24 มีนาคม 2552

บัญญัติ 10 ประการ เล่นหุ้นแบบ VI

บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้นแบบ Value Investor

Monday, 23 March 2009 โดย ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร settradeblog

พูดถึงเรื่องของการซื้อขายหุ้นแล้ว ผมคิดว่ามีเทคนิคหรือมีกฎต่าง ๆ มากมายที่มีการคิดค้นและนำเสนอ วิธีการหรือกลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละเรื่องนั้นมีหลากหลายแนวทางขึ้นอยู่กับว่าคนที่เสนอเป็นนักลงทุนแนวไหน กลยุทธ์เหล่านั้นบ่อยครั้งขัดกันเอง เช่น ถ้าเป็นนักเก็งกำไร พวกเขาอาจจะบอกว่าการเล่นหุ้นต้องเล่น ตามกระแส แต่ถ้าเป็นแบบ Value Investor บางพวกเขาจะให้ซื้อขาย สวนกระแส

วันนี้ผมขอนำเสนอหลักสำคัญบางประการของการซื้อขายหุ้นที่ผมเชื่อและใช้ เรียกให้เท่ว่า บัญญัติ 10 ประการของการเล่นหุ้น

  • ข้อ 1 ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น อย่าซื้อหุ้นโดยใช้อารมณ์ อย่าโลภ อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อหุ้นโดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นกำลังวิ่ง อย่าลืมว่ามีหุ้นที่กำลัง วิ่ง ทุกวัน ถ้าเราซื้อ เราก็จะเป็นนักเล่นหุ้นรายวันที่มีโอกาสถูกผิด 50-50 ถ้าเราทำแบบนี้ในระยะยาวเราจะขาดทุนเสมอ
  • ข้อ 2 อย่าสนใจข่าวลือหรือ หุ้นเด็ด ที่เราได้ยินมาไม่ว่าจะมาจากเซียน คนในหรือ Insider ของบริษัท หรือจากคนแปลกหน้าในงานเลี้ยง เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้ยินก็คงมีคนอีกไม่น้อยที่ได้ยิน ข่าวหรือข้อมูลแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรนอกจากจะทำให้เราเสียเงิน
  • ข้อ 3 ให้ความสำคัญกับตัวกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาดหรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป เพราะถึงแม้ว่าสภาพทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีแต่ตัวบริษัทก็อาจจะดีได้ นอกจากนั้น ถึงกิจการอาจจะไม่ดีนักแต่ราคาหุ้นก็อาจจะต่ำกว่าพื้นฐานมาก ดังนั้น อย่าให้ภาพของตลาดหรือเศรษฐกิจมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา
  • ข้อ 4 หุ้นนั้นมักจะดูแย่กว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดตกต่ำถึงพื้นในช่วงตลาดหมี และดูดีกว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดวิ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงตลาดกระทิง มีความกล้าหาญที่จะซื้อเมื่อทุกอย่างดูเลวร้าย และขายเมื่อทุกอย่างดูดีจนไม่น่าเชื่อ
  • ข้อ 5 จำไว้ว่า มันเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถซื้อหุ้นที่พื้นพอดีและขายหุ้นได้ที่จุดสูงสุด ในยามที่ตลาดเลวร้ายมาก ๆ นั้น หุ้นอาจจะตกต่ำลงไปเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานจริงได้มาก เช่นเดียวกัน ในยามที่ทุกคนกำลังมองโลกในแง่ดีมาก ๆ หุ้นอาจจะขึ้นไปเกินพื้นฐานได้มากเหมือนกัน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาจะต้องขึ้นทันที หรือขายหุ้นแล้วก็หวังว่ามันจะลงถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นกับการวิเคราะห์หามูลค่าของเรา
  • ข้อ 6 ถ้ามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีอนาคตในการเติบโตที่ดีมาก อย่าขายเพียงเพราะว่าราคาหุ้นอาจจะดูเหมือนว่าสูงเกินไปหรือหุ้นวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปชั่วคราว เพราะถ้าเราพลาด เราอาจจะไม่สามารถซื้อมันกลับมาและทำให้เราพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในอนาคต
  • ข้อ 7 อย่า หลงรักหุ้น จน ตาบอด เพราะมันจะทำให้เราไม่สามารถวิเคราะห์กิจการได้อย่างเป็นกลางไม่มีความลำเอียง หุ้นนั้นรักได้แต่อย่าหลง เราจะต้องตรวจสอบและประเมินดูฐานะและความคุ้มค่าอยู่ตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาเราก็อาจจะต้องมีความ โหดร้าย พอที่จะ ตัดรัก หรือขายทิ้งได้ถ้าพิจารณาดูแล้วว่ามัน หมดเสน่ห์ แล้ว
  • ข้อ 8 อย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปที่ไหน กิจการอาจจะเคยกำไร 100 ล้านบาท ราคาหุ้นอาจจะเคยอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้กำไรเหลือเพียงหลัก 10-20 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 2 บาทต่อหุ้น อย่าไปคิดว่ากิจการและหุ้นจะต้องกลับไปที่เดิมหรือใกล้ ๆ กับที่เดิม อย่าลืมว่าของเดิมอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติก็ได้ ตัวเลขใหม่คือของจริง ดังนั้น ลืมตัวเลขเก่าแล้วมองไปข้างหน้า หุ้นราคา 2 บาทอาจจะยังแพงเกินไปก็ได้
  • ข้อ 9 เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง หุ้นคุณภาพต่ำนั้นบางครั้งอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีและเร็วมาก แต่ความสำเร็จในระยะยาวนั้นมีโอกาสสูงกว่าที่จะเกิดกับพอร์ตของหุ้นที่เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงเป็นหลัก Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงหุ้นดีประเภทซุปเปอร์สต็อกและชอบเล่นหุ้นคุณภาพต่ำที่มีโอกาสทำกำไรหวือหวารวดเร็ว การทำแบบนี้ถ้าทำเป็นครั้งคราวก็คงไม่เสียหายอะไรนัก แต่ถ้าเริ่มต้นก็ทำแล้วจนในที่สุดติดเป็นนิสัย โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวก็จะยาก พอร์ตที่ประกอบไปด้วยหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพต่ำนั้นยากที่จะทำให้เรารวย ตรงกันข้าม พอร์ตของกิจการที่มีคุณภาพสูงนั้น สามารถทำให้เรารวยได้และด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่ามาก
  • ข้อ 10 ใช้เวลากับการลงทุน ตรวจสอบกิจการและหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เราต้องปรับการลงทุนเพื่อให้สะท้อนกับการเปลี่ยนแปลง ตัดหุ้นที่อ่อนแอลงออก ซื้อหุ้นที่ดีกว่าเข้ามา แต่นี่ไม่ใช่การเทรดหรือซื้อขายหุ้นรายวัน รายเดือน หรือแม้แต่รายปี มันขึ้นกับสถานการณ์และตัวหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไม่ถึงปี วิธีการลงทุนของเราคงไม่ใช่การเน้นหุ้นคุณภาพในการลงทุนเป็นหลัก

