17 กรกฎาคม 2552

เศรษฐกิจจีนขยายตัวเพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจจีนขยายตัวเพิ่มขึ้น
จุดความหวังโลกฟื้นตัว



ปักกิ่ง 16 ก.ค.-เศรษฐกิจจีนไตรมาส 2 ของปีนี้ขยายตัวมากกว่าไตรมาสแรก อันเป็นผลจากการที่ทางการเพิ่มการใช้จ่ายและธนาคารเพิ่มการปล่อยสินเชื่อ ก่อให้เกิดความหวังว่าจีนจะช่วยนำพาเศรษฐกิจโลกให้พ้นจากภาวะถดถอยได้

ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในไตรมาส 2 ของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 7.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรก และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 7.5 ถือว่าขยายตัวมากที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจใหญ่ ส่วนยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากเดือนเดียวกันปีก่อน แม้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนออกตัวว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แต่รัฐบาลและเศรษฐกรหลายคนเชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ร้อยละ 8 ตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นเกณฑ์ต่ำสุดที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำหนดไว้เพื่อคงอัตราว่างงานไม่ให้เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจจีนขยายตัวหลังจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (ราว 20 ล้านล้านบาท) และส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อมากเป็นประวัติการณ์


สำนักข่าวไทย

ให้เลือกเล่นหุ้นบางตัว

ให้เลือกเล่นหุ้นบางตัว


สภาพตลาดหุ้นไทยโดยรวมยังแกว่งตัวตามดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีเข้ามาหนุนตามการคาดการณ์ว่าผลดำเนินงานใน Q2 จะยังออกมาดี แต่ด้วยเรามองว่าตั้งแต่กลางเดือนนี้ถึงปลายเดือนตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับความผันผวนในอีกหลายเรื่อง

อย่างผลการดำเนินงาน Q2 ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยออกในปลายอาทิตย์นี้หรือต้นอาทิตย์หน้า ยังออกมาชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับ Q1 จากฐานข้อมูลของ IBES ปรากฏว่าหุ้นใหญ่ในกลุ่มธนาคาร ผลดำเนินงานที่ออกมาจะต่ำกว่าใน Q1

นำโดย BBL ที่คาดว่าค่า EPS จะอยู่ที่ 2.29 เทียบ Q1 ที่ 2.55 บาท
KBANK คาดว่า EPS อยู่ที่ 1.29 เทียบ Q1 ที่ 1.59 บาท
SCB คาดว่า EPS จะอยู่ที่ 1.49 เทียบ Q1 ที่ 2.23 บาท
และ KTB ที่คาดว่า EPS จะอยู่ที่ 0.11 เทียบ Q1 ที่ 0.24 บาทต่อหุ้นตามลำดับ

หุ้นธนาคารที่กำไรจะออกมาดี ยังคงเป็นหุ้นเล็กอย่าง BAY SCIB และ TISCO

นอกจากผลกระทบจากการประกาศงบ Q2 ของธนาคารพาณิชย์แล้ว ความเสี่ยงยังอยู่ที่การประกาศงบ Q2 ของหุ้นสถาบันการเงิน และบริษัทยักษ์ใหญ่ในดาวโจนส์ ที่จะทยอยประกาศออกมาในปลายอาทิตย์นี้ จากฐานข้อมูลจาก IBES ปรากฏว่าจะมีเพียง IBM เท่านั้นที่กำไรออกมาสูงกว่าใน Q1 นอกนั้นลดลงหมด ประกอบด้วย JPM/GE/Citigroup/Bank of America ส่วน Morgan Stanley จะประกาศในวันที่ 22 มิ.ย. กำไรก็ลดลงเมื่อเทียบกับ Q1 จากตัวเลขการประมาณการของ Thomson ถึงผลดำเนินงาน Q2 ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ปรากฏว่าจะลดลงประมาณ -36% (Revised วันที่ 2 มิ.ย.) เทียบกับการประมาณการครั้งแรกที่ -32% (วันที่ 1 เม.ย.) กลุ่มที่กำไรถูกปรับลดลงมากที่สุดคือวัสดุ (Material) คือ -79% (จากเดิมที่ -63%) กลุ่มพลังงานลดลง-65% (จากเดิมที่-61%) กลุ่มสถาบันการเงิน ลดลง-52% (จากเดิมที่-40%) และสุดท้ายคือกลุ่มอุตสาหกรรมลดลง-42% (จากเดิมที่ -34%) ส่วนกลุ่มที่มีการปรับให้ดีขึ้นคือ กลุ่มสื่อสาร คือ -16% จากเดิมที่-21% แรงส่งตรงนี้เองที่ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าซื้อหุ้นกลุ่มสื่อสารทั่วโลก

จากภาพที่กล่าวมาข้างต้น เรามองว่าดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 น่าจะยังได้รับผลกระทบจากการประกาศผลดำเนินงานใน Q2 ที่จะออกมาไม่ดีกว่า Q1 ดังจะเห็นได้จากดัชนีดาวโจนส์ช่วงหลังๆ แกว่งตัวแคบลงทุกวัน ส่วนการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงหลังๆ แม้บางตัวเลขจะเริ่มดีขึ้น แต่ตลาดกลับไม่ให้ความสำคัญมากนัก โดยช่วงหลังๆ ตลาดดาวโจนส์จะให้ความสนใจกับตัวเลขการบริโภคกับการจ้างงานนอกภาคเกษตรเป็นพิเศษ ซึ่งสองตัวเลขนี้กลับยังไม่ดีขึ้นอย่างที่คาดไว้ ดังนั้นการดีดตัวกลับของดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ในช่วงที่ผ่านมาน่าจะมาจากเหตุผลของ เทคนิค ที่ดัชนีลงมาหลายวันแล้วดีดตัวกลับ

หากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้เริ่มเงียบและซึมลง การลงทุนก็จะกลับไปคึกคักในหุ้นเล็กและกลางที่พื้นฐานยังพอไปได้ แต่ยังมีแรงกดดันจากเหตุการณ์บางอย่าง โดยหุ้นที่เราเลือกมามีทั้งหมด 9 ตัว (ซึ่งเคยแนะนำไปแล้วทั้งหมด) จุดที่เลือกหุ้นเหล่านี้มาจาก

1.สภาพตลาดจะเริ่มเอื้ออำนวย

2.พื้นฐานทั้ง 9 ตัวจะเริ่มพื้นตัวดีขึ้นตามลำดับในครึ่งปีหลัง (TASCO/ESSO)

3.ผลดำเนินงาน Q2 เกือบทุกตัวมีกำไร

4.บางบริษัทได้ประโยชน์จากปัจจัยแวดล้อมอย่าง ราคาน้ำมันปรับตัวลง ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งขึ้น (TPIPL/THAI) ได้ประโยชน์จากการระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 (BGH/BH/BEC) หรือแม้แต่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือของภาครัฐ (THAI) หรือนโยบายของรัฐอย่าง 3จี (TRUE)

5.มีข่าวในบริษัท (SCIB) และ สุดท้ายราคาหุ้นในหลายๆ ตัวปรับตัวลงไปลึกมากนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. ถึงปัจจุบัน จนระดับราคาหุ้นในปัจจุบันเริ่มน่าสนใจอย่าง THAI/TRUE

จากทั้งหมด 10 บริษัท หุ้นที่ซื้อเพื่อการลงทุนมี 4 ตัว คือ BGH/BH/THAI/BEC ส่วนอีก 5 ตัว เล่นเก็งกำไร คือ TPIPL/TRUE/ SCIB/TASCO/ ESSO ราคาเป้าหมายทั้ง 5 ตัวอยู่ที่ 6.7/2.7/20/15.3/6.7 บาท ตามลำดับ

สำหรับในส่วนของ THAI แม้ราคาหุ้นจะยังถูกกดดันจากพื้นฐาน และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่หลังจากที่ DD คนใหม่เข้ามาทำงาน และออกมาตรการ โดยช่วงแรกผ่านการลดค่าใช้จ่าย และการโปรโมทการขายตั๋วในการเดินทาง แล้วหลังจากนั้นเราคงจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จุดดีของหุ้นสายการบินในช่วงที่เศรษฐกิจโลกค่อยๆ ฟื้นตัว เมื่อเทียบกับหุ้นขนส่งทางเรือ คือ ไม่มีข้อจำกัด เรื่องของ Supply กล่าวคือ แม้หุ้นเดินเรือจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจแต่สุดท้าย บรรดาหุ้นกองเรือ จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การเข้ามาของกองเรือใหม่ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางปีนี้ ถึงปีหน้า นั่นก็หมายถึง ค่าระวางจะไม่ขึ้นมากอย่างที่คิด


---------------------------------------------
ที่มา...บล.ซิกโก้ นักวิเคราะห์ เกียรติก้อง เดโช


หุ้นเดินเรือ!!

หุ้นเดินเรือ!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 16 ก.ค.52 ปิดที่ 582.74 จุด ลดลง 5.12 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 20,464.97 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,754.18 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด PTTAR ปิดที่ 17.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, PTT ปิดที่ 221 บาท ลดลง 2 บาท, TTA ปิดที่ 21.70 บาท ลดลง 0.40 บาท, BANPU ปิดที่ 312 บาท ลดลง 4 บาท และ PTTEP ปิดที่ 126 บาท ลดลง 1 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ชี้ว่าความกังวลของนักลงทุนจากประเด็นการเมือง หลัง กกต.มีมติชี้ขาดให้ 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จาก 28 คนขาดคุณสมบัติจากการเป็น ส.ส. กรณีถือครองหุ้นสัมปทานรัฐ ส่งผลให้ตลาดปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนเพราะมีผลถึงเสถียรภาพของรัฐบาลหลังจากนี้ และอาจกระทบบรรยากาศการลงทุนที่นักลงทุนต้องจับตาดูสถานการณ์ต่อจากนี้

ดังนั้นจึงมองทิศทางตลาดว่ามีโอกาสปรับตัวลงและเข้าใกล้การพักฐาน!!

แนะกลยุทธ์ ให้นักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นและรอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง ด้านเทคนิคดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบจุดต่ำสุดที่ 560 จุด แต่หากดัชนีดีดตัวขึ้นแนะให้ขายทำกำไร โดยแนวรับแต่ละระดับอยู่ที่ 580-575 จุด และ 570 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 590-597
จุด

ปิดท้าย หุ้นกลุ่มเดินเรือกลับมาดี๊ด๊าหลังดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ขยับขึ้น 227 จุด มาปิดที่ 3,324 จุด ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับมาแนะเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเดินเรือยกกลุ่ม โดยหุ้น TTA เป็นกัปตันนำทีม RCL และ PSL

นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส มองสัญญาณทางเทคนิคของ TTA-PSL-RCL ระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แนะกลยุทธ์ ให้เก็งกำไรได้ แต่ TTA ปรับขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จึงควรระมัดระวังแรงขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 21.50 บาท แนวต้าน 22.80 บาท และ 23.80 บาทแต่หากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับแนะให้ตัดใจขายตัดขาดทุน

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส คงน้ำหนักกลุ่มเดินเรือ "มากกว่าตลาด" และเลือก TTA เป็นหุ้น Top Pick โดยระบุว่า ดัชนี BDI เริ่มปรับตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อทดสอบที่ระดับ 4,000 จุด!!

อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4