03 กรกฎาคม 2552

ฉุดน้ำมันดิบปิดร่วง $2.58

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX:
วิตกตัวเลขจ้างงานสหรัฐ ฉุดน้ำมันดิบปิดร่วง $2.58


สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากตัวเลขจ้างงานที่ทรุดตัวลงอย่างหนักทั้งในสหรัฐและยุโรป ซึ่งข้อมูลจ้างงานที่อ่อนแอทำให้นักลงทุนกังวลว่าดีมานด์พลังงานจะหดตัวลงด้วย

สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 2.58 ดอลลาร์ หรือ 3.7% ปิดที่ 66.73 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 66.50-69.74 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 6.41 เซนต์ หรือ 3.63% ปิดที่ 1.7016 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 6.82 เซนต์ ปิดที่ 1.7908 ดอลลาร์/แกลลอน

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 2.14 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.65 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 66.33-69.19 ดอลลาร์

นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfar payroll) ร่วงลงเกินคาด 467,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี และบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงเผชิญภาวะตึงตัวเพราะถูกกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง

ตัวเลขจ้างงานทำสถิติร่วงลงเหนือความคาดหมาย โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.จะร่วงลง 365,000 ตำแหน่ง หลังจากดิ่งลง 345,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ขณะที่อัตราว่างงานมีแนวโน้มไต่ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 9.6%

ทอม โคลซา นักวิเคราะห์จาก Oil Price Information Service กล่าวว่า นักลงทุนยังคงเทขายสัญญาน้ำมันดิบเนื่องจากความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนแอเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเมื่อไม่นานมานี้เลขาธิการกลุ่มโอเปคคาดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 70-75 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับที่โกลด์แมน แซคส์คาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นอีก โดยโกลด์แมน แซคส์คาดว่าราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 85 ดอลลาร์/ บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 65 ดอลลาร์

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานลดลงเกินคาด 16,000 ราย แตะระดับ 614,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 27 มิ.ย.จากระดับ 630,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่ายอดสั่งซื้อของโรงงานในสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด 1.2% ในเดือนพ.ค.และเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ตลาดน้ำมัน NYMEX จะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 3 ก.ค.นี้ เนื่องในวันชาติสหรัฐ

ปักป้ายเตือนTIESเสี่ยงสูง

ปักป้ายเตือนTIESเสี่ยงสูง
*ส่อแววติด Turnover List วางเงินสด100%


วงการประสานเสียง ปักป้ายเตือน TIES แม่-ลูก เสี่ยงสูง แม้ช่วงที่ผ่านมาหุ้นบวกกระฉูด โดยเฉพาะตัวแม่ 41 วันทำการ พุ่งกว่า120% เหตุไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับมากนัก หนี้ระยะสั้นมาก แถมอาจอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องรับงาน จนกระทบผลการดำเนินงานในอนาคต นอกจากนี้ประเมินมีแนวโน้มเข้าข่าย Turnover List โดยลูกค้าต้องวางเงินสด 100% โดยใช้บัญชี Cash Balance ระบุหลายโบรกฯ เริ่มไหวตัวทัน เตือนลูกค้าหากรอบนี้โดน อาจทำให้ราคาหุ้นทั้งแม่-ลูก ซึมถึง 3 สัปดาห์ ขณะที่ผู้บริหาร ย้ำเป้ารายได้ปีนี้ที่ 1.3 พันลบ. ลั่น พร้อมทำกำไร ล้างขาดทุนสะสมประมาณ 250 ลบ. ก่อนจ่ายเงินปันผล พร้อมขอดูเกณฑ์ตลาดฯ วันนี้ หลังหุ้นแม่-ลูกดิ่งเหว