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของกฎในการซื้อขายหุ้นลงทุนที่ผมคิดว่าดีและสอดคล้องกันเป็นชุด แน่นอน มีกฎอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนและอาจจะตรงกันข้ามกับที่ผมพูดถึง นักลงทุนคงต้องเลือกเองว่าจะเชื่อแนวความคิดหรือวิธีไหน แต่ขอบอกว่านี่คือวิธีการที่นักลงทุนเอกของโลก อาทิ วอเร็น บัฟเฟตต์ ใช้อยู่และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

หุ้นพุ่งเกือบ500จุด

หุ้นพุ่งเกือบ500จุด!!รับแผนซื้อหนี้เสียธนาคาร/น้ำมันขึ้นตามสูงสุดรอบ3เดือน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์24 มีนาคม 2552 05:13 น.
จอดิจิตอลในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แสดงผลดาวโจนส์บวก
เอเจนซี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันพุ่งเกือบ 2 ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์(23) แตะสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน ผลกระทบจากโอเปกลดกำลังผลิต ด้านวอลล์สตรีท ทะยานเกือบ 500 จุด หลังรัฐบาลสหรัฐฯเสนอแผนเข้าซื้อสินทรัพย์เน่าเสียธนาคารมูลค่ามหาศาลอันจะช่วยให้ภาคการเงินการธนาคารสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ปกติด้านการให้สินเชื่อได้อีกครั้ง

