27 สิงหาคม 2552

เศรษฐกิจมาเลเซียเข้าสู่ภาวะถดถอย

เศรษฐกิจมาเลเซียเข้าสู่ภาวะถดถอย



กัวลาลัมเปอร์ 26 ส.ค.- ธนาคารกลางมาเลเซียเปิดเผยว่า เศรษฐกิจมาเลเซียซึ่งพึ่งพาการส่งออกดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคแล้ว หลังจากหดตัวถึงร้อยละ 3.9 ในช่วงไตรมาสที่ 2 นับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2

ธนาคารกลางมาเลเซียระบุว่า เศรษฐกิจมาเลเซียกำลังได้รับผลกระทบจากภาคการส่งออกที่ซบเซา เนื่องจากความต้องการสินค้าลดลงอันเป็นผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ก่อนหน้านี้ ในช่วงไตรมาสแรก เศรษฐกิจมาเลเซียหดตัวถึงร้อยละ 6.2 นับเป็นการหดตัวครั้วแรกในรอบเกือบ 8 ปี
รัฐบาลมาเลเซียออกแถลงการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจมาเลเซียมีแนวโน้มหดตัวร้อยละ 4-5 ในปีนี้ เนื่องจากอุตสาหกรมการส่งออกและการผลิตดิ่งลงอย่างหนัก.


ภาคการผลิตสิงคโปร์พุ่งขึ้นในเดือนกรกฎาคม



สิงคโปร์ 26 ส.ค.- กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์แถลงว่า ภาคการผลิตของสิงคโปร์ทะยานขึ้นร้อยละ 12.4 เมื่อเดือน ก.ค.ในช่วงที่สิงคโปร์เริ่มฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง

กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ แถลงว่า ภาคเภสัชกรรมในเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้นถึง 139% จากปีก่อน ขณะที่ภาคอิเล็กทรอนิกส์ดิ่งลงร้อยละ 5.6 การทะยานขึ้นของภาคการผลิตแสดงว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์เริ่มเติบโตเป็นไตรมาส 2 ติดต่อกันในเดือน ก.ค. - ก.ย. ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ร้อยละ 20.7 ในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งนับเป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบปี


ที่มา:สำนักข่าวไทย

รถไฟฟ้าเดินหน้า-อสังหาฯ วิ่งฉิว

รถไฟฟ้าเดินหน้า-อสังหาฯ วิ่งฉิว

หุ้นอสังหาฯ ระเบิดรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) สัญญา 1 หลังรฟม. เซ็นสัญญาจ้างกับ CK ลุย ก่อสร้าง ปลิวขีดเส้นตายไม่เกิน 3 ปี คนกรุงฯ ได้ใช้แน่ วันนี้(27 ส.ค.) หุ้นบ้านที่ดิน รับเหมาฯ โหนกระแสกันเต็มเหนี่ยว ดาวเด่น CK-PF ใครไม่มีของเชยแหลก ฟากกูรูฟันธงยุคทองรับเหมาบังเกิดแน่ ปี 53-54




หลังจากที่การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง 23 กม. ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ผู้ที่ชนะการประมูลสัญญาที่ 1 หรือโครงสร้างทางยกระดับตะวันออกจากเตาปูน-สะพานพระนั่งเกล้า ระยะทาง 12 กม. ตกเป็นของกลุ่มซีเคทีซี จอยท์ เวนเจอร์ ซึ่งประกอบด้วย บมจ.ช.การช่าง(CK) และบริษัท โตคิว คอนสตรัคชั่น จากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นผู้ชนะการประมูล ด้วยราคา 14,292 ล้านบาท

กระทั่งวานนี้(26 ส.ค.52) ก็ได้ฤกษ์ที่ CK ต้องลงนามสัญญาว่าจ้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ) สัญญา 1 กับรฟม........

