06 พฤษภาคม 2552

เอดีบีเห็นสัญญาณเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว

เอดีบีเห็นสัญญาณเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว



นูซาดัว .- ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ชี้ว่า เศรษฐกิจจีนอาจพ้นจากจุดต่ำสุดแล้วและเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินโลก

นายฮารูฮิโกะ คูโรดะ ประธานเอดีบีกล่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมประจำปีของเอดีบีที่อินโดนีเซียว่า ตัวเลขสถิติต่าง ๆ ทั้งที่เผยแพร่ในที่ประชุมและเผยแพร่ก่อนหน้านี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนอาจเข้าสู่ขั้นตอนของการฟื้นตัวแล้ว

นอกจากยังมีสัญญาณชัดเจนว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ใกล้ถึงจุดต่ำสุดเพื่อเริ่มฟื้นตัวเช่นกันหลังจากขยายตัวติดลบมาติดต่อกันหลายเดือน อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจในเอเชียจะฟื้นตัวเต็มที่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐและยุโรปจะแก้ปัญหาภาคการเงินได้รวดเร็วเพียงใด


สำนักข่าวไทย

ปลุกชีพโภคภัณฑ์อีกรอบ

ปลุกชีพโภคภัณฑ์อีกรอบ

หุ้นน้อยใหญ่ดี๊ด๊า หลังอเมริกาส่งสัญญาณ ศก.เริ่มฟื้นตัว แถมโมเบียสาโปรยยาหอมครึ่งหลังตลาดหุ้นเข้าภาวะกระทิง หนุนดัชนีฯทะยานบวกเกือบ 3% ด้านกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ราคาขยับขานรับ ศก.อเมริกาฟื้น วงการคาดได้รับอานิสงส์ลำดับต้นๆ แนะเก็งกำไรช่วงสั้น พร้อมมองวันนี้หุ้นไทยไปต่อลุ้นแนวต้านสำคัญ 515-520 จุด

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 พ.ค.) ตลาดหุ้นไทยแรลลี่จนทะลุ 500 จุดไปเรียบร้อยมาปิดตลาดที่ระดับ