น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.73 ดอลลาร์ ปิดที่ 53.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายทะยานไปถึง 54.05 ดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2008 ขณะที่เบรนต์ของลอนดอน เพิ่มขึ้น 2.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 53.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังดิ่งลงไปต่ำกว่า 33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเดือนธันวาคม สืบเนื่องจากโอเปกลดกำลังผลิตอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามราคานี้ยังต่ำกว่าสถิติสูงสุดเหนือ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ช่วงกลางปีที่แล้วอยู่เกือบ 100 ดอลลาร์

อีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันราคาน้ำมันมาจากสัญญาณอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในจีน ชาติผู้บริโภครายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พบว่าอุปสงค์น้ำมันของจีนเพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์ หลังจาก 3 เดือนก่อนหน้านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์(23) พุ่งทะยานอย่างแรงกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ จากแผนเข้าซื้อสินทรัพย์เน่าเสียธนาคารอันจะช่วยให้ภาคการเงินการธนาคารสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ปกติในด้านการให้สินเชื่อได้อีกครั้งและช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจของอเมริกา

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 497.48 จุด (6.84 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 7,775.86 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 54.38 จุด (7.08 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 768.23 จุด ขณะที่ แนสแดก ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 98.50 จุด (6.76 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,555.77 จุด

ตลาดขานรับแผนโครงการร่วมรัฐ-เอกชน ในการเข้าซื้อสินทรัพย์เน่าเสียของภาคการเงินการธนาคารของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูระบบธนาคารอันอ่อนเปลี้ยจากภาวะขาดทุนครั้งมโหฬารสืบเนื่องจากความล่มสลายของภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ

ในเบื้องต้น กระทรวงการคลังจะเอาเม็ดเงินราว 75,000 - 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินที่มาจากกองทุนกอบกู้ภาคเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ที่รัฐสภาอนุมัติเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เข้าไปวางในหน่วยงานร่วมภาครัฐและภาคเอกชน

หลังจากนี้ก็จะมีเม็ดเงินจากบริษัทเพื่อการลงทุนของเอกชนเข้ามาอีก ซึ่งทางการคาดว่าจะได้เม็ดเงินทั้งหมดราว 500,000 ล้านดอลลาร์หรืออาจจะเพิ่มขึ้นราวสองเท่าของจำนวนดังกล่าว ด้วยการช่วยเหลือของบรรษัทประกันเงินฝากและธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)

นอกจากข่าวแผนซื้อสินทรัพย์เน่าเสียของภาคการเงินการธนาคารแล้ว ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากกรณียอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ 5.1 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งที่คาดหมายไว้ว่าจะร่วงลง 0.9 เปอร์เซ็นต์

การปรับตัวขึ้นของยอดจำหน่ายบ้านมือสองนับเป็นสัญญาณแห่งความหวังของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับทุกข์ทรมานมานานกว่า 2 ปี อย่างไรก็ตามทางกลุ่มอุตสากรรมเตือนว่ายอดขายจะยังคงอ่อนแอและราคาร่วงลงไปอีก

ปรับ"ช่วง-ขยายข้อมูล"

ตลาดปรับ"ช่วง-ขยายข้อมูล"ราคาเทรด

ตลาดหลักทรัพย์ ปรับเกณฑ์ช่วงราคาซื้อขาย และขยายข้อมูลราคาเสนอซื้อขายเป็น 5 ระดับ เป้าหมายเพื่อเสริมสภาพคล่อง และลดต้นทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ลงได้ อีกทั้งเป็นการเพิ่มข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อขายให้แก่ผู้ลงทุน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค.นี้


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ช่วงราคาซื้อขาย (Price Spread) โดยลดจำนวนระดับราคาจากเดิม 10 ระดับเป็น 8 ระดับ และปรับลดระดับความกว้างของช่วงราคาในบางระดับลง เธอกล่าวเชื่อมั่นว่า เกณฑ์ใหม่สามารถเสริมสภาพคล่อง และลดต้นทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ (Execution Cost) ลงได้

"ตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค.2552 เป็นต้นไป ตลาดหลักทรัพย์ จะเริ่มใช้เกณฑ์ช่วงราคาซื้อขายใหม่ โดยลดระดับราคาลงจากเดิม 10 ระดับ (เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ย.2544) เหลือเพียง 8 ระดับ โดยปรับให้ช่วงราคาซื้อขายตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปแคบลง"

