30 มิถุนายน 2552

น้ำมันดิบปิดพุ่ง $2.33

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX:
น้ำมันดิบปิดพุ่ง $2.33

หลังจีนประกาศเพิ่มน้ำมันในคลังสำรอง

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 71 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากรัฐบาลจีนประกาศว่าจะเพิ่มปริมาณน้ำมันในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ และจากข่าวที่ว่ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในไนจีเรียปิดแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ที่บริเวณชายฝั่งของไนจีเรีย

สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.33 ดอลลาร์ ปิดที่ 71.49 ดอลลาร์/บาร์เรล

ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.ค.ปิดบวก 6.13 เซนต์ ปิดที่ 1.9358 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ปิดบวก 5.32 เซนต์ ปิดที่ 1.7835 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 70.99 ดอลลาร์/บาร์เรล

ฟิล ไฟนน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท อลารอน เทรดดิ้ง ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า "สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนประกาศว่าจะเพิ่มปริมาณน้ำมันในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์อีก 60% ซึ่งคลังสำรองประเภทนี้แตกต่างจากคลังสำรองทั่วไปเพราะรัฐบาลต้องกักเก็บน้ำมันไว้ใช้ในยามที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและเหตุวินาศกรรม นักลงทุนมองว่าการที่จีนเตรียมเพิ่มน้ำมันในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์มากถึง 70% จะเป็นปัจจัยหนุนระยะยาวต่อตลาดน้ำมัน"

ภาวะการซื้อขายซื้อขายในตลาดน้ำมัน NYMEX คึกคักยิ่งขึ้นเมื่อนายพรีเชียส โอโคโลโบ โฆษกบริษัท เชลล์ ยืนยันว่ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนชาวไนจีเรียได้บุกโจมตีและปิดแท่นขุดเจาะน้ำมันบางส่วนของบริษัทที่บริเวณชายฝั่งไนจีเรีย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเหตุการณ์โจมจีแท่นขุดเจาะน้ำมันในไนจีเรียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ในทวีปแอฟริกา ปรับตัวลดลงไปแล้ว 25%

อย่างไรก็ตาม จิม ริทเทอร์บุช ประธานบริษัท ริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คาดการณ์ว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะเป็นเพียงสถานการณ์ในระยะสั้นๆ เนื่องจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับข้อมูลเศรษฐกิจ โดยเมื่อไม่นานมานี้ราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างหนักหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราว่างงานประจำเดือนมิ.ย.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอัตราว่างงานประจำเดือนมิ.ย.จะขยับขึ้น 0.2% แตะที่ 9.6% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี และคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.จะร่วงลง 350,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ที่ลดลง 345,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูพายุโซนร้อน หลังจากศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า มีโอกาสถึง 50% ที่กระแสลมฝั่งตะวันออกเหนือทะเลแคริบเบียนฝั่งตะวันตกระหว่างฮอนดูรัสและคิวบามีจะกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนในไม่ช้านี้ ซึ่งพายุโซนร้อนดังกล่าวจะมีชื่อว่า "อานา"

หุ้นร้อน

หุ้นร้อน

บมจ. บีอีซี เวิลด์:BEC


กดดันระยะสั้น

บมจ.อสมท(MCOT )เปิดเผยว่าสัญญาสัมปทานระหว่าง MCOT และ BEC นั้นกำลังจะหมดอายุลงในเดือนมี.ค. 2553 และ BEC มีต่ออายุสัญญาสัมปทานไปอีก 10 ปีถึงปี 2563 โดย

MCOT ได้จัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อเจรจาหาข้อสรุปในเรื่องการปรับอัตราค่าสัมปทานใหม่ เพราะ MCOT เห็นว่าค่าสัมปทานของ BEC ในปัจจุบันต่ำเกินไป

ในขณะที่ BEC โต้ว่าสัญญาสัมปทานดังกล่าวมีระยะยาวถึงปี 2563 ไม่ได้หมดสัญญาในปี 2553 และมีการกำหนดค่าสัมปทานรวมที่ 2,000 ล้านบาท ตามที่กำหนดไว้ในปี 2532 ทาง MCOT คาดว่าความชัดเจนเรื่องดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

