11 มิถุนายน 2552

ชี้เทรน"ดอกเบี้ยขึ้น"ชัดไตรมาส4

ชี้เทรน"ดอกเบี้ยขึ้น"ชัดไตรมาส4


แบงก์ยันดอกเบี้ยยังไม่ผงกหัว ขึ้นเงินฝากแค่แข่งขัน เชื่อแผนกู้ 4 แสนล้านไม่กระทบสภาพคล่อง ด้านนักวิเคราะห์คาด ถ้าการกู้เงินและลงทุนภาครัฐเป็นไปตามแผนมีโอกาสเห็นแบงก์รุมแย่งเงินฝาก

หลังจากเป็นผู้นำลดดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว ธนาคารกรุงเทพก็สร้างปรากฏการณ์ในตลาดด้วยการประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ อายุ 12 เดือน 0.25% สำหรับวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท ได้ดอกเบี้ย 1.00% ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่รายอื่นปรับขึ้นตาม อาทิ กสิกรไทยที่ปรับเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากอายุ 12-36 เดือน 0.25-0.50%

อย่างไรก็ตาม นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ได้เป็นการแสดงสัญญาณว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดจะสูงขึ้นแต่เป็นเรื่องการแข่งขัน เพราะที่ผ่านมาดอกเบี้ยเงินฝากได้ปรับลดไปมาก ทำให้ผู้ฝากเริ่มหันไปสนใจผลิตภัณฑ์การออมประเภทอื่นมากขึ้นจึงต้องปรับเพิ่มดอกเบี้ยฝากระยะยาวกันไม่ให้เงินไหลออก






"การขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อธนาคาร เพราะเลือกปรับเพิ่มเฉพาะเงินฝากระยะยาวและเงินฝากผู้สูงอายุเท่านั้น ส่วนเรื่องสภาพคล่องในระบบ ขณะนี้ยังมีเหลืออยู่มากเพราะปล่อยสินเชื่อได้น้อย จึงมีแนวโน้มที่ภาครัฐจะเข้ามากู้ได้มากขึ้น หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาทไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ" นายประสารกล่าว

ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ในส่วนของกรุงไทยยังไม่มีการพิจารณาปรับดอกเบี้ยในตอนนี้ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารอื่นปรับขึ้นไปนั้นเป็นระดับเดียวกับดอกเบี้ยของกรุงไทย

นายณาศิส ประเสริฐสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งยังไม่ใช่สัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์ดอกเบี้ย และเชื่อจะไม่กระทบผลการดำเนินงานในระยะสั้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว อย่างไรก็ตามสาเหตุการขึ้นดอกเบี้ยคาดว่าเป็นผลจากความต้องการระดมเงินบางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ส่วนใหญ่เป็นระยะยาว

"ในระยะสั้นไม่น่าเห็นดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทาง แต่ถ้าการกู้และลงทุนของภาครัฐดำเนินไปตามแผนและเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัว แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่แบงก์อาจขยับขึ้น ดอกเบี้ยเงินฝากอย่างมีนัยในไตรมาสสุดท้ายเพื่อดึงเงินฝากเข้าสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ" นายณาศิสกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้เงินฝากในระบบยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (ดูตารางประกอบ) โดยทั้งระบบเพิ่มขึ้น 1.7% หรือ 103,183 ล้านบาท โดยธนาคารกรุงไทยเพิ่มขึ้นสูงสุด 9.66 หมื่นล้านบาท หรือ 9.1% ขณะที่ธนาคาร กสิกรไทยลดลงมากสุด 78,824 ล้านบาท หรือลดลง 8.1%



หุ้นสหรัฐปิดลบหวั่นเรื่องดอกเบี้ย

หุ้นสหรัฐปิดลบหวั่นเรื่องดอกเบี้ย
น้ำมันดิบพุ่งทะลุ 71 ดอลลาร์สหรัฐ

นิวยอร์ก 11 มิ.ย.-ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงจากความหวาดวิตกเรื่องอัตราดอกเบี้ย
ส่วนราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุ 71 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีเคลื่อนไหวเบาบางในแดนลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
หลังจากรัฐบาลประกาศขายพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีด้วยมูลค่า 19,000 ล้านบาท
ทำให้เกรงว่าอาจมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หรือกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อ

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.22 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 1,635 ต่อ 1,376
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด 2.35 พันล้านหุ้น

เจฟฟรีย์ แฟรงเคล ประธานบริษัท Stuart Frankel & Co กล่าวว่า
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
เปิดเผยรายงาน Beige Book ซึ่งระบุว่าเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคฟื้นตัวขึ้นปานกลาง
โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่ารัฐบาลสหรัฐได้นำพันธบัตรประเภท 10 มูลค่ารวม
1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ออกประมูลขายและมีผู้ซื้อจำนวนมาก ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิด
ความกังวลว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งขึ้นอาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

"ภาวะเงินเฟ้อที่ส่อเค้าว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ใน
ระดับสูงนั้น อาจกดดันเฟดให้ขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายและจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าลง"
แฟรงเคลกล่าว

กระแสความวิตกกังวลเรื่องดอกเบี้ยได้ฉุดหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย รวมถึง
หุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้านและกลุ่มการเงิน ร่วงลงโดยดัชนีดาวโจนส์กลุ่มก่อสร้างบ้านร่วงลง
1.5% และดัชนี S&P หุ้นกลุ่มการเงินลดลง 1.6%

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 71 ดอลลาร์ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
โดยหุ้นอ็กซอน โมบิลบวก 1% และเป็นปัจจัยสำคัญที่พยุงดาวโจนส์ไม่ให้ติดลบมากนัก

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ พุ่งทะยานแตะ 71.79 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
สูงสุดตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนขยับลงมาปิดที่ 71.33 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
เพิ่มขึ้นจากวานนี้ 1.32 ดอลลาร์สหรฐ

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 8,739.02 จุด ลดลง 24.04 จุด หรือ 0.27%
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,853.08 จุด ลดลง 7.05 จุด หรือ 0.38%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 939.15 จุด ลดลง 3.28 จุด หรือ 0.35%

ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,436.75 จุด ปรับขึ้น 31.96 จุด หรือ 0.73%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,051.18 จุด ปรับขึ้น 53.32 จุด หรือ 1.07%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,315.27 จุด ปรับขึ้น 18.54 จุด หรือ 0.56%

ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 70.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้น 1.58 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 954.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 953.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ลดลง 3.05 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เงินท่วมหุ้นเอเชีย!!