เธอยังบอกด้วยว่า การปรับช่วงราคาในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสในการซื้อขายของผู้ลงทุนมากขึ้น และยังเป็นแนวทางที่มีความใกล้เคียงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะปรับช่วงราคาให้แคบลง นับเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทย ที่มุ่งอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการซื้อขายของผู้ลงทุน สอดคล้องกับกลยุทธ์การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย

ทั้งนี้ ช่วงราคาเสนอซื้อขายที่ปรับใหม่ ได้กำหนดให้ราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 25 บาท แต่ต่ำกว่า 100 บาท มีช่วงราคาเท่ากับ 0.25 บาท ราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 100 บาท แต่ต่ำกว่า 200 บาท มีช่วงราคาเท่ากับ 0.50 บาท ราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 200 บาท แต่ต่ำกว่า 400 บาท มีช่วงราคาเท่ากับ 1.00 บาท และราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 400 บาทขึ้นไป มีช่วงราคาเท่ากับ 2.00 บาท สำหรับราคาเสนอซื้อขายที่ต่ำกว่า 50 บาท ให้ใช้ช่วงราคาเดิม

นอกจากนี้ ยังได้ขยายการแสดงข้อมูลราคาเสนอซื้อขาย (best bid/best offer) จาก 3 ระดับเป็น 5 ระดับ เริ่มตั้งแต่ 30 มี.ค.2552 นี้เช่นกัน

นางภัทรียา อธิบายว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับปรุงการเผยแพร่ข้อมูลราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย ที่ในปัจจุบันแสดงราคาที่ดีที่สุด 3 ระดับแรก เป็น 5 ระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงช่วงราคาซื้อขาย อีกทั้งเป็นการเพิ่มข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อขายให้แก่ผู้ลงทุน "เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถวิเคราะห์ภาวะตลาดและเสนอราคาซื้อขายได้ตรงความต้อง การมากที่สุด โดยมีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 มี.ค.2552 ด้วยเช่นกัน" นางภัทรียากล่าว



หุ้นโลกพุ่งรับสหรัฐแก้ NPL

หุ้นโลกพุ่งรับสหรัฐแก้เอ็นพีแอล โบรกเกอร์คาดดัชนีส่อขยับต่อ


ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย ทะยานขึ้นรับข่าวสหรัฐประกาศแผนกวาดล้างหนี้เสียในภาคธนาคาร และญี่ปุ่นส่งสัญญาณออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้านโบรกเกอร์ประเมินดัชนีขยับต่อหากต่างประเทศไร้ข่าวร้าย-น้ำมันเริ่มทรง ตัว


บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (23 มี.ค.) ดัชนีปิดซื้อขายที่ระดับ 438.17 จุด เพิ่มขึ้น 8.53 จุด หรือ 1.99% มูลค่าการซื้อขาย 15,333 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,249 ล้นบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 401 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,651 ล้านบาท

นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้น 8.53 จุด ตามตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมีความหวังว่า เศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มได้ผล ส่วนไทย มีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นคือการพิจารณางบกลางปี มูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท และนโยบายแจกเงิน 2 พันบาท ช่วยเหลือสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเกิดแรงจูงใจมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มดัชนีวันนี้ (24 มี.ค.) เชื่อว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากตลาดหุ้นต่างประเทศไม่มีข่าวลบ และราคาน้ำมันยังทรงตัว หรือไม่ต่ำไปกว่าระดับปัจจุบัน โดยประเมินแนวต้านที่ 440-450 จุด และแนวรับที่ 430-420 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีวานนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและวอลุ่มแน่นกว่า 15,000 ล้านบาท มีปัจจัยบวกหลักจากการตลาดหุ้นในเอเชียที่คึกคัก ซึ่งน่าจะเป็นผลจากความคาดหวังแผนการช่วยเหลือภาคการเงินในสหรัฐ และการจัดการปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงิน ที่คาดว่าจะซื้อหนี้เสียออกจากระบบถึง 1 ล้านล้าน ส่งผลให้มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและน่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาด หุ้นในระยะสั้นหลังจากนี้

แนวโน้มวันนี้ คาดว่าดัชนีมีโอกาสเผชิญแรงเทขายทำกำไร หลังจากปรับขึ้นมาเร็วและแรง ในวานนี้ ซึ่งหากมองระดับค่าพีอีหุ้นไทยที่สูงถึง 10 เท่า มากกว่าระดับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ซื้อขายกันที่ประมาณ 8-9 เท่า สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกขายและโยกเงินไปยังตลาดหุ้นอื่น ที่มี พีอีต่ำกว่าและมีพื้นฐานดีกว่า


