24 มิถุนายน 2552

แอสคอน-เพาเวอร์ฯ คว้าสัญญา3 รถไฟฟ้าสายสีม่วง

แอสคอน-เพาเวอร์ฯ คว้าสัญญา3 รถไฟฟ้าสายสีม่วง




กลุ่มแอสคอน-เพาเวอร์ไลน์ ได้สัญญา 3 รถไฟฟ้าสีม่วงตามโผ เสนอต่ำสุด 6,399 ล้านบาท ส่วนสัญญาที่ 2 หลังตรวจสอบ ซิโน-ไทย คิดราคาผิดไป 6 ล้านบาท คาด 3 สัญญาไม่เกินกรอบวงเงิน ...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (23 มิ.ย.) ที่องค์การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คณะกรรมการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ได้เปิดซองราคาสัญญาที่ 3 ซึ่งเป็นงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีผู้ยื่นซองประกวดราคา รวม 5 ราย แต่ในวันเปิดซองคณะกรรมการประกวดราคา ซึ่งมีนายชัยสิทธิ์ คุรุรัตน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. เป็นประธานได้คืนซองราคา ให้กับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ไป เนื่องจากเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ 2 และ บริษัทดังกล่าวมีศักยภาพทำได้เพียงแค่ 1 สัญญา ทั้งนี้ในการเปิดซองปรากฏว่า ผู้ที่เสนอราคาต่ำที่สุดคือ กลุ่มพีเออาร์ จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท รวมนครก่อสร้าง (ประเทศไทย) จำกัด เสนอราคาที่ 6,399,670,000 บาท

บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 6,878,000,000 บาท กลุ่มซีเคทีซี จอยท์เวนเจอน์ ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตคิว คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 7,636,545,297 ล้านบาท และกลุ่มทาเคนากะ-ฤทธา จอยท์เวนเจอร์ ประกอบด้วย บริษัท ทาเคนากะ และบริษัท ฤทธา จำกัด เสนอราคา 8,809,643,017.06 บาท และเสนอเป็นเงินเยนอีก 2,972,905,396 บาท

นายชูเกียรติ โพธยานุวัตร ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า สำหรับสัญญาที่ 3 เมื่อได้ผู้เสนอราคาต่ำสุด แล้วจะไปตรวจสอบว่าราคาที่นำเสนอนั้นถูกต้องหรือไม่ และจะต่อรองราคากันต่อไป ทั้งนี้สัญญาที่ 3 มีราคากลางอยู่ที่ 5,962 ล้านบาท ส่วนสัญญาที่ 2 ซึ่งเป็นการก่อสร้างโครงสร้างฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สะพานพระนั่งเกล้า-คลองบางไผ่ (บางใหญ่) ซึ่งทางซิ-โนไทยเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดนั้น ปรากฏว่าเมื่อไปตรวจสอบราคา บริษัทได้คิดราคาผิดไปเล็กน้อยทำให้ราคาลดลงมาอยู่ที่ 15,314,000,000 บาท จากเดิมราคานำเสนออยู่ที่ 15,320,000,000 บาท ซึ่งกรรมการประกวดราคาจะต่อรองกับบริษัทดังกล่าวต่อไป คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์ น่าจะเรียบร้อย และส่งเรื่องให้ทางองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ได้

นายชูเกียรติ กล่าวว่า เชื่อว่าทั้ง 3 สัญญา คงจะไม่เกินกรอบวงเงินที่ ครม.อนุมัติไว้ที่ 36,055 ล้านบาทแน่นอน โดยจะพยายามต่อรองราคาสัญญาที่ 2 และ 3 ให้ลดลงให้มากที่สุด ส่วนเมื่อได้แล้วจะนำเสนอ ครม.ต่อไป ส่วนจะเสนอทีเดียวทั้ง 3 สัญญาหรือไม่ ยังไม่ทราบ แล้วแต่นโยบาย แต่หากเสนอได้ทีละสัญญา คาดว่าสัญญาแรกจะนำเสนอ ครม.ได้เดือนกรกฎาคมนี้และคาดว่าจะเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้


ตลาดหุ้นดิ่ง ค่าเงินบาทผันผวน

"ตลาดหุ้นดิ่ง ค่าเงินบาทผันผวน"

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2552 ในช่วงการซื้อขายของตลาดนิวยอร์กเมื่อวันจันทร์ ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับคาเงินสกุลหลัก เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์ในฐานะแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย หลังจากที่มีแถลงการณ์จากธนาคารโลก (World bank) ว่า ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเห็นได้จากรายงานแนวโน้มที่ซบเซาทางเศรษฐกิจของธนาคารโลก