หลังจากวิ่งแรงมาอย่างต่อเนื่องสำหรับ หุ้นของบริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) (TIES) ในที่สุดวานนี้ (2 ก.ค.) ราคาหุ้น TIES ก็เริ่มอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดเจน รวมไปถึงหุ้น TIES-W1 ที่เพิ่งเข้ามาซื้อขาย เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมาด้วย ทั้งนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงติดฟลอร์นั้นสอดคล้องไปกับภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โดยรวมที่ปรับตัวลดลง แต่ประเด็นหลักอีกด้านก็คือข่าวที่ว่าตลาดหลักทรัพย์ จะกำหนดให้สมาชิกต้องให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อ (Cash Balance) รวมไปถึงเข้าตรวจสอบการซื้อขายหุ้นราคาหุ้นของ TIES ก่อนหน้านี้ จนส่งผลให้นักลงทุนเทขายออกมาอย่างหนัก อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากพื้นฐานและฐานะการเงินของ TIES ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน


ทั้งนี้ราคาหุ้น TIES ไต่ระดับเพิ่มขึ้นมาถึง 41 วันทำการ โดยคำนวนจากราคาปิดวันที่ 4 พ.ค. 52 ราคาหุ้น TIES อยู่ที่ 1.30 บาท จากนั้นปรับเพิ่มขึ้นมาสูงสุดในวันที่ 30 มิ.ย. 52 ราคาอยู่ที่ 2.88 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1.58 บาท หรือ121.54% โดยวานนี้ TIES ปรับตัวลดลงมาติดฟลอร์ และปิดที่ 1.94 บาท คิดเป็นลดลงจากวันที่ 30 มิ.ย. 0.94 บาท.หรือ 32.64% ส่วน TIES-W1 ภายหลังจากเข้าซื้อขายวันแรกวันที่ 30 มิ.ย. 52 ที่ผ่านมานั้นราคาก็ทะยานเพิ่มขึ้นมาปิดอยู่ที่ระดับ 2.20 บาท และถูกเทขายวันนี้จนติด Floor และปิดตลาดที่ 1.38 บาท คิดเป็นลดลง 0.82 บาท หรือ -37.27%




* Q1/52 กระแสเงินสดการดำเนินงานติดลบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบฐานะการเงินของบริษัทสิ้นสุด ณ ไตรมาสแรก ปี 2552 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.52 นั้นสินทรัพย์ของ TIES ณ วันที่ 31 มี.ค.52 มีสินทรัพย์หมุนเวียน 335.07 ล้านบาท มีลูกหนี้การค้าตามสัญญาก่อสร้างเพิ่มขึ้น 134.76 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 91.43 ล้านบาท ขณะที่รายได้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระไตรมาสแรกอยู่ที่ 173.76 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 91.43 ล้านบาท ส่วนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนไตรมาส 1/52 อยู่ที่ 699.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 640.20 ล้านบาท

ทั้งนี้หนี้สินหมุนเวียนในไตรมาส 1/52 รวมอยู่ที่ 641.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 573.80 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียนอยู่ที่ 320.19 ล้านบาท รวมแล้วหนี้สิน ณ สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 642.09 ล้านบาทน้อยกว่าสินทรัพย์รวม ณ สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 699.71 ล้านบาท

สำหรับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ TIES ณ ไตรมาส 1/52 ติดลบ 52.99 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/51 เป็นบวก 94.49 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสดจากการลงทุนไตรมาส 1/52 เป็นบวก 4.35 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/51 ติดลบ 7.94 แสนบาท กระแสเงินสดจากกิจกรรมการจัดหาเงินนั้นโดยรวมในไตรมาสแรกเป็นบวก 53.62 ล้านบาท โดยอัตราดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มเป็น 5.99 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 4.09 ล้านบาท เงินเบิกเกินบัญชีธนาคารและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็น 60.14 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ลดลงถึง 78.68 ล้านบาท โดยกระแสเงินสดสุทธิของ TIES ณ สินไตรมาสมาสแรกอยู่ที่ 2.39 แสนบาท

ณ สิ้นไตรมาสแรก TIES ขาดทุนสะสม 214.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 206.28 ล้านบาท ขณะที่ส่วนผู้ถือหุ้นยังเป้นบวกที่ 57.61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 65.93 ล้านบาท