หุ้นโลกขานรับแผนสหรัฐขจัดหนี้เน่า

ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกทะยานขึ้นวานนี้ โดยดัชนีหุ้นนิกเคอิในตลาดโตเกียวพุ่งขึ้น 269.57 จุด หรือ 3.39% ปิดที่ระดับ 8,215.53 วานนี้ หลังจากนายคาโอรุ โยซาโน รมว.คลังญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายสาธารณะถึง 20 ล้านล้านเยน เพื่อยุติภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้เแรงหนุนจากแผนของกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่จะซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคาร โดยนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ มีกำหนดชี้แจงรายละเอียดช่วงค่ำวานนี้ แต่เขาเปิดเผยผ่านหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ก่อนหน้านั้นว่า แผนการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนจะอุดหนุนเงินทุนเบื้องต้น 500,000 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต

นักวิเคราะห์คาดว่า นายไกธ์เนอร์จะเปิดเผยแผนการ 3 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรก คือ การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่นักลงทุนเอกชนที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ด้อย คุณภาพจากธนาคาร ขั้นตอนที่สอง กระทรวงการคลังจะว่าจ้างผู้จัดการการลงทุนให้มาบริหารกองทุนของภาครัฐ-เอกชน เพื่อทำการลงทุนแสวงหาผลกำไรในสัญญาจำนองด้อยคุณภาพ และขั้นตอนที่สาม ขยายวงเงินของโครงการปล่อยกู้สำหรับหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจาก สินทรัพย์ เพื่อให้ครอบคลุมถึงการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ตกทอดมาจากในอดีต

ตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีหุ้นหั่งเส็งในตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้น 4.78% ปิดที่ระดับ 13,447.42 ดัชนีหุ้นสเตรตส์ไทมส์ของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 4.21% ปิดที่ 1,664.08 ดัชนีหุ้นคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้น 1.95% ปิดที่ระดับ 3,325.48 ดัชนีหุ้นคอมโพสิตมาเลเซียเพิ่มขึ้น 2.50% ปิดที่ระดับ 878.30 และดัชนีหุ้นของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 3.36% ปิดที่ระดับ 1,406.65

ด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนีหุ้นหลักไต่ระดับสูงขึ้นในช่วงเปิดตลาด โดยดัชนีหุ้นเอฟทีเอสอี 100 ของอังกฤษ พุ่งขึ้น 1.4% ดัชนีหุ้นแด็กซ์ของเยอรมนีทะยานขึ้น 2.1% และดัชนีหุ้นซีเอซี 40 ของฝรั่งเศส ปรับตัวขึ้น 1.4%


ดาวโจนส์พุ่งเกือบ 500 จุด

ดาวโจนส์พุ่งเกือบ 500 จุด สูงสุดในรอบ 4 เดือน

สหรัฐ 24 มี.ค. - ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบ 500 จุด หลังนักลงทุนพอใจข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงิน

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังนักลงทุนพอใจที่รัฐบาลเตรียมทุ่มงบอีก 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก้ปัญหาหนี้เสียในภาคการธนาคารและสถาบันการเงิน
โดยจะพยายามดึงดูดนักลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าซื้อหนี้เสีย ฉุดให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นแทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มธุรกิจสร้างบ้าน ภายหลังตัวเลขยอดขายบ้านในเดือนที่ผ่านมา กลับมาน่าพอใจอีกครั้ง


ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.91 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2,863 ต่อ 259 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.24 พันล้านหุ้น

จิม ดูนิแกน นักวิเคราะห์จาก PNC Wealth Management กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคึกหลังจากคณะทำงานของโอบามาเปิดเผยแผนกำจัดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกจากงบดุลบัญชีธนาคาร ซึ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าธุรกิจปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุด

การเปิดเผยแผนการดังกล่าวมีขึ้นหลังจากหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ครอบคลุมถึงการข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และเพิ่มการรับซื้อตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีก 7.50 แสนล้านดอลลาร์