โดยธนาคารโลกได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ประจำปี 2009 เช่น ยูโรโซน ได้มีการปรับลดการคาดการณ์จาก -2.7% เป็น -4.5% ประเทศญี่ปุ่น ปรับลดการคาดการณ์จาก -5.3% เป็น -6.3% ประเทศสหรัฐอเมริกา ปรับลดคาดการณ์จาก -2.4% เป็น -3%

ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาด นอกจากนี้นักลงทุนยังมุ่งความสนใจไปที่ผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.04 แสนล้านดอลาร์ในสัปดาห์นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ อาทิ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานยอดขายบ้านมือสองเดือนพฤษภาคม (23/6), กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านใหม่เดือนพฤษภาคม (24/6), กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (25/6), กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แท้จริงขั้นสุดท้ายประจำไตรมาส 1 (25/6) โดยคาดว่า จีดีพีสหรัฐจะติดลบ 5.7% ในไตรมาสแรก ปี 2009

ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์

ด้านการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันอังคาร (23/6) ที่ระดับ 34.15/17 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากระดับปิดวันจันทร์ (22/6) ที่ระดับ 34.15/16 บาท/ดอลลาร์ ในการซื้อขายระหว่างวันค่าเงินบาทมีการปรับตัวผันผวนโดยอ่อนค่าในช่วงเช้าจากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ จนไปแตะระดับ 34.13 อย่างไรก็ตามในช่วงบ่าย ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เนื่องจาก มีแรงขายดอลลาร์สหรัฐจากผู้ส่งออกอีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 34.16-34.21 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 34.13/15 บาท/ดอลลาร์


ตลาดยังรอดูผลการซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 ปี ครั้งแรกของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพุธนี้ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ภาคธนาคารปล่อยกู้อีกครั้ง และปรับลดต้นทุนในการกู้ยืมสำหรับภาคธนาคาร ภาคเอกชน และผู้บริโภค ทั้งนี้ตลอดทั้งวันคาเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1.3829-1.3939 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 1.3929/27 ดอลลาร์/ยูโร

อนึ่ง ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศมติการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินในวันพรุ่งนี้ (24/6) โดยคาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.25%


หุ้นไทยปิดร่วงลง 2.14%

หุ้นไทยปิดร่วงลง 2.14%
บล. ฟาร์อีสท์ชี้มีโอกาสแตะ 545 จุดได้ในสัปดาห์นี้

นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปัจจุบันนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติเริ่มมองว่า การปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่หุ้นเป็นขาลง (Bear Rally Market) เริ่มจบลงแล้ว ซึ่งจะทำให้หุ้นทั่วโลกเผชิญกับภาวะถดถอยที่แท้จริง ประกอบกับผลประกอบการที่ย่ำแย่ และราคาหุ้นที่เกินกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ยังมีโอกาสเห็นดัชนีดาวโจนส์และยุโรปปรับลดลงแตะจุดต่ำสุดเดิมในระดับเดียวกับเดือนมีนาคมได้อีกครั้ง ซึ่งหากบริษัทหลักทรัพย์เหล่านี้ยังมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็อาจทำให้หุ้นไทยฟื้นตัวได้ยากขึ้น

ทั้งนี้ หุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสปรับลดลงมาแตะที่ระดับ 545 จุดได้ หากหน่วยงานต่าง ๆ ได้ปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจลดลงอีก เพราะหากมองในแง่ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ดัชนีหุ้นไทยควรจะอยู่ที่ 480-500 จุดเท่านั้น

นายจักรกริชกล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เป็นสัดส่วนถึง 40% ของมูลค่าตลาดรวม จะทำให้ได้รับผลกระทบมากหากราคาน้ำมันดิบปรับลดลง เพราะจะมีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานของนักลงทุนต่างชาติออกมา แม้ว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาหนุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์บ้างก็ตาม แต่ก็มีสัดส่วนเพียง 18-20% ของมูลค่าตลาดรวมเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสำรวจและผลิต ถ่านหิน และโรงกลั่นน้ำมัน แต่หุ้นไทยเมื่อวานนี้ยังถือว่าดีกว่าภูมิภาค เนื่องจากยังได้รับผลดีจากการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้นยุโรปและดาวโจนส์ล่วงหน้า ทำให้ปิดร่วงลงไปเพียง 12 จุด เท่านั้น

สำหรับข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจ เช่น ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ ราคาบ้านในสหรัฐฯ ดีขึ้นเกินคาด ก็จะทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ดัชนีหุ้นยุโรป รวมถึงหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวขึ้นได้


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดร่วงลง 12.44 จุด หรือ 2.14% มาอยู่ที่ 569.85 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 16,832.62 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,139.39 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,079.97 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 3,219.36 ล้านบาท


ขายถือเงินสด!!