กรณีเลวร้ายสุดคือ BEC จะต้องเสียส่วนแบ่งรายได้ 6.5% แต่ฝ่ายวิเคราะห์บล.เคจีไอ ฯ คาดว่าคงไม่เกิดขึ้น ขณะที่ตลาดกังวลว่าหาก BEC ต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มเท่ากับ 6.5% ของรายได้แทนอัตราคงที่ ซึ่งเป็นอัตราที่ MCOT คิดกับTrue Visions โดยมองว่าเป็นกรณีเลวร้ายสุด จากการปรับเพิ่มค่าสัมปทานในระดับต่างๆ หาก BEC ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้ MCOT ที่ 6.5% ของรายได้แล้วนั้น กำไรของ BEC จะได้รับผลกระทบ 10 % นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป และราคาเป้าหมายของ BEC จะลดลงเหลือ 20.17 บาท/หุ้น จาก 22.50 บาท/หุ้น ในขณะที่ MCOT จะได้ประโยชน์และราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 23.11 บาท/หุ้น จาก18.90 บาท/หุ้น

คงแนะนำ 'ซื้อ'หุ้นBEC โดยมีราคาเป้าหมายที่ 22.50 บาท คาดว่าข้อขัดแย้งดังกล่าวน่าจะจบลงด้วยดี เนื่องจากบริษัททั้งสองมีความสัมพันธ์ในการดำเนินงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน ปัญหาสัญญาสัมปทานที่ยืดเยื้อจะกดดันราคาหุ้นของ BEC ในระยะสั้น




ที่มา บล.เคจีไอฯ


บมจ.ปตท.PTT

ซื้อ: ราคาพื้นฐาน 285 บ.



ราคาหุ้น PTT ที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมานับเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ หุ้นน่าจะมีการปรับมูลค่าในอนาคตจากแนวโน้มกำไรที่แน่นอนในปีหน้า ด้านมูลค่า PTT ซื้อขายในระดับต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคที่ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี เรโช) 11.3 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.0% สำหรับปี 2552 เทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 13.5 เท่า และ 2.8% ตามลำดับ

เพื่อสะท้อนแนวโน้มที่สดใสในปีหน้า และการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้นบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ในช่วงที่ผ่านมาจึงเลื่อนไปใช้มูลค่าในปี 2553 แทนและปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 285 บาทจากเดิม 232 บาท คิดกลับเป็นราคาต่อมูลค่าตามบัญชี(PBV )1.5 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยระยะยาวของ PTT

มูลค่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติของ PTT ในปัจจุบันถือว่าถูก จากการวิเคราะห์รายธุรกิจของฝ่ายวิเคราะห์บล.บัวหลวงฯ ชี้ว่าที่ราคาหุ้นในปัจจุบัน ธุรกิจก๊าซธรรมชาติซื้อขายที่มูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่าย(EV/EBITDA )เพียง 2.3 เท่าและพี/อี 7.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย EV/EBITDA สูง/ต่ำสุดในระยะยาวที่ 5.6/3.2 เท่า และพี/อี กลุ่มไฟฟ้าไทยที่ 8.2 เท่าอยู่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจคาดว่าจะฟื้นตัวปีหน้า ธุรกิจก๊าซธรรมชาติจึงมีแนวโน้มที่ดี และอาจจะดีกว่าที่ประมาณการไว้ในปัจจุบัน

แนะนำ"ซื้อ"หุ้นPTT ให้ราคาเป้าหมาย 285 บาท



ที่มา บล.บัวหลวงฯ



บมจ. ทาทา สตีล : TSTH

ซื้อเมื่ออ่อนตัว

คาดผลประกอบการไตรมาส 1/53 (งวด เม.ย. - มิ.ย. 2552) ของTSTH จะยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 18 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ลดลงจากปีก่อนถึง 99% เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 1/53 คาดว่าจะลดลงเหลือ 17,000 บาท/ตัน เทียบกับ 17,800 บาท/ตัน ในไตรมาสก่อน

ผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลกประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ยุโรป ได้บรรลุข้อตกลงราคาสินแร่เหล็กใหม่กับบริษัท Rio Tinto ประเทศออสเตรเลีย สำหรับสัญญาระหว่าง เม.ย. 2552 - มี.ค. 2553 มีราคาปรับลดลง 33% ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กในจีนต้องการลดลงในระดับ 40-45% อย่างไรก็ตามคาดว่าในที่สุดประเทศจีนจะยอมรับราคาที่ปรับลดลงในระดับประมาณ 33% ซึ่งเป็นระดับที่ปรับลดลงน้อยกว่าราคาเหล็กที่ทรุดลงถึง 55-60% คาดแรงกดดันในด้านต้นทุนดังกล่าวจะผลักดันให้ราคาเหล็กค่อยๆฟื้นตัวต่อในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากประเทศหลักๆของโลกได้ออกมาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับไทยโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และ สายสีม่วง ที่จะเริ่มก่อสร้างในครึ่งปีหลังนี้ จะเพิ่มความต้องการเหล็กเท่ากับ 24,500 ตัน และ 163,300 ตัน ตามลำดับในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า

มองว่าหุ้น TSTH เป็นหุ้นที่มีศักยภาพจากเป็นผู้ผลิตเหล็กเส้นรายใหญ่สุดของประเทศ มีทั้งเตาหลอม และ โรงถลุงเหล็กขนาดย่อม ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 1.8 บาท/หุ้น จากเดิม 1.5 บาท/หุ้น แนะนำ "ซื้อเมื่ออ่อนตัว"



ที่มา บล.กิมเอ็งฯ



กูรูชูหุ้นแบงก์เด่นสุด

กูรูชูหุ้นแบงก์เด่นสุด

ปราชญ์หุ้นฟันธงกลุ่มแบงก์เสน่ห์เย้ายวนเหมาะลงทุนสุด รับอานิสงส์ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนลบ.หนุนสินเชื่อพุ่ง แถม CLSA ยกหุ้นแบงก์โดดเด่นที่สุดในรอบปีนี้ โบรกฯมอง SET Index ครึ่งปีหลังแตะ 630 จุด แนะถือคติขึ้นขายลงซื้อ ส่วนแนวโน้มเดือนก.ค.3 ปัจจัย งบแบงก์Q2/52-ตปท.-ราคาน้ำมันโลก ทรงอิทธิพลต่อ SET เล็งแนวต้าน640-660 จุด
พบกันเป็นประจำงานสัมนาประจำไตรมาสของ eFinanceThai.com รอบนี้เป็นการรวมตัวของผู้รู้ในตลาดหุ้นเพื่อระดมความเห็นในงานสัมมนา 'ลงทุนหุ้นกลุ่มไหน พลังงานหรือธนาคาร ได้ตังค์กว่ากัน'


***บล.กสิกรไทย ชูหุ้นแบงก์น่าสนกว่าหุ้นพลังงาน ชี้ KTB ได้ผลบวกเต็มๆ จากแผนกระตุ้นภาครัฐ

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา 'ลงทุนหุ้นกลุ่มไหน พลังงานหรือธนาคาร ได้ตังค์กว่ากัน' ของ eFinanceThai.comว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นพลังงาน เนื่องจากขณะนี้มีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในประเทศ ขณะที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน นักลงทุนต้องประเมินถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทั้งในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย รวมทั้งทิศทางราคาน้ำมัน โดยจากปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารจะได้เปรียบมากกว่า


'หากจะมองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารจะดีหรือไม่ดีคงต้องดูหลังจากมี พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 4 แสนล้านบาท รวมทั้งจากการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ซึ่งเชื่อว่าหากเม็ดเงินภาครัฐไม่พอก็ต้องมาขอกู้กับธนาคารพาณิชย์ เพราะฉะนั้นเม็ดเงินกู้ของธนาคารที่จะได้รับจากแบงก์ก็จะมีอย่างมหาศาล รวมทั้งหลังจากนี้สินเชื่อธนาคารจะโตขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย รวมถึงธนาคารกรุงเทพ และเชื่อว่าสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยปีหน้าจะโตได้ถึง 18% จากที่ปีนี้โต 3% อีกทั้งสินเชื่อที่กู้โดยภาครัฐไม่มีความเสี่ยง ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลดีต่อธนาคาร' นายกวี กล่าว