รายงานระบุว่า กระทรวงการคลังสหรัฐจะเริ่มปล่อยกู้สำหรับโครงการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนด้วย
เงิน 7.5 หมื่นถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมาจากวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ของกองทุนฟื้นฟูภาคการเงิน
ที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ตลาดขานรับรายงานของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติที่ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 5.1% ในเดือนก.พ.แตะระดับ 4.72 ล้านยูนิต สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.จะร่วงลง 0.9% แตะระดับ 4.45 ล้านยูนิต/ปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเริ่มรวบรวมข้อมูลในปีพ.ศ.2543

ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คลายความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์หลังจากยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนม.ค.ร่วงลง 5.3% เหลือเพียง 4.49 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 12 ปี และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยบวกจากนายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดังและประธานบริษัท เทมเพลตัน แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ ที่คาดการณ์ว่า ภาวะกระทิงรอบใหม่ของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มขึ้นแล้ว และบริษัท เทมเพลตันกำลังรุกซื้อหุ้นในตลาดเกิดใหม่ทุกแห่ง ซึ่งมีมูลค่าที่น่าดึงดูดใจมากกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

"ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะกระทิงรอบใหม่ บริษัทเทมเพลตันกำลังรุกซื้อหุ้นในบริษัทที่มีสภาพคล่อง
หนาแน่น หนี้สินต่ำ มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง และให้ความสนใจในบริษัทที่มีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ดีในอนาคต" โมเบียส วัย 72 ปีกล่าวทางสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก

หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดพุ่ง 19.5% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดบวก 26% หุ้นเจพีมอร์แกนปิดบวก 25% และหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ปิดพุ่ง 24%


ชื่อ:  ScreenHunter_287.gif ครั้ง: 546 ขนาด:  29.7 กิโลไบต์



ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์
พุ่งขึ้น 1.73 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ระดับ 53.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 497.48 จุด หรือ 6.8%
"มากที่สุดในรอบ 4 เดือน" ปิดที่ระดับ 7,775.86 จุด
แนสแดค ปิดที่ระดับ 1,555.77 จุด เพิ่มขึ้น 98.50 จุด
และ เอสแอนด์พี ปิดที่ 822.92 จุด พุ่งขึ้น 54.38 จุด



ที่มา:สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Operation Twist 2

เจาะลึก "Operation Twist 2" เฟด "นอกกรอบ" อัดฉีด 1.2 ล้านล้าน อุ้มศก.



ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (federal reserve : FED) ปิดฉากลงเมื่อ 18 มีนาคม 2552 ด้วยการประกาศแผนปฏิบัติการใหม่ ภายใต้รหัส Operation Twist ซึ่งหมายถึงการปรับรูปแบบการดำเนินการในตลาดเงินของธนาคารกลางใหม่ทิศทางที่ ตรงกันข้าม โดยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 3 แสนล้านดอลลาร์

พร้อมกันนี้ยังประกาศซื้อตราสารหนี้ที่มีสัญญาจำนอง โดยเฉพาะเงินกู้ซื้อบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มอีก 8.50 แสนล้านดอลลาร์

การดำเนินการของธนาคารกลางสหรัฐครั้งนี้ ถือมีผลเท่ากับเป็นการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณ (quantitative easing) ในลักษณะเดียวกับที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเคยนำมาปรับใช้ในทศวรรษ 1990 เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาเป็นเวลานานต่อเนื่องถึง 10 ปี และมีลักษณะเดียวกับที่ธนาคารกลางอังกฤษนำมาใช้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาล 1.50 แสนล้านปอนด์ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของอังกฤษลดลงอย่างฮวบฮาบ

แม้แต่ญี่ปุ่นเองก็ประกาศว่าจะเพิ่มปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในแต่ละเดือน เพิ่มจาก 1.4 ล้านล้านเยน เป็น 1.8 ล้านล้านเยน

การเคลื่อนไหวของเฟดส่งผลทันทีต่อตลาดพันธบัตร โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นอัตราอ้างอิงมาตรฐานในตลาดเงินปรับตัวลงมากที่สุดในวันเดียว ทำสถิตินับจากเกิดวิกฤตตลาดหุ้นตกต่ำในปี 2530 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 2.50%

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย 30 ปี ดิ่งลงมาอยู่ใกล้ระดับต่ำสุด 5%

นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของนายเบน เบอร์นันเก้ และคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเขา แม้ทางหนึ่งจะเป็นมาตรการที่จำเป็นในช่วงที่แนวโน้มทางเศรษฐกิจเลวร้ายลง แต่ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้น ตัวแล้ว หากธนาคารกลางสหรัฐไม่ดำเนินการอย่างระมัดระวัง