ขายถือเงินสด!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 23 มิ.ย.52 ปิดที่ 569.85 จุด ลดลง 12.44 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 16,832.62 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,076.00 ล้านบาท

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ มองแนวโน้มตลาดคาดว่าดัชนียังปรับฐานลงได้อีก โดยมีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับที่ 550 จุด ดังนั้นจึงแนะกลยุทธ์การลงทุน ให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรเพื่อถือเงินสด เพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนเนื่องจากตลาดยังไม่นิ่ง แต่หากนักลงทุนที่คันมือคันไม้ อยากเข้าซื้อขายในช่วงนี้ แนะให้โยกไปเล่นหุ้นขนาดเล็ก

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป คาดตลาดจะปรับตัวลงในกรอบแคบๆหลังลงแรง โดยแนะให้นักลงทุนรอดูปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่เชื่อว่าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

แนะกลยุทธ์การลงทุน ในช่วงที่ตลาดปรับฐานและหุ้นกลุ่มหลักๆถูกแรงเทขายออกมาต่อเนื่อง ดังนั้น ช่วงนี้จึงแนะให้นักลงทุนถือเงินสดไว้ก่อนเพื่อรอดูจังหวะในการเข้าซื้อ ทั้งนี้ ด้านเทคนิคให้แนวรับไว้ที่ 550 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 570 จุด

ขณะที่ราคาหุ้นใหญ่หุ้นดีพื้นฐานแจ๋วร่วงทั้งตลาด อดไม่ได้ที่จะเอา บทวิเคราะห์หุ้น TTA ที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันหลายสำนักวิเคราะห์ยังแนะให้เข้าซื้อทั้งเพื่อเก็งกำไรและเพื่อการลงทุน เผื่อให้นักลงทุนไว้ใช้เป็นข้อมูลในการหาตัดสินใจลงทุน

โดยบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส แนะนำ "ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น" หุ้นกลุ่มเดินเรือเทกอง คือ TTA และ PSL หลังดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) ปรับบวกขึ้น โดยฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัสคาดว่า จะปรับตัวขึ้นสู่ ระดับ 5,000 จุดได้ภายในสิ้นปี 2552 นี้

โดย TTA จะได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีค่าระวางเรือเทกองที่เป็นขาขึ้นอย่างเต็มที่ เนื่องจากรับรู้รายได้เป็น Spot rate มากถึง 70% ของรายได้รวม ขณะที่ PSL นั้น แม้จะได้รับปัจจัยบวกไม่เต็มที่ แต่ยังคงมีเงินปันผลที่น่าจูงใจต่อการซื้อสะสม

ส่วน บล.เคที ซีมิโก้ แนะ "ซื้อเก็งกำไร" TTA ให้มูลค่าพื้นฐาน 32.20 บาท โดยระบุว่า ช่วงเวลาที่เลวร้ายของผลการดำเนินงานผ่านพ้นไปแล้ว.

อินเด็กซ์ 51

วิบากกรรมหุ้นไทย

วิบากกรรมหุ้นไทย



หุ้นไทยยังไร้ทิศทาง หลังดัชนีฯ วานนี้(23 มิ.ย.) ร่วงกราว ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย หลังเวิลด์แบงก์คาดการณ์ ศก.โลกหดตัวหนักกว่าที่คาด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรง ฉุดหุ้น Big Cap บล. คันทรี่ กรุ๊ป คาดดัชนีฯ มีสิทธิปรับลดลงได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แถมการเมืองยังวุ่นวายไม่เลิก ประเมินแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 550 จุด ด้านบล.เคที ซีมิโก้ สั่ง หลีกเลี่ยง ส่วนบล.กสิกรไทย มองไตรมาส 4/52 หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว คาดมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวัน หลังรัฐฯ อัดฉีดงบหลายแสนล้านบาทกระตุ้นศก.ขณะที่ผู้บริหารบจ. มองศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมเรียกร้องภาคเอกชนหันมาลงทุน-สร้างงาน เพื่อสร้างความมั่นใจของประชาชน

ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (23 มิ.ย.52) บรรยากาศเข้าขั้นซบเซาตลอดทั้งวัน โดยดัชนีภาคเช้าปรับตัวลงหนักถึง 20.40 จุด เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่กังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่าจะติดลบ 2.9% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 1.7% ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันดิบและโลหะปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกว่า 200 จุด (คืนวันที่ 22 มิ.ย.ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วเอเชีย อีกทั้งยังมีของแถมจากความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองในประเทศเข้ามาสมทบ