แน่นอนความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ ยังคงตอบรับกระแสข่าวดีนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาหุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC หากย้อนดูราคาหุ้น 3 วันทำการ(21 -26 ส.ค.52) ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.24 บาท หรือ 5.26% โดยคำนวณจากราคาปิดตลาด ณ วันที่ 21 ส.ค.52 ที่ 4.56 บาท และราคาปิดวานนี้(26 ส.ค.52) ที่ 4.80 บาท โดยมีราคาสูงสุดที่ 4.92 บาท ขณะที่ราคาหุ้น บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 6.47% โดยคำนวณจากราคาปิดตลาด ณ วันที่ 21 ส.ค.52 ที่ 2.78 บาท และราคาปิดวานนี้(26 ส.ค.52) ที่ 2.96 บาท โดยมีราคาสูงสุดที่ 3.02 บาท ส่วนบริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) หรือ CK ราคาหุ้นกลับเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยปิดตลาดวานนี้(26 ส.ค.52) ที่ 4.24 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือ-0.93% ราคาสูงสุดของวันอยู่ที่ 4.28 บาท

ตามติดด้วยกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับอานิสงส์ เช่นกันโดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีโครงการอยู่แล้วหรือเตรียมเปิดโครงการใหม่ในแถบเส้นทางรถไฟฟ้า โดยเฉพาะราคาหุ้น บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ที่ราคาหุ้นวานนี้(26 ส.ค.52) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 0.84 บาท หรือ 27.45% โดยราคาปิดตลาดอยู่ที่ 3.90 บาท

ด้านราคาหุ้น บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ปิดการซื้อขายวานนี้ที่ 5.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.85% มูลค่าการซื้อขาย 125.45 ล้านบาท และราคาหุ้น บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ปิดการซื้อขายวานนี้ที่ 6.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 3.10% มูลค่าการซื้อขาย 130.50 ล้านบาท



***รฟม. คาดกลุ่ม CK เริ่มสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 1 ภายใน 60 วัน


แหล่งข่าวจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดเผยกับ eFinance.Thai.com ว่า หลังการลงนามสัญญารถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 กับกลุ่ม CKTC joint Ventureในวันนี้ แล้ว คาดว่าภายใน 60วัน จะเริ่มก่อสร้างได้ ทั้งนี้ขั้นตอนภายหลังการลงนามสัญญา รฟม.จะต้องส่งหนังสือแจ้งให้กลุ่ม CKTC joint Venture ภายใน 30 วัน เพื่อแจ้งว่า กลุ่มดังกล่าวเตรียมพร้อมการก่อสร้าง ภายใน 30วัน และกำหนดวันที่จะเริ่มลงมือก่อสร้าง โดยกำหนดระยะเวลาก่อสร้าง 1,350 วันหรือประมาณ 3 ปี 7 เดือนนับจากวันที่เริ่มก่อสร้าง

อย่างไรก็ตามหากเกิดปัญหาการก่อสร้างล่าช้า หรือข้อพิพาทในอนาคต เหมือนกรณีหลายโครงการที่มีปัญหา ทางอัยการสูงสุดผู้ตรวจร่างสัญญา ได้ตั้งข้อสังเกตุไว้ โดยแนะนำให้ รฟม.ดำเนินการไม่ให้รัฐเสียประโยชน์

'ตอนนี้ยังไม่ได้มองถึงประเด็นนั้น แต่อัยการแนะนำให้ยึดหลักรัฐต้องไม่เสียประโยชน์' แหล่งข่าวกล่าว

ส่วนการลงนามสัญญารถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 2และ3 นั้น ขณะนี้ยังรอการตรวจสอบเอกสารจากทางไจก้า

ทั้งนี้รถไฟฟ้าสัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 3 กำลังรอผลการพิจารณาเงินกู้จากไจก้า โดยสัญญาที่ 2 เป็นโครงสร้างยกระดับส่วนตะวันตก จากสถานีสะพานพระนั่งเกล้า-สถานีคลองบางไผ่ และงานก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศใต้ของสะพานพระนั่งเกล้า ระยะทางรวม 11 กม. โดยมี บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)เป็นผู้ชนะการประมูล และสัญญาที่ 3 เป็นงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ ที่กลุ่มพีเออาร์จอยท์เวนเจอร์ ประกอบด้วย บมจ.แอสคอน คอนสตรัคชั่น(ASCON), บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง(PLE) และบริษัท รวมนครก่อสร้าง เป็นผู้ชนะการประมูล



*** ปลิว ลั่นโค้งสุดท้ายปีนี้ ทยอยรับรู้รายได้รถไฟฟ้าสีม่วง


นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ช.การช่าง (CK) เปิดเผย ภายหลังจากลงนามสัญญาว่าจ้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ) สัญญา 1 มูลค่า 14,292 ล้านบาท กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ว่า นับจากนี้ไปคาดว่าจะมีการโยกย้ายสาธารณูปโภคในเขตพื้นที่ ที่จะทำการก่อสร้างฯ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน และคาดการณ์ว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวประมาณไตรมาส 4/2552

