22 เมษายน 2552

ยอดส่งออกเดือน มี.ค. - 23.1%

ชื่อ:  ScreenHunter_623.gif ครั้ง: 427 ขนาด:  42.0 กิโลไบต์

ยอดส่งออกเดือน มี.ค. ติดลบ 23.1%
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า การส่งออกในเดือน มี.ค. มีมูลค่า 11,555 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง 23.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมสำคัญส่งออกลดลง 20.6%, สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญลดลง 21.6% และสินค้าอื่น ๆ ลดลง 32.0% โดยตัวเลขการส่งออกที่ลดลงเกิดจากราคาสินค้าที่ลดลง ขณะที่ปริมาณขายไม่ได้ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรพวกข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ซึ่งราคาลดลงค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่าการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 จากการใช้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และของตลาดโลก

สำหรับการส่งออกในไตรมาส 1/2552 มีมูลค่า 33,787 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง 20.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมสำคัญส่งออกลดลง 19.2% สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญลดลง 17.9% และสินค้าอื่น ๆ ลดลง 32.6%

ขณะที่การนำเข้าเดือน มี.ค. มีมูลค่า 9,454 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง 35.1% โดยสินค้านำเข้าสำคัญปรับตัวลดลงทุกหมวด ประกอบด้วย

- สินค้าเชื้อเพลิง ลดลง 40.2%
- สินค้าทุน เครื่องจักร ส่วนประกอบ ลดลง 24.7%
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ลดลง 43.2%
- สินค้าอุปโภคบริโภค ลดลง 13.0%
- สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ ลดลง 38.3%

ส่งผลให้การนำเข้ารวม 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 26,732 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 37.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย

- สินค้าเชื้อเพลิง ลดลง 50.1%
- สินค้าทุน เครื่องจักร ส่วนประกอบ ลดลง 24.1%
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ลดลง 44.5%
- สินค้าอุปโภคบริโภค ลดลง 17.1%
- สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง ลดลง 34.2%

ตัวเลขการส่งออกที่ลดลงน้อยกว่าการนำเข้า ทำให้ไทยเกินดุลการค้าในเดือน มี.ค.อีก 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ไตรมาสแรกไทยเกินดุลถึง 7,054 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า ได้เตรียมเสนอมาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการส่งออกให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า โดยจะคืนภาษีชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าที่ผลิตในประเทศเพื่อส่งออก หรือภาษีมุมน้ำเงิน 3 – 5% ให้กับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่อุตสาหกรรมที่เหลือจะได้รับการคืนภาษี 2% นอกจากนี้ จะคืนภาษีให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อน เช่น เหล็กรีดร้อน และแบตเตอรี่ เป็นต้น ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะมีผลทันทีในไตรมาส 2

นางพรทิวายอมรับว่า การคืนภาษีดังกล่าวส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ 92,000 – 128,000 ล้านบาท แต่จะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 960,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวได้ 0-3% ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่ถ้าไม่มีมาตรการใดเข้ามาช่วยเหลือจะติดลบมากถึง 15% และเชื่อว่าจะช่วยผลักดัน GDP ให้ขยายตัวขึ้น 1-2%

นางพรทิวาบอกอีกว่า ได้ขอร้องทางธนาคารต่าง ๆ ให้ความร่วมมือให้ผู้ส่งออกสามารถใช้บัตรภาษีมุมน้ำเงินชำระหนี้ให้กับ ธนาคารได้ ซึ่งธนาคารที่ร่วมมือจะสามารถนำเอาบัตรภาษีมุมน้ำเงินมาใช้หักภาษีที่ธนาคาร ต้องจ่ายกับภาครัฐได้ 50% ในปี 2553-2554



หุ้นสหรัฐกระเตื้องขึ้น

หุ้นสหรัฐกระเตื้องขึ้น น้ำมันดิบเพิ่ม 63 เซนต์


สหรัฐ 22 เม.ย. - ตลาดหุ้นสหรัฐปรับเพิ่มขึ้น หลังรัฐมนตรีคลังสหรัฐแสดงความเห็นที่ดีต่อภาคธนาคารและสถาบันการเงิน

