงราคาหุ้น กันใหม่ เพราะขณะนี้หุ้นพื้นฐานดีหลายๆ ตัว ราคาวิ่งแซงมูลค่าพื้นฐานของปีนี้ไปอย่างขาดลอยแล้ว อีกทั้งความร้อนแรงของดัชนีฯ ครั้งนี้....นักลงทุนควรระวังถึงความเสี่ยงจากการลงทุน เพราะการRally ครั้งนี้ เกิดขึ้นจากทุนนอก ซึ่งจะเข้า และออกได้ทุกเมื่อ...




ขอบคุณข้อมูล eFinance Thai

Template by - Abdul Munir | Blogging4