* วงการ ฟันธง มีสิทธิ์ถูกเทรดเงินสด แนะเลี่ยงลงทุน

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า หากมองทางปัจจัยพื้นฐานของหุ้น TIES ขณะนี้ไม่มีปัจจัยอะไรรองรับมากนัก เนื่องจากพบว่ามีจำนวนหนี้สินระยะสั้นจำนวนมาก ซึ่งอาจอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีปัญหาในเรื่องการรับงาน โดยยังไม่สามารถประมูลงานใหม่ๆ อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคต

'หุ้นตัวนี้มีคนเล่นบ้าง เขาก็ซื้อๆ ลากขึ้นไปยาว แต่พอมีคนซื้อเยอะ ก็ต้องปรับตัวลงเป็นธรรมดา แต่เรื่องข่าวยังไม่มีเห็นมีอะไรใหม่ๆ' นายธวัชชัย กล่าว

ด้านนักวิเคราะห์เทคนิค บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น TIES ปรับลดลงแรงมาก นักลงทุนควรลดความเสี่ยงด้วยการหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้น TIES ในขณะนี้ ส่วนราคาหุ้น TIES-W1 สัญญาณเทคนิคก็ไม่ดีนัก หากสนใจเก็งกำไร แนะนำให้มีจุดตัดขาดทุน 1.37 บาท

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า ราคาหุ้นของ TIES และ TIES-W1 มีโอกาสที่จะเข้าข่ายติด Turnover List ซึ่งลูกค้าต้องวางเงินสด 100% ก่อนการซื้อหุ้นโดยใช้บัญชี Cash Balance เพราะจากประเมินเบื้องต้นจากปริมาณการซื้อขายและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่หวือหวา

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้คงต้องพิจาณาถึงฟรีโฟลททางตลาดหลักทรัพย์ เพราะหากเปลี่ยนแปลงอาจจะมีผลต่อการคำนวนในเรื่องของการติดTurnover List

ทั้งนี้ นักลงทุนควรขาย เพื่อลดความเสี่ยงไปก่อน ซึ่งหากไม่ติดเกณฑ์จริงแล้วค่อยพิจารณาอีกครั้ง เพราะราคาหุ้นอาจรีบาวน์ขึ้นมาได้

ขณะที่ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าวว่า หุ้น TIES และ TIES-W1 มีแนวโน้มที่จะเข้าข่าย Turnover List โดยลูกค้าต้องวางเงินสด 100% ก่อนการซื้อหุ้น โดยใช้บัญชี Cash Balance และจะทำให้ราคาหุ้นเริ่มอ่อนตัวลดลงไปต่อจากนี้อีกระยะ ซึ่งถ้าสังเกตจากวันนี้ น่าจะสะท้อนว่านักลงทุนพอที่ทราบข่าวหรือคาดการณ์ได้ว่าเข้าเกณฑ์ จึงทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงมาติด Floor ทั้ง แม่และลูก

"ถ้าดูจากราคาหุ้นวันนี้ ก็น่าจะบอกได้ว่าไม่รอด เพราะราคาดิ่งแรงมาก แต่เท่าที่ดู ก็พบว่าหลายโบรกฯ ก็ไหวตัวทัน แจ้งเตือนลูกค้าไปแล้ว ซึ่งหากรอบนี้โดน ก็น่าจะทำให้ทั้งแม่และลูก ซึมไปอีก 3 สัปดาห์ " นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าว


* บิ๊กTIES ย้ำพื้นฐานไม่เปลี่ยน ย้ำเป้ารายได้ 1.3 พันลบ.

ด้านนายธีรพล เต็มสุข กรรมการบริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TIES กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีที่ ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลงแรง ท่ามกลางกระแสข่าวตลาดหลักทรัพย์ กำหนดให้สมาชิกต้องให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อ(Cash Balance)และตลาดหลักทรัพย์เข้าตรวจสอบการซื้อขายหุ้น ว่า คงต้องดูเกณฑ์วันนี้ (3ก.ค.) จะมีการเปลี่ยนแปลงและใช้ฐานเปอร์เซ็นต์ในการคิดอย่างใด ซึ่งจะมีเกณฑ์ปกติอยู่แล้ว โดยในแง่ของบริษัทฯจะนำพาให้ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปให้ได้ เพื่อสร้างประโยชน์ แสวงหาผลกำไรให้กับบริษัทฯ