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นจากแรงซื้อหนาแน่นในหุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน หลังจากนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุระหว่างให้ปากคำต่อกรรมาธิการสภาคองเกรส ว่า ธนาคารหลายแห่งสามารถจ่ายคืนเงินช่วยเหลือที่ได้รับจากรัฐบาลได้

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.67 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2,409 ต่อ 634 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.45 พันล้านหุ้น

จอห์น นิโคล นักวิเคราะห์จาก Federated Investors กล่าวว่า
นักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคัก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้รับแรงซื้อหนาแน่นที่สุด
หลังจากทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งสภาคองเกรสเมื่อคืนนี้ว่า
ธนาคารส่วนใหญ่มีทุนสำรองเพียงพอที่จะปกป้องการขาดทุนได้ และธนาคารบางแห่งมีศักยภาพสูงพอที่จะจ่ายเงินต้นคืนให้กับรัฐบาล

"การแสดงความคิดเห็นของไกธ์เนอร์ช่วยผ่อนคลายกระแสความวิตกกังวลในตลาด หลังจากดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์เมื่อแบงค์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่าจำนวนลูกค้าที่ผิดนัดชำระหนี้พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารต้องตั้งบัญชีสำรองหนี้สูญมูลค่า 1.34 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นไม่ว่าผลการตรวจสอบความสามารถในการรักษาฐานะทางการเงิน (stress test) ของ 19 ธนาคารพาณิชย์ในเดือนหน้าจะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม" นิโคลกล่าว

กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังดำเนินการตรวจสอบ stress tes ของ 19 ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ภายในประเทศ เพื่อประเมินว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีเงินทุนเพียงพอที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่
โดยสถาบันการเงินเหล่านี้รวมถึง ซิตี้กรุ๊ป, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, แบงค์ ออฟ อเมริกา, โกลด์แมน แซคส์,
เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, มอร์แกน สแตนลีย์ และธนาคารเวลล์ส ฟาร์โก ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเปิดเผยผลการตรวจสอบ stress test ในวันที่ 4 พ.ค.นี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับนายโดนัลด์ โคห์น รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มมีเสถียรภาพในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจากนั้นจะเริ่มดีดตัวขึ้นหลังจากตลาดการเงิน
ซึ่งตกอยู่ในภาวะเปราะบางมาโดยตลอดนั้น แข็งแรงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับที่เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ระยะแรกของการฟื้นตัว หลังจากเฟดอัดฉีดเม็ดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดการเงิน

หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเจพีมอร์แกนพุ่งขึ้น 9.6% หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 10.2% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ปิดบวก 4.7% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปิดบวก 4.8%

การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารช่วยชดเชยการร่วงลงของหุ้นโคคา-โคลา โดยหุ้นดังกล่าวดิ่งลง 2.8%
หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกลดลง 10% เนื่องจากการปรับโครงสร้างองค์กรและมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีที่ลดลง

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์
เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ ไปปิดที่ระดับ 46.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์บวกเพิ่ม 127.83 จุด ปิดที่ระดับ 7,969.56 จุด
แนสแดคปิดที่ระดับ 1,643.85 จุด เพิ่มขึ้น 35.64 จุด
และเอสแอนด์พี ปิดที่ระดับ 850.08 จุด เพิ่มขึ้น 17.69 จุด

ที่มา :สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

แนะเข้าเก็งกำไร

บล. ฟาร์อีสท์แนะเข้าเก็งกำไรหากดัชนีร่วงลงแตะ 459 จุด

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะนี้เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าการลงทุนระยะยาว เนื่องจากตลาดยังมีความเสี่ยงเพราะนักลงทุนต่างชาติยังมองว่าการเมืองไทยยัง มีเสถียรภาพค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้หุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวได้ในกรอบแคบ ๆ (Sideway) โดยแนะให้เข้าเก็งกำไรเมื่อดัชนีปรับลดลงมาแตะที่ระดับ 459 จุด เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีกแทบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการส่งออก การท่องเที่ยว และโรงแรม เป็นต้น หากมีการทยอยประกาศผลประกอบการ และขึ้นเครื่องหมาย XD