สหรัฐเคยนำแนวทาง Operation Twist มาใช้แล้วครั้งหนึ่งในช่วงทศวรรษ 1960 ระหว่างปี 2504-2508 ซึ่งในช่วงเวลานั้น ธนาคารกลางสหรัฐได้เข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวและขายตั๋วเงินคลังระยะ สั้น โดยเป้าหมายของการดำเนินการใน ครั้งนั้น เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินผ่านการจัดการปริมาณเงินในระบบ

แต่การแทรกแซงตลาดเงินของเฟด ครั้งนี้ไม่ได้เน้นไปที่การสร้างเสถียรภาพทางการเงิน แต่ต้องการทำให้ปัจจัยแวดล้อมในระบบการเงินที่ตึงตัวอยู่ ผ่อนคลายลง

อีธาน แฮร์ริส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งของบาร์เคลย์ส แคปิตอล ในนิวยอร์ก ประเมินการตัดสินใจดำเนินนโยบายดังกล่าวว่ามีผลเท่ากับการดึงอัตราดอกเบี้ย เงินกู้ชั่วข้ามคืน (federal fund rate) ลดลงมาถึง 0.75%

แฮร์ริสยังระบุด้วยว่า การประสานการผ่อนนโยบายทั้งทางการเงิน การคลัง และสินเชื่อไปพร้อมๆ กันจะช่วยชะลอภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 และนำไปสู่การฟื้นตัวเล็กน้อยในสิ้นปี 2552

ในทางทฤษฎี การดำเนินการของเฟดจะช่วยลดต้นทุนในการกู้ยืมให้กับผู้บริโภค ภาคธุรกิจเอกชน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดี (prime rate) จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ชั่วข้ามคืน และขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดีจะมีอิทธิพลต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อ รถ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และอัตราดอกบัตรเครดิต รวมถึงหนี้ประเภทอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีน่าจะลดลงจาก 4% มาอยู่ที่ ระดับราว 3.0%-3.25%

อย่างไรก็ตาม บิล กรอสส์ ประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัท แปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ หรือ PIMCO ได้แสดงความประหลาดใจต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ โดยระบุว่า ไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดของการตัดสินใจ ดังกล่าว โดยเฉพาะการปรับนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมาได้มีการประสานกับกระทรวงการคลังหรือไม่ รวมถึงจุดข้อกังขาได้ว่า โครงการต่างๆ ที่เฟดนำออกมาใช้ก่อนหน้านี้ไม่สามารถที่จะปรับสภาพตลาดสินเชื่อให้ดีขึ้น ได้เร็ว ดังที่คาดหวัง ใช่หรือไม่

ในอีกด้านหนึ่ง ผลกระทบจากการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐได้กระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ ให้อ่อนลงทันทีและมีผลต่อเนื่องให้อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ คู่ค้าต่างๆ แข็งค่าขึ้นสวนทาง โดยเฉพาะ เงินหลายสกุลในเอเชีย ระหว่างการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

อาทิ เงินเยนของญี่ปุ่นที่แข็งค่าขึ้นอีกในตลาดค้าเงินเอเชียเป็น 96.03 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับปิดตลาด 96.22 เยนต่อดอลลาร์ในนิวยอร์ก หรือแข็งค่าขึ้น 2.5% นับจาก 1 ธันวาคมปีที่แล้ว เช่นเดียวกับรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และเงินบาทของไทยที่แข็งค่าขึ้นรับข่าว 0.5% และ 0.4% ตามลำดับ ขณะที่หยวนของจีนแข็งค่าขึ้นมาที่ 6.8313 หยวนต่อดอลลาร์ จาก 6.8347 หยวนต่อดอลลาร์

การแข็งค่าขึ้นอย่างฉับพลันของเงินสกุลท้องถิ่นส่งผลให้หุ้นบริษัทส่งออกใน เอเชีย โดยเฉพาะของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกผลกระทบ โดยเฉพาะต่อความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคา อาทิ หุ้นโซนี่ที่ราคาหุ้นลดลง 0.9% โตโยต้าลดลง 1.3% เช่นเดียวกับ ฮุนได มอเตอร์ของเกาหลีใต้ที่ทรุดฮวบลง 4.4% และปอสโก -1.4%

Template by - Abdul Munir | Blogging4