นายกวี กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเชื่อว่าธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นในครึ่งปีหลัง และตัวเลขเศรษฐกิจมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4/52 รวมทั้งตัวเลขการส่งออกจะเป็นบวกได้ เช่นกัน โดยจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ซึ่งจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น

นอกจากนี้ สิ่งที่จะสามารถตอบได้ว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าลงทุนกว่ากันนั้น อยู่ที่ช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาหุ้น 2 กลุ่มนี้จะมีทิศทางการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่สวนทางกัน และถูกแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานจะมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของโลกขณะนั้น ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนในประเทศเป็นหลัก

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้น KTB โดยมีมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 9.50 บาท และหากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น มองว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9.50-10 บาท นอกจากนี้ ในระยะยาวได้ให้น้ำหนักในหุ้นกลุ่มโรงแรมและยานยนต์ โดยมองว่าการลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวเป็นการฉวยจังหวะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส หลังปัจจุบันราคาหุ้นปรับลดลงมากกว่า 50% จึงแนะนำให้ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ดีนักลงทุนต้องศึกษาในการบริหารความเสี่ยง

ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงาน นักลงทุนจะสามารถเข้าไปลงทุนได้ในช่วงไตรมาสที่ 4/52 เนื่องจากเชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ดี แนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี จากที่ราคาของปิโตรเคมีอาจจะมีการปรับตัวลดลง

'แนวโน้ม Set Index ในครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแตะ 630 จุด เราไม่จำเป็นต้องรีบซื้อหุ้นพรุ่งนี้วันนี้ เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยพื้นฐานเข้ามารองรับมากขึ้นเรื่อยๆ การเก็งกำไรที่ดีต้องรู้จักขายให้ดี ต้องตั้งจุดขาดทุนไว้ เล่นแบบตัดขาดทุนจะบริหารความเสี่ยงได้ Q3/52 หุ้นจะ Side way เราก็เล่นแบบลงซื้อขึ้นขาย' นายกวี กล่าว


****บล.กิมเอ็ง หนุนหุ้นแบงก์น่าสนกว่าพลังงาน เหตุรับอานิสงส์ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนลบ.

นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมนาหัวข้อการลงทุน กลุ่มสถาบันการเงิน หรือ พลังงาน “ได้ตังค์มากกว่ากัน”ของ eFinanceThai.comว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ดีกว่าหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากกลุ่มธนาคารจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของภาครัฐ เพราะ รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งยังได้รับอานิสงส์จากการที่รัฐบาลออกพระราขกำหนด(พ.ร.ก.)เงินกู้ 4 แสนล้านและพระราชบัญัติ(พ.ร.บ.)เงินกู้อีก 4 แสนล้านบาทซึ่งเม็ดเงินดัง
กล่าวจะอัดฉีดเข้าสู่เข้าประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงได้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ และกลุ่มกองทุนสถาบันต่างๆ ซึ่งต่างกับหุ้นพลังงานจำเป็นต้องรอลุ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะออกไปในทิศทางใด

ส่วนหุ้นธนาคารที่น่าสนใจ อาทิ BBL, KTB โดยเฉพาะ KTB ซึ่งเป็นธนาคารที่มีโครงสร้างแข็งแกร่ง รองรับการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่และเป็นธนาคารรัฐ อย่างไรก็ตาม หากธนาคารตั้งสำรอง NPL ไว้สูงจะเป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากจะลดความวิตกกังวลของนักลงทุนได้ ส่วน BBL นั้นก็น่าสนใจ เนื่องจากโครงสร้างผู้บริหารของธนาคารอยู่ในเกณฑ์ดี มีการทำงานเป็นทีม และรองรับการปล่อยสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่ได้ โดยกำหนดราคาพื้นฐานของ BBL ไว้ที่ 100 บาท ส่วนราคาที่เหมาะสมสำหรับซื้ออยู่ที่ประมาณ 80 บาท ด้านหุ้นพร้อพเพอร์ตี้ อาทิ LH แนะซื้อราคาหุ้นประมาณ 4 บาทต้นๆ เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดยังมีสภาพคล่องที่ดี อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนสนใจหุ้นกลุ่มพลังงาน แนะนำให้ซื้อเมื่อราคาลดลงก่อน


