ยอดส่งออกเดือน มี.ค. ติดลบ 23.1% |
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า การส่งออกในเดือน มี.ค. มีมูลค่า 11,555 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง 23.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมสำคัญส่งออกลดลง 20.6%, สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญลดลง 21.6% และสินค้าอื่น ๆ ลดลง 32.0% โดยตัวเลขการส่งออกที่ลดลงเกิดจากราคาสินค้าที่ลดลง ขณะที่ปริมาณขายไม่ได้ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรพวกข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ซึ่งราคาลดลงค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่าการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 จากการใช้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และของตลาดโลก สำหรับการส่งออกในไตรมาส 1/2552 มีมูลค่า 33,787 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง 20.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมสำคัญส่งออกลดลง 19.2% สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญลดลง 17.9% และสินค้าอื่น ๆ ลดลง 32.6% ขณะที่การนำเข้าเดือน มี.ค. มีมูลค่า 9,454 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลดลง 35.1% โดยสินค้านำเข้าสำคัญปรับตัวลดลงทุกหมวด ประกอบด้วย - สินค้าเชื้อเพลิง ลดลง 40.2% - สินค้าทุน เครื่องจักร ส่วนประกอบ ลดลง 24.7% - สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ลดลง 43.2% - สินค้าอุปโภคบริโภค ลดลง 13.0% - สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ ลดลง 38.3% ส่งผลให้การนำเข้ารวม 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 26,732 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 37.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย - สินค้าเชื้อเพลิง ลดลง 50.1% - สินค้าทุน เครื่องจักร ส่วนประกอบ ลดลง 24.1% - สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ลดลง 44.5% - สินค้าอุปโภคบริโภค ลดลง 17.1% - สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง ลดลง 34.2% ตัวเลขการส่งออกที่ลดลงน้อยกว่าการนำเข้า ทำให้ไทยเกินดุลการค้าในเดือน มี.ค.อีก 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ไตรมาสแรกไทยเกินดุลถึง 7,054 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า ได้เตรียมเสนอมาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการส่งออกให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า โดยจะคืนภาษีชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าที่ผลิตในประเทศเพื่อส่งออก หรือภาษีมุมน้ำเงิน 3 – 5% ให้กับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่อุตสาหกรรมที่เหลือจะได้รับการคืนภาษี 2% นอกจากนี้ จะคืนภาษีให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อน เช่น เหล็กรีดร้อน และแบตเตอรี่ เป็นต้น ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะมีผลทันทีในไตรมาส 2 นางพรทิวายอมรับว่า การคืนภาษีดังกล่าวส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ 92,000 – 128,000 ล้านบาท แต่จะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 960,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวได้ 0-3% ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่ถ้าไม่มีมาตรการใดเข้ามาช่วยเหลือจะติดลบมากถึง 15% และเชื่อว่าจะช่วยผลักดัน GDP ให้ขยายตัวขึ้น 1-2% นางพรทิวาบอกอีกว่า ได้ขอร้องทางธนาคารต่าง ๆ ให้ความร่วมมือให้ผู้ส่งออกสามารถใช้บัตรภาษีมุมน้ำเงินชำระหนี้ให้กับ ธนาคารได้ ซึ่งธนาคารที่ร่วมมือจะสามารถนำเอาบัตรภาษีมุมน้ำเงินมาใช้หักภาษีที่ธนาคาร ต้องจ่ายกับภาครัฐได้ 50% ในปี 2553-2554 |