สำหรับอัตรากำไรสุทธิของโครงการดังกล่าว ประเมินว่าจะไม่ถึง 5% ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่เกิน 80 ดอลล์/บาร์เรล หลังจากมีการต่อรองราคากับรฟม.ลงหลือ 14,292 ล้านบาท จากเดิม 16,700 ล้านบาท

นายปลิวกล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทได้มีการต่อรองราคาจำหน่ายสินค้ากับคู่ค้าหรือร้านค้า โดยตกลงที่จะขอล็อกราคาสินค้า เนื่องจากมีความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาวัสดุปรับตัวขึ้นตาม และคาดว่าจะสามารถล็อกราคาสินค้าได้นานถึง 2 ปี

อย่างไรก็ตามบริษัทจะใช้เวลาในการเร่งการก่อสร้างให้แล้วเสร็จไม่เกิน 3 ปี จากแผนการก่อสร้างที่ระบุไว้ในสัญญาฯ ที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1,350 วัน


***โบรกฯ แนะทยอยซื้อ CK


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า หลังจาก CK เซ็นสัญญาก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 แล้ว จะส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้ในปี 2553 นอกจากนี้ ในปีหน้ายังรับรู้รายได้จากยอดงานในมือ(Backlog) อีกส่วนหนึ่งที่สะสมจากปีก่อนด้วย รวมถึงโครงการน้ำงึม 2 นอกจากนี้บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาโครงการน้ำบาก 1-2 โดยคาดว่ามีโอกาสทราบผลในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งหาก CK ได้โครงการดังกล่า วจะส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นอีก 1.7 หมื่นล้านบาท สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ทยอยซื้อ โดยประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 5.76 บาท


***STEC เด่นสุดในกลุ่มรับเหมาฯ

สำหรับภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ประเมินว่า ผลประกอบการในปีนี้อาจไม่โดดเด่นมากนัก ซึ่งการรับรู้รายได้เป็นงานเก่าที่สะสมมามากกว่า แต่จะเริ่มเห็นภาพการเติบโตอย่างชัดเจนในช่วงปี 2553-2554 จากโครงการใหม่ๆที่เข้ามา ทั้งนี้ตัวเลขผลประกอบการที่เริ่มดีขึ้นในปีหน้านั้น ภายใต้สมมติฐานที่ราคาวัตถุดิบอย่าง ปูนซีเมนต์ เหล็ก ไม่ผันผวนมากนัก ทั้งนี้ในปีนี้มีโครงการขนาดใหญ่ค่อนข้างน้อย และการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน ทำให้งบประมาณภาครัฐยังไม่เห็นชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มรับเหมาฯ

ส่วนบริษัทผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มรับเหมาฯ ที่โดดเด่น ที่สุดของกลุ่มรับเหมาฯ คือ STEC ซึ่งสามารถรักษาระดับได้ดี เนื่องจากภาระทางการเงินค่อนข้างต่ำ ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นมีภาระทางการเงินสูง ทำให้กดดันต่อผลการดำเนินงาน กลยุทธ์แนะนำทยอยซื้อ STEC ให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 5.25 บาท


***กูรูหุ้นประเมิน บจ.กลุ่มรับเหมาฯ ที่ขาดทุนมีลุ้นพลิกเป็นกำไร

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือในปีนี้ของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ประเมินว่ามีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมางานก่อสร้างเริ่มขยายตัวในทิศทางที่ดี ประกอบกับงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้น หลังจากโครงการรถไฟฟ้าภาครัฐมีความคืบหน้า

" ประเมินว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่อย่าง CK,ITD,STEC,TTCL และขนาดกลาง SEAFCO ราคาหุ้นคงไม่มี New Low แล้ว บริษัทที่ขาดทุนอยู่ก็คงมีกำไรหรือที่มีกำไรอยู่แล้วก็คงมีกำไรเพิ่มมากขึ้นจึงแนะนำนักลงทุนซื้อ ส่วน CK ก็ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 4.60 บาท " นายชัย กล่าว