**** CLSA ยกหุ้นแบงก์โดดเด่นที่สุดในรอบปีนี้

CLSA คาดการณ์ว่า หุ้นกลุ่มธนาคารของไทยซึ่งเป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในรอบปีนี้ อาจพุ่งขึ้นแข็งแกร่งต่อไปอีก เนื่องจากอัตราการปล่อยกู้ให้กับบุคคลและบริษัทขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้นได้ช่วยกระตุ้นผลประกอบการของธนาคาร นอกจากนี้ CLSA ยังคงน้ำหนักความน่าลงทุนของห้นกลุ่มธนาคารของไทยไว้ที่ระดับ “overweight" เพราะเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะช่วยกระตุ้นดีมานด์เงินกู้ให้เพิ่มขึ้นได้


"ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารของไทยไม่แพงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ธนาคารรายใหญ่ของไทยก็มีการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดซึ่งสามารถแข่งขันกับธนาคารต่างชาติได้" นายแอนดรูว์ สต็อทส์ นักวิเคราะห์ของ CLSA กล่าวกับบลูมเบิร์ก

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ CLSA แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย


****โบรกฯมองหุ้นไทยครึ่งปีหลังดัชนีฯมีโอกาสพุ่งแตะ 630 จุด

นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังมองว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้าน630 จุด แต่ความเคลื่อนไหวดัชนีฯจะผันผวน โดยไตรมาส3 มีแนวโน้มที่ดัชนีฯจะปรับตัวลดลง สู่แนวรับประมาณ 500จุด เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงมาก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัจจัยในประเทศที่กดดัน ส่วนที่ผ่านมา ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักมาจากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดฯ แต่ทั้งนี้มองว่าเม็ดเงินดังกล่าวไม่มีความยั่งยืน ดังนั้นจึงแนะนักลงทุนขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 630 จุด แล้วซื้อเมื่อดัชนีลดลง


“ มองว่าตลาดฯบ้านเรายังมีกรรมดีถึงไปได้ต่อ เพราะฉะนั้นนักลงทุนในไทยควรใช้เงินจากที่ต่างชาตินำมาลงทุนในตลาดฯให้เป็นประโยชน์ โดยการขายทิ้งเพื่อเอากำไรซะ โดยมองว่าหากดัชนีฯขึ้น 630 จุดก็ขายได้แล้ว” นายพงศ์พันธุ์ กล่าว


****บล.เคทีซีมีโก้ มอง SET Index มีโอกาสไหลลงในช่วง Q3/52

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีซีมิโก้ กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่ามีแนวโน้มที่จะค่อยๆปรับตัวลงในช่วงไตรมาส 3/52 เนื่องจากที่ผ่านมาดัชนีได้ปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวดีไปเรียบร้อยแล้วขณะเดียวกันยังคงไม่เห็นปัจจัยใหม่ที่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ดังนั้น จึงมีแนวโน้มสูงที่ดัชนีจะพักฐานลงสู่แนวรับแรกที่ 550 จุด และแนวรับถัดไปที่ 506 จุด ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/52 ตามการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 นี้เช่นกัน โดยประเมินเป้าหมายดัชนีปีนี้มีโอกาสขึ้นทดสอบบริเวณ 710 จุด