ดัชนีฯ ที่ดิ่งแรงถึงเพียงนี้ ประเมินแล้วคงเป็นเพราะนักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยง ภายหลังจากที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกที่อาจจะมีการล่าช้าออกไป อย่างที่ทางญี่ปุ่นมองว่า เศรษฐกิจโลกไม่ได้มีการฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดกันไว้ พร้อมกับคาดการณ์ว่า นักลงทุนเริ่มลดความเสี่ยงในตลาดหุ้น โดยโยกเงินไปที่ตลาดพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยง และให้อัตราผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า ซึ่งมีการมองกันว่าราคาหุ้นของทุกตลาดทุนในขณะนี้ถือว่า ค่อนข้างแพงไปแล้วเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ส่วนเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอดูกันต่อไป ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดถึงทิศทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 (บางใหญ่-บางซื่อ) โดย กลุ่ม PAR Joint Venture ซึ่งมี บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง(PLE) และบมจ.แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON) รวมอยู่ด้วย เสนอราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ ที่ 6,399,670,000 ล้านบาท ซึ่งต่างมีความหวังว่าอาจจะมีแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ เข้ามา แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อดัชนีฯ แต่อย่างใดซึ่งแม้ในช่วงปิดตลาด ดัชนีฯ จะรีบาวน์ขึ้นมาได้ แต่ยังคงอยู่ในแดนลบ

โดยดัชนีหุ้นไทยวานนี้(23 มิ.ย.) ปิดตลาดที่ ระดับ 569.85 จุด ลดลง 12.44 จุด หรือ -2.14 % มูลค่าการซื้อขาย 16,832.62 ล้านบาท


***บล.คันทรี่ กรุ๊ป ทำนายหุ้นไทยดิ่งยาว 2 สัปดาห์

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลดลงได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ ประกอบกับได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมือง จึงทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจชะลอการลงทุนในช่วงนี้ออกไปก่อน

"สาเหตุหลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับลดลงในช่วงนี้ก็ คือ ปัจจัยทางการเมือง ก็ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจชะลอการลงทุนออกไปและก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย ซึ่งก็ประเมินแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 550 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และก็อสังหาฯ " นายรณกฤต กล่าว


***บล.เคที ซีมิโก้ แนะ หลีกเลี่ยง

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีซีมิโก้ เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคงไม่สดใสไปสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกประเทศ นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ยังคงส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

"ยังบอกไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะลงไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เพราะปัจจัยลบในต่างประเทศ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจปัญหาอะไรต่างๆ มากมายยังคงกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ ส่วนการเมืองในประเทศเรื่อง ส.ส. ถือหุ้นก็คงกระทบบ้าง แรงเขายก็ออกมามาก ตลาดหุ้นจึงไม่สดใส " นายเจริญ กล่าว

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสำหรับการลงทุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 550 จุด


***บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยฟื้นตัวQ4/52

นางสาวณัฐรินทร์ ปานทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย ประเมินว่าในไตรมาสที่ 4/52 ภาวะตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวันจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 14,000 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งแผนระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ที่มีเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทอีดฉีดเข้าไปในระบบ


***CPALL มองศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว

นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และไม่น่าจะเลวร้ายลง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หลังจากที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีมาตรการต่างๆ ออกมาก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ทำให้ประชาชนมีความตื่นตระหนกน้อยลง ขณะที่ภาคการเงินของประเทศไทยยังแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งประชาชนไทยมีการปรับตัวที่ดี โดยเอสเอ็มอี และภาคการผลิตได้มีการปรับตัวสูงตลอด ซึ่งการส่งออกก็เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาคเอกชนควรกล้าลงทุนและสร้างงานเพื่อสร้างความมั่นใจของประชาชน ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาลที่เม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปีเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนภาคเอกชนให้มีความมั่นใจมากขึ้นและส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญ


*** BEC คาด ศก.ครึ่งปีหลังฟื้น

นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงินบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC) กล่าวกับ eFinanceThai.com คาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2552 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ โดยน่าจะเป็นปัจจัยหนุนการลงทุน การจับจ่ายใช้สอย และการซื้อโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีแผนปรับขึ้นค่าโฆษณา เพราะเป็นช่วง Low Season จึงมองว่าไม่น่าจะใช้จังหวะที่เหมาะสม ซึ่งหากจะมีการปรับจริง บริษัทฯ จะมีการทบทวนในช่วงเดือน ส.ค. นี้


ที่มา:eFinanceThai

Template by - Abdul Munir | Blogging4