*** ประเมินรายได้ CK ปีนี้ 1.35 หมื่นลบ.

ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่าในปีนี้ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK จะรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ) สัญญา 1 ในสัดส่วน 7-8% ส่วนปี 2553 จะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวเข้ามาเต็มปี แต่ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในปีนี้คงไม่เติบโดดเด่นมากนัก แต่ที่ราคาหุ้นมีปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ เพราะได้รับปัจจัยบวกจากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งส่งผลบวกต่อจิตวิทยากการลงทุน

" ถ้าหากดูจากปัจจัยพื้นฐานหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ราคาหุ้นปรับขึ้นในช่วงนี้ เพราะโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้นักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไร เพราะคาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์ ส่วน CK เอง กอร์มาร์จิ้นปีนี้อาจจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะงานใหม่ที่รับเข้ามามีมาร์จิ้นดี แต่ก็ยังต่ำกว่าปีก่อน " แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว

ทั้งนี้ประเมินรายได้ของ CK ในปีนี้ไว้ที่ 13,500 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 490 ล้านบาท ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อ เพราะประเมินว่ายังมีปัจจัยบวกใหม่ๆ ทยอยเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 5.50 บาท/หุ้น



***โบรกฯ แนะซื้อ PF


บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ระบุว่าทางฝ่ายยังมีมุมมองที่สดใสต่อกำไรของ PF ในครึ่งปีหลัง โดยผู้บริหารคาดการณ์ยอดขายในไตรมาส 3/52 ที่ 1.5 พันล้านบาทและเพิ่มเป็น 2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/52 โดยเรามองว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงจาก 1) backlog ประมาณ 1.8 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้ในไตรมาส 3/52 ประมาณ 700 ล้านบาทและ 500 ล้านบาทในไตรมาส 4/52 2) การรับรู้รายได้ของโครงการ Master piece เอกมัย-รามอินทราจำนวน 300 ล้านบาทที่มีปัญหาในไตรมาส 2/52 และสามารถแก้ไขได้ในต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา 3) รายได้ทีจะรับรู้จากการเปิดโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการในไตรมาส 2/52 5) ยอดขายที่เข้ามาประมาณ 600-700 ล้านบาท/เดือน

นอกจากนี้เรายังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการพ้นจุดคุ้มทุนของบริษัท โดยเราประมาณกำไรสุทธิที่ 550 ล้านบาท ( EPS 0.7 บาท) ทั้งนี้การประมาณการของเรายังไม่รวมการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินเข้ามา สำหรับความคืบหน้าในการขายที่ดิน 400 ไร่( มูลค่า 900 ล้านบาท) ให้กับลูกค้ารายใหญ่ โดยคาดว่าจะเซ็นสัญญาและรับเงินมัดจำก้อนแรกประมาณ 180 ล้านบาทได้ในไตรมาส 3/52 นี้ นอกจากนี้ PF ยังมีแผนการพัฒนาโครงการต่อเนื่องบริเวณใกล้เคียง โดยที่ PF ยังมีที่ดินอีกกว่า 500 ไร่ในทำเลโดยรอบ และจากต้นทุนที่ดินที่ได้มาค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 2.25 ล้านบาท/ไร่) ทำให้เราเชื่อว่า PF จะมีกำไรขั้นต้นจากการขายที่ประมาณ 15-20% ซึ่งคิดเป็นเงินกว่า 180 ล้านบาท

ปัจจุบัน PF มี Land bank อีกประมาณ 2000 ไร่ซึ่งสามารถใช้พัฒนาโครงการได้ต่อเนื่องอีก 4 ปี ในขณะที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 0.95 เท่าต่ำกว่าข้อจำกัดของธนาคารที่ให้สินเชื่อที่ 1.75 เท่า และเมื่อขายที่ดินจำนวน 400 ไร่ได้จะทำให้กระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอีก ซึ่งทำให้เรามองถึงศักยภาพในการพัฒนาในอนาคตอีกมาก

ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 4.20 มี upside อีกถึง 37% ซึ่งปัจจุบันถือว่าราคาหุ้นยังถูกมากที่สุด โดยซื้อขายกันที่ PE เพียง 4 เท่าและที่ PBV ต่ำสุดในอุตสาหกรรมที่ 0.35 เท่าเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 8 เท่าและ 1.3 เท่าตามลำดับ ขณะที่การจ่ายเงินปันผลที่สูงถึง 12% 3) ศักภาพในการเติบโตจากที่ดินรอการพัฒนาและโครงการใกล้เคียงบริเวณที่ดินจำนวน 400 ไร่




Template by - Abdul Munir | Blogging4