ในระยะนี้นักลงทุนรายย่อยเริ่มมีบทบาทในการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น โดยมีการใช้ข่าวการควบรวมกิจการของกลุ่มบมจ. ปตท. (PTT) คือ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) บมจ. ปตท. เคมิคอล (PTTCH) และบมจ. ไทยออยล์ (TOP) แม้ว่า Deal นี้อาจต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 เดือน จึงจะเห็นภาพการควบรวมกันชัดเจนก็ตาม ประกอบกับปัจจัยการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่ได้แย่ลงมากนัก ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจและกลับเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น

หุ้นที่มีการซื้อขายในระยะนี้ยังเป็นหุ้นในกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติและนัก ลงทุนสถาบันได้ขายออกมาอย่างหนักในช่วงก่อนหน้า ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นกลุ่มพลังงานอยู่ในระดับต่ำ และแทบจะไม่มีแรงขายออกมาอีก ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าตลาด แม้ว่าจะมีเงินลงทุนในหุ้นไม่มากนักก็ตาม

บล. ฟาร์อีสท์ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้น บมจ. แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) โดยมองว่าเป็นหุ้นที่ราคาซื้อขายในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงค่อนข้าง มาก


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดเพิ่มขึ้น 0.10 จุด หรือ 0.02% มาปิดที่ 466.38 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 14,886.30 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 280.48 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 636.00 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยในประเทศ ซื้อสุทธิ 916.47 ล้านบาท


- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th

โฟกัสหุ้นแบงก์!!

โฟกัสหุ้นแบงก์!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 21 เม.ย. 52 ปิดที่ 466.38 จุด เพิ่มขึ้น 0.10 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 14,886 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 634.61 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า หุ้นไทยปรับตัวลงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ
ขณะที่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นคาดว่า "ดัชนีมีโอกาสแกว่งตัว ขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ จากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมองว่าในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้าประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 500 จุด"

ทั้งนี้ แนะกลยุทธ์การลงทุนให้ถือและซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานด้านเทคนิคให้"แนวรับไว้ที่ 463 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 471 จุด "

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ไซรัสแนะ กลยุทธ์การลงทุนให้ขายทำกำไรและทยอยซื้อสะสมเมื่อดัชนีปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มการแพทย์และสื่อสาร"เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผล กระทบจากภาวะเศรษฐกิจ"

ปิดท้ายมีบทวิเคราะห์คำแนะนำหุ้น" BBL" หลังรายงานผลประกอบการ ไตรมาส 1 โดยส่วนใหญ่แนะ "ซื้อ" บล.เคจีไอให้ราคาพื้นฐาน 88 บาท เท่ากับดีบีเอสวิคเคอร์ส ส่วนยูไนเต็ดให้ราคาเป้าหมายสูงสุดถึง 99.60 บาท ตามด้วยเอเซียพลัส 96 บาท

ขณะที่เกียรตินาคินให้ราคาเหมาะสมเพียง 87 บาท ด้าน บล. ฟินันซ่า แนะเพียงถือให้ราคาเหมาะสม 84 บาท ส่วนกิมเอ็งให้ "เปลี่ยนตัวเล่น' ไปแบงก์อื่นคือ KBANK และ SCB

ส่วนหุ้น SCB ทุกโบรกฯแนะ"ซื้อ" โดยฟินันซ่าให้ราคาเหมาะสมสูงสุด 77 บาท ตามด้วยฟิลลิป 70 บาท, เคจีไอ 67.2 บาท, ยูไนเต็ด 66 บาท, กิมเอ็ง 62 บาท, เกียรตินาคิน ม 61.50 บาท
และดีบีเอสวิคเคอร์ส 58 บาท ส่วนเอเซียพลัสแนะถือให้ Fair value ที่ 56 บาท.


อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4