เงินท่วมหุ้นเอเชีย!!

ดัชนีหุ้นวันที่ 10 มิ.ย.52 ปิดที่ 624.55 จุด เพิ่มขึ้น 16.82 จุด มีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 33,339 ล้านบาท

ต่างชาติซื้อสุทธิจิ๊บๆ 389.86 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศทุ่มซื้อสุทธิ 2,670.37 ล้านบาท ส่วนรายย่อยไทยชิงขายทำกำไร 3,060.24 ล้านบาท

หุ้นกลุ่มหลักเขียวพรืดทั้งกระดาน นำโดยหุ้นแบงก์และพลังงาน โดดเด่นปรับตัวขึ้นแรงหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งกระฉูดมายืนเหนือระดับ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรลแล้ว

ขณะที่เงินทุนยังคงไหลทะลักเข้าตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งไทย ว่ากันว่ายังมีเม็ดเงินอีกจำนวนมหาศาลที่ยังสามารถไหลออกจากสหรัฐฯเพื่อกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาค ทำให้ตลาดหุ้นทั่วทั้งเอเชียยังคงทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงได้ทุกตลาด ขณะที่หุ้นยุโรปและสหรัฐฯก็ไม่น้อยหน้า

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวงมองทิศทางตลาดยังไปได้ต่อตามสัญญาณของดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าที่ยังปรับตัวขึ้นชี้นำทาง แต่ยังคงต้องติดตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและค่าเงินบาท

แนะกลยุทธ์ ให้ถือหุ้นพลังงานต่อ และหากราคาอ่อนตัวลงให้หาจังหวะเข้าซื้อเพิ่ม

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.คันทรี่กรุ๊ปคาดตลาดอาจจะพักตัวลงระยะสั้นเพื่อปรับฐานก่อนจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะกลยุทธ์ ให้เก็งกำไรหุ้นกลุ่มเดินเรือ พลังงาน และแบงก์ เพราะยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกตามทิศทางราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

ส่วนการเปิดซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 2 วันที่ 11 มิ.ย. ที่จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมานั้น แนะให้เก็งกำไรอย่างระมัดระวัง เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นนำหน้าไปมากแล้ว

นักวิเคราะห์ บล.สินเอเซียระบุว่า ตามสัญญาณทางเทคนิคราคาหุ้น ITDมีแนวโน้มดีโดยสัญญาณระยะสั้นและกลางมีโอกาสฟื้นตัวได้ จึงแนะซื้อ ประเมินแนวต้านไว้ที่ 3.70 บาท แนวรับ 3.30 บาท

ส่วน STEC และ CK ทรงตัวอยู่ในแนวโน้มบวก จึงแนะซื้อเก็งกำไร ให้แนวต้าน CK ไว้ที่ 4.48 บาท แนวรับที่ 3.28 บาท ส่วน STEC ให้แนวต้าน 4.50 บาท แนวรับ 4.30 บาท

ขณะที่มีข่าวผู้บริหาร CK ออกมาแสดงความมั่นใจว่า จะชนะประมูลสัญญา 2 หลังคว้าสัญญาที่ 1 ไปแล้ว!!


อินเด็กซ์ 51


หุ้นไทยปิดพุ่ง 2.77%

หุ้นไทยปิดพุ่ง 2.77%
บล. เคทีซีมิโก้ให้กรอบแนวต้านวันนี้ที่ 630 – 642 จุด

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีซีมิโก้ กล่าวว่า จากการประเมินสภาวะตลาดในขณะนี้ พบว่านักลงทุนยังมีโอกาสเข้าลงทุนได้ แม้ว่าหุ้นบางตัวจะปรับเพิ่มขึ้นไปบ้างแล้วเพราะยังมีการหมุนเวียนลงทุนในหุ้นกลุ่มที่แตกต่างกันไป ซึ่งจากเม็ดเงินต่างชาติที่ยังไหลเข้ามา ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีกได้ เช่น ธนาคาร พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และ ไอซีที ซึ่งเป็นหุ้นที่นำตลาด แต่ก็ต้องเลือกลงทุนหุ้นที่ยังได้รับความนิยม โดยให้แนวต้านของวันนี้ไว้ที่ 630-642 จุด และให้แนวรับไว้ที่ 600 จุด พร้อมแนะนำให้นักลงทุนเล่นอย่างระมัดระวังและต้องตัดขายทำกำไรหากหุ้นมีการพลิกผันด้วย

บล. เคทีซีมิโก้ ยังมองว่า หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น บมจ. บางจากปิโตรเลียม ( BCP), บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) , บมจ. เอสโซ่ (ESSO) และ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) ที่ราคาหุ้นปรับลดลงไประยะหนึ่ง จึงยังมีโอกาสลงทุนได้


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดพุ่ง 16.82 จุด หรือ 2.77% มาอยู่ที่ 624.55 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 33,339.04 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,671.84 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 389.91 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 3,061.75 ล้านบาท





Template by - Abdul Munir | Blogging4