สำหรับกรณีที่รัฐบาลหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลซึ่งอาจผลักดันให้ผลตอบแทนจากพันธบัตรมีแนวโน้มสูงขึ้นนั้น ส่วนตัวมองว่าต้องขึ้นอยู่กับสมมุติฐานภาวะเศรษฐกิจเพราะถ้าหากในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะไตรมาส 4/52 เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นคาดดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นตามซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่าในกรณีนี้จะทำให้ผลตอบแทนจากหุ้นสูงกว่าตลาดพันธบัตรอย่างแน่นอน แม้ว่าในระยะสั้นจะมีการโยกเงินลงทุนไปลงทุนในตลาดพันธบัตรบ้างก็ตามแต่เชื่อจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 3/52 ที่ดัชนีปรับตัวลงมองสำหรับนักลงทุนระยะยาวเป็นจังหวะที่เหมาะแก่การเข้าไปซื้อหุ้น โดยเฉพาะ 3กลุ่มหลัก ได้แก่กลุ่ม พลังงานที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ,กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ผลประกอบการครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หากภาวะเศรษฐกิจฟืนตัวจริงก็จะส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL มีอัตราที่ลดลง ขณะเดียวกันธนาคารก็กล้าที่จะปล่อยกู้มากขึ้นเนื่องจากความเสี่ยงลดลง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นสามารถเข้าเก็งกำไรตามทิศทางตลาดหุ้นได้


****บล. เคจีไอชี้เดือนก.ค.3 ปัจจัย งบแบงก์Q2/52-ตปท.-ราคาน้ำมันโลก ทรงอิทธิพลต่อ SET เล็งแนวต้าน640-660 จุด

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด(มหาชน) ได้ออกบทวิเคราะห์ เดือนกรกฎาคม 2552 เปิดเผยว่า สามปัจจัยที่จะส่งผลให้ดัชนี SET ดีดขึ้นต่อเนื่อง หรือปรับลดลงได้แก่ (1) การรับรู้ผลกำไรไตรมาสสอง 2552 ของกลุ่มธนาคาร (2) นักลงทุนต่างชาติจะซื้อต่อเนื่อง หรือจะขายสุทธิออกมา และ (3) ราคาน้ำมันโลกว่าจะดีดขึ้นต่อเนื่อง หรือราคาน้ำมันจะลดลง ส่งผลให้แนวโน้มเดือนกรกฎาคม 2552 นี้ จะมีความผันผวนสูงคือปรับขึ้นแรงได้ หรือปรับลดลงแรงได้


กำไรต่อหุ้น SET ปี 2552 ประเมินอยู่ที่ 36.80 บาท ลดลงจาก 38.24 บาทในปี 2551 อยู่ราว 3.8% ณ ดัชนี SET ที่ 590.60 จุดนั้น คำนวณเป็นค่าพีอีได้ที่ 16.05 เท่า เบื้องต้น ประเมินกรอบดัชนี SET ในเดือนกรกฏาคม 2552 นี้มีกรอบบนและล่าง 2 เท่าคือ อาจดีดขึ้นอีกครั้งสู่ค่าพีอี 18 เท่าที่ 662 จุด หรืออาจปรับลดลงสู่ระดับค่าพีอี 14 เท่าที่ 515 จุดได้ โดยมีนัยค่าเฉลี่ยที่ 589 จุด ดัชนี SETที่ยืนเหนือ 589จุด จะทรงตัวทางขึ้นได้ และต่ำกว่า 589 จุด SET จะปรับลดลง

บทวิเคราะห์ระบุว่า ในปี 2552 ประเมินผลกำไรสุทธิรวมธนาคาร 6.76 หมื่นล้านบาท ลดลงจาก 2551 อยู่ 18.9% หรือเฉลี่ยต่อไตรมาสอยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านบาท หากผลกำไรไตรมาสสองของธนาคารที่จะประกาศ 17-21กรกฎาคม 2552 นี้รวมแล้วสูงกว่า 1.69 หมื่นล้านบาท จะถือว่าเป็นข่าวดี แต่หากลดลงต่ำกว่า 1.69หมื่นล้านบาท จะส่งผลลบต่อราคาหุ้นธนาคาร และส่งผลลบต่อตลาดโดยรวมได้

ทั้งนี้ทิศทางในเดือนก่อน ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ แต่ก็มีช่วงพักตัวลงได้ หลังจากการเกิด Divergence คาดว่าทิศทางในเดือนนี้ หากมีการพักฐานแล้วแต่ยังไม่อ่อนตัวลงต่ำกว่า 582 หรือ 569 จุด ทิศทางระยะสั้นเป็นการแกว่งตัวออกด้านข้างหรือปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มหลัก โดยมีแนวต้านรายเดือนที่บริเวณ 640, 660 จุด ส่วนการอ่อนตัวลงต่ำกว่า 569 จุด มีโอกาสสูงที่จะทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่า 561 จุด และมีแนวรับถัดไปที่บริเวณ 550 และ525 จุด ตามลำดับ