ส่วนกรณีการหรือตลาดหลักทรัพย์เข้าตรวจสอบการซื้อขายหุ้นว่า โดยทั่วไป บริษัทฯก็คุยกับตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว ซึ่งเวลามีข่าวหรือมีเรื่องก็จะโทรศัพท์พูดคุยกับตลาดหลักทรัพย์ตลอด ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ยังถือหุ้นเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้หุ้นTIES กระจายในวงกว้างหลังจากเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น

เขากล่าวว่า ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป้าหมายรายได้ไว้ที่ประมาณ 1.3 พันล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมีงานอยู่ในมือ 1.1 พันล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการทบทวนแผนงานต่างๆ หลังจากมีหลายสถาบันได้ประกาศเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างไรก็ตามบริษัทฯจะพยายามสร้างผลกำไร เพื่อล้างขาดทุนสะสมประมาณ 250 ล้านบาท จากนั้นจะได้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น


" ผลประกอบการครึ่งปีแรกปีนี้ ตอนนี้เพิ่งจะปิดงบการเงินครึ่งปี จึงยังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯก็ได้หยุดรับงานอันเป็นผลมาจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นแรง และภาวะเศรษฐกิจโลก ส่วนพันธมิตรทางธุรกิจนั้น ยังไม่ความคืบหน้า โดยจะต้องคำนึงถึงปัจจัยภายนอกประกอบการพิจารณา" นายธีรพล กล่าว



SGP คาดกำไรปีนี้โตเกิน 10%

"สยามแก๊ส" SGP คาดกำไรปีนี้โตเกิน 10%


สยามแก๊ส หวังผลงานทั้งปีโตมากกว่า10-15% ทั้งกำไรและรายได้ หลังเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีออเดอร์เข้ามา ผสมโรงกับช่วงครึ่งปีหลังยอดการใช้พลังงานพุ่งสูงขึ้น ส่วนแผนซื้อโรงงานแอลพีจีประเทศเวียดนาม คาดเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2552 ระบุใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาท


นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าทั้งรายได้และกำไรจะเติบโตมากกว่าเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 10-15% เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวและไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาด ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีคำสั่งซื้อแก๊สแอลพีจี เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในการดำเนินการผลิต

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีการเติบโตมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากประเทศในยุโรปและสหรัฐเริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าหนาว ส่งผลให้มีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น ขณะที่อุปทานพลังงานยังคงมีเท่าเดิมส่งผลให้ราคาน้ำมันและราคาแก๊สแอลพีจี ที่อ้างอิงราคาน้ำมันมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย ประกอบกับภาคการผลิตต่างๆ เริ่มเดินกำลังการผลิตมากขึ้นส่งผลให้ออเดอร์แอลพีจี มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

กรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดจะลอยตัวราคาแก๊สแอลพีจี เขาให้ความเห็นว่า ยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลควรมีการพิจารณาข้อดีและข้อเสีย โดยให้คณะกรรมการสำนักงานนโยบายและแผนธุรกิจพลังงานของกระทรวงพลังงานเพื่อนำมาเปรียบเทียบ

อย่างไรก็ตาม การที่จะลอยตัวราคาแอลพีจี ตามตลาดโลกจะต้องคำนึงถึงแก๊สแอลพีจี ที่ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตในประเทศ ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าการที่อ้างอิงราคาในตลาดโลกมีความเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้ หากมีการลอยตัวราคา จะส่งผลให้มีราคาขายสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นตามไปด้วย

สำหรับผลกระทบมองว่า ในเบื้องต้นอาจจะส่งผลให้ปริมาณการบริโภคแก๊สลดลง เนื่องจากมีราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวประชาชน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมจะหันมาบริโภคแก๊สแอลพีจี เนื่องจากราคาแอลพีจียังคงมีราคาถูกกว่าราคาน้ำมัน