ส่วนแนวทางการลงทุน บทวิเคราะห์ระบุว่าจากทิศทางที่อยู่ในช่วงการพักฐาน เพื่อรอสัญญาณการแกว่งตัวขึ้นหรือลงให้ดูระดับดัชนีที่ 581 และ 569 จุด หากไม่อ่อนตัวลงต่ำกว่า ทิศทางระยะสั้นยังเป็นการแกว่งตัวขึ้นหรือแกว่งตัวออกด้านข้างตามสัญญาณระดับสัปดาห์แนะนำให้ซื้อตามหากยืนได้ที่แนวรับ ส่วนการอ่อนตัวลงต่ำกว่า 569 แนะนำให้ ขาย เพื่อรอดูการทดสอบบริเวณ 550 หรือ 525 จุด ว่าจะสามารถรองรับการปรับตัวลงได้หรือไม่

ประเมินแนวโน้มเดือนกรกฎาคม 2552 จะเป็นเดือนเริ่มต้นการรับรู้ผลกำไรไตรมาสสองของรายบริษัท เช่นนี้ อาจเห็นราคาหุ้นปรับขึ้นหรือปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตามความคาดหวังของผลประกอบการไตรมาสสอง 2552 ของรายบริษัทได้ กลยุทธ์เดือนกรกฎาคม 2552 นี้ เราแนะนำ “เลือกตัวขาย และเลือกตัวซื้อตามความคาดหวังของผลกำไรไตรมาสสอง”


****SSE-W1 ครองแชมป์หุ้นผลตอบแทนสูงสุดในครึ่งปีแรก ราคาพุ่ง 1,100%

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า หลักทรัพย์ 5 อันดับที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในครึ่งปีแรก (2 ม.ค.-26 มิ.ย.52) อันดับ 1 ได้แก่ ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSE-W1 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,100.00% อันดับ 2 บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 961.54%


อันดับ 3 ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC-W2 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 885.71% อันดับ 4 บริษัท ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSE ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 837.50% และอันดับ 5 บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ YNP ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 311.54%


**** THANI-W4 ควง N-PARK ครองแชมป์หุ้นผลตอบแทนต่ำสุดในช่วงครึ่งแรกปีนี้ราคาร่วง -80.00%

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า หลักทรัพย์ 5 อันดับที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดในครึ่งปีแรก (2 ม.ค.-26 มิ.ย.52) อันดับ 1 ได้แก่ ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI-W4 ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -80.00% อันดับ 2 บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) หรือ N-PARK ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -80.00%


อันดับ 3 บริษัท ตรังผลิตภัณฑ์อาหารทะเล จำกัด (มหาชน) หรือ TRS ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -73.44% อันดับ 4 ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND-W1 ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -66.67% และอันดับ 5 ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON-W2 ราคาหุ้นปรับตัวลดลง -66.00%



หุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย

หุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย
บล. กสิกรไทยคาดเกิดจากการทำ Window Dressing


นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล. กสิกรไทยประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วง 1-2 วันนี้ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการทำ Window Dressing แม้ว่าจะไม่มีปัจจัยบวกหรือลบเข้ามาใหม่ก็ตาม ซึ่งนักลงทุนยังควรระวังแรงขายทำกำไร เนื่องจากยังมีโอกาสปรับฐานได้ในไตรมาส 3/52 จากความกังวลว่าเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวเร็วและแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ดัชนียังมีสิทธิร่วงลงไปแตะที่ 550 จุดได้ และหากการปรับเพิ่มขึ้นในช่วงนี้เกิดขึ้นจากการทำ Window Dressing จริง หลังวันหยุดยาว ก็อาจทำให้มีแรงขายออกมากดดันให้ปรับลดลง ได้