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ยอดขายแก๊สในไตรมาส 2 ปี 2552 จะเติบโตจากไตรมาสก่อน 10-15% จากไตรมาสก่อนที่มียอดขาย 200,000 ตัน โดยปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนให้รายได้และกำไรในไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากบริษัทได้รับยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้คนหันมาใช้แก๊สทดแทนน้ำมันที่มีราคาแพง โดยเป็นการเติบโตจากภาคอุตสาหกรรมและภาครถยนต์ ประกอบกับภาคครัวเรือนที่ยังใช้แก๊สในชีวิตประจำวันเพื่อหุงต้ม ซึ่งยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยจะโตประมาณ 5% ต่อปี

เขากล่าวถึงความคืบหน้าการซื้อโรงงานแก๊สแอลพีจีและท่าเรือรวมถึงคลังแอลพีจี คาดว่าจะสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในไตรมาส 3 นี้ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวมาจากเงินทุนของบริษัท โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาถึงเรื่องกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการศึกษารายละเอียด

สำหรับสาเหตุที่เลือกลงทุนในประเทศเวียดนามเนื่องจากเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของปริมาณการใช้พลังงานสูง ประกอบกับมีจำนวนประชากรจำนวนมาก อีกทั้งยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี และมีการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากสังคมนิยมเป็นระบบทุนนิยม


ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 220 จุด

ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 220 จุด หลังอัตราว่างงานสูงสุดในรอบ 26 ปี

นิวยอร์ก 3 ก.ค.-ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่น่าผิดหวังของสหรัฐ
ฉุดให้ดัชนีหุ้นสหรัฐดิ่งลงกว่า 220 จุด ส่วนราคาน้ำมันดิบลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดิ่งลงอย่างหนัก จากข้อมูลกระทรวงแรงงานที่ระบุจำนวนแรงงาน
ในสหรัฐที่ถูกปลดออกจากงานในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 467,000 ตำแหน่ง
ฉุดให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นจาก 9.4% ในเดือนพฤษภาคม มาอยู่ที่ 9.5% สูงสุดในรอบ 26 ปี

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ดิ่งลง 2.58 ดอลลาร์สหรัฐ
ไปปิดที่ 66.73 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ต่ำที่สุดในรอบ 1 เดือน



ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 733.6 ล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 4 ต่อ 1
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 1.96 พันล้านหุ้น

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfar payroll) ร่วงลงเกินคาด 467,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.
และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี
และบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงเผชิญภาวะตึงตัวเพราะถูกกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิ.ย.
จะร่วงลง 365,000 ตำแหน่ง หลังจากดิ่งลง 345,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.
ขณะที่อัตราว่างงานมีแนวโน้มไต่ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 9.6%

คาร์ล ริกคาดอนน่า นักวิเคราะห์จากบล.ดอยช์ แบงก์ ซีเคียวริตี้ อิงค์ในนิวยอร์กกล่าวว่า
อัตราว่างงานจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดจ้างงานของสหรัฐดิ่งลงถึง 6.3 ล้านตำแหน่ง
นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนธ.ค.2551 ขณะที่รายได้พนักงานลดลง
ซึ่งส่งผลลบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของกำลังซื้อภาคครัวเรือน ด้านบริษัทเอกชนหลายแห่งต่าง
ปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม นโยบายการลดหย่อนภาษีและการจ่ายเงินประกันสังคมภายใต้แผน
กระตุ้นเศรษฐกิจนั้นได้ช่วยเพิ่มรายได้ประชาชนในไตรมาสที่แล้ว และยังมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อ
ภาคครัวเรือน ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นในเดือนพ.ค. โดยรายได้ประชาชนไต่ระดับ
ขึ้น 1.4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปี

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้น IBM ดิ่งลง 3%
ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วง 2% และถ่วงดัชนี Nasdaq ลงมากที่สุด

ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ดิ่งลงกว่า 3%
โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิลร่วง 3%
ขณะที่ดัชนี S&P หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 3.6%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 3 ก.ค.เนื่องในวันชาติสหรัฐ