นายกวีแนะนำว่า นักลงทุนควรตั้งจุดตัดขาดทุนเอาไว้ โดยนักเก็งกำไรก็ควรขายตัดขาดทุนออกมาหากดัชนีร่วงลงมาแตะที่จุดต่ำกว่า 590 จุด อย่างไรก็ตาม การลงทุนในระยะยาวก็ยังน่าสนใจ ซึ่งบล. กสิกรไทยได้ประเมินดัชนีหุ้นทั้งปีนี้ไว้ที่ 700 จุด ทำให้ผู้ที่ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีก็อาจถือไปก่อนก็ได้ โดยอาจเลือกลงทุนหุ้นปันผลสูง เช่น บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บมจ. อสมท (MCOT) และ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) เป็นต้น

สำหรับหุ้นธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ 20% หลังมีข่าวเรื่องการขายหุ้น จึงควรระมัดระวังหากเข้าลงทุน โดย บล. กสิกรไทยยังเชื่อว่า ยังต้องใช้เวลาอีกมากจึงจะบรรลุข้อตกลงได้ และหากราคาหุ้น SCIB ที่ถือไว้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ก็ควรขายทำกำไรออกมา เนื่องจากหากดัชนีหุ้นปรับฐานลงในไตรมาส 3/52 ก็จะทำให้ราคาหุ้น SCIB ปรับฐานตามไปด้วยเช่นกัน




ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดที่ 601.60 จุด เพิ่มขึ้น 5.80 จุด หรือ 0.97% ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 17,504.10 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 903.88 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 233.04 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยในประเทศ ขายสุทธิ 670.84 ล้านบาท



ดันราคาปิดงบ!!

ดันราคาปิดงบ!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 29 มิ.ย. 52 ปิดที่ 601.60 จุด เพิ่มขึ้น 5.80 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 17,504 ล้านบาท ขายสุทธิ 234.29 ล้านบาท

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟิลลิป มีแรงขายออกมาในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังค่าดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ออกมาโดยเฉพาะน้ำมัน ขณะที่ด้านเทคนิคดัชนีพยายามปรับขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 602 จุด แต่ไม่สามารถที่จะผ่านไปได้

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากการปิดงวดบัญชีของนักลงทุน สถาบันที่ดันราคาหุ้น (Window Dressing) เพื่อปิดงบการเงินงวดบัญชีไตรมาส 2

ขณะที่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่า มีโอกาสผันผวนต่อในแดนบวก แต่ระหว่างวันต้องระวังแรงขายทำกำไร เพราะมองว่า Upside ของตลาดแคบลง ขณะที่ตลาดหุ้นยังมีวันหยุดยาวรออยู่ จึงอาจเผชิญกับความเสี่ยงที่กองทุนจะเทขายหุ้นออกมาเพราะหมดรอบปิดงวดบัญชีแล้ว ซึ่งอาจทำให้ดัชนีเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของธนาคาร แห่งประเทศไทย เดือน พ.ค. แต่เชื่อว่าตัวเลขภาพรวมโดยรวมน่าจะทรงตัว รวมทั้งให้ติดตามดัชนีดาวโจนส์และตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯด้วย รวมถึงผลตอบแทนในการลงทุนพันธบัตร เพราะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้รอจังหวะซื้อหุ้นกลุ่มหลักๆในช่วงที่ดัชนีเข้าสู่ช่วงปรับฐาน ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 592-590 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 604-610 จุด

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน มองตลาดจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ เนื่องจากยังได้รับแรงหนุนจากการทำ Window Dressing เป็นหลัก แต่ด้านเทคนิคต้องจับตาดูว่าดัชนีจะยืนที่ระดับ 600 จุดได้หรือไม่ โดยหากดัชนีหลุด 600 จุด จะลงไปแกว่งตัวในกรอบ 593-590 จุด แต่หากดัชนียืนเหนือ 600 จุด ไปรอลุ้นต่อที่ 606-610 จุด

แนะกลยุทธ์ ให้นักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กรณีที่มีกระแสข่าวจากทำเนียบว่าสหรัฐฯจะออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 รวมถึงในวันที่ 1 ก.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ

ดังนั้น จึงแนะกลยุทธ์ให้นักลงทุนขายทำกำไร เนื่องจากดัชนีอาจปรับตัวลดหลังการทำ Window Dressing เสร็จสิ้น



อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4