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 8,280.74 จุด ลดลง 223.32 จุด หรือ 2.63%
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,796.52 จุด ลดลง 49.20 จุด หรือ 2.67%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 896.42 จุด ลดลง 26.91 จุด หรือ 2.91%

ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,234.27 จุด ลดลง 106.44 จุด หรือ 2.45%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 4,718.49 จุด ลดลง 186.95 จุด หรือ 3.81%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,116.41 จุด ลดลง 100.59 จุด หรือ 3.13%

ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 66.66 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 2.14 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 930.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ลดลง 10.30 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 930.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ลดลง 13.00 ดอลลาร์สหรัฐ

หุ้นไทยร่วง 1.85%

หุ้นไทยร่วง 1.85%
บล.ธนชาตชี้ยังเสี่ยงปรับฐานลงไปแตะที่ 560 จุด


นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับตัวลงค่อนข้างแรง ก็จะทำให้มีโอกาสเข้าลงทุนได้ในวันนี้ แต่เนื่องจากการที่มีวันหยุดยาวในช่วงสัปดาห์หน้า จะทำให้ดัชนีซึมตัวลงต่อไปได้ โดยนักลงทุนยังคงต้องติดตามดัชนีต่างประเทศ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรป ส่วนราคาน้ำมันที่ผันผวนก็จะกระทบหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมีด้วย ซึ่งในระยะนี้ถือเป็นเพียงช่วงต้นของเศรษฐกิจฟื้นตัวเท่านั้น ทำให้หากเศรษฐกิจยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนก็จะเกิดแรงเทขายทำกำไรออกมาได้อีกเป็นระยะ

บล. ธนชาตมองว่า ดัชนีหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับฐานลงมาแตะที่ระดับ 560 จุดได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการทยอยซื้อหุ้นที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมที่โดดเด่น เช่น กลุ่มพลังงาน อาทิ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. บ้านปู (BANPU) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น บมจ. ซีพีออลล์ (CPALL) เป็นต้น




ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดร่วงลง 586.42 จุด ลดลง 11.06 จุด หรือ 1.85% ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 18,683.98 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,869.17 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 688.64 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 1,180.53 ล้านบาท




กังวล!!

กังวล!!


ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ก.ค.52 ปิดที่ 586.42 จุด ลดลง 11.06 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 18,361.88 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 694.10 ล้านบาท

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด PTT ปิดที่ 229.00 บาท ลดลง 5.00 บาท, SCB ปิดที่ 69.50 บาท ลดลง 3.75 บาท, PTTEP ปิดที่ 129.00 บาท ลดลง 4.50 บาท, BANPU ปิดที่ 232.00 บาท ลดลง 12.00 บาท และ KBANK ปิดที่ 65.00 บาท ลดลง 1.25 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็งชี้ว่า ตลาดหุ้นทรุดตัวลงเพราะนักลงทุนเริ่มกังวลกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบางสูง ทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น แม้จะมีเม็ดเงินลงทุนได้ไหลเข้ามาในเอเชียแล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าทิศทางเศรษฐกิจหลังจากนี้จะเป็นไปอย่างไร แม้จะเชื่อว่าได้ผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว

มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่ามีโอกาสปรับตัวลงได้ต่อ ทั้งนี้ยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเชื่อว่ากลุ่มปิโตรเคมีและสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะมีแนวโน้มดีเพราะราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ส่วนแบงก์แนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดูดีเพราะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ช่วงนี้แนะให้ชะลอการลงทุน ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 585-565 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 595-610 จุด

บล.ฟินันซ่ามองแนวโน้มตลาดคาดว่า ดัชนีจะปรับตัวลงต่อ แต่ไม่น่าลงแรง แนะกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะสั้น ให้ขายทำกำไรเมื่อดัชนีดีดตัวขึ้น ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะให้เก็บหุ้นพื้นฐานดีที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งหุ้นแบงก์, รับเหมา และวัสดุก่อสร้าง

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับอยู่ที่ 580 จุด ส่วนแนวต้าน 595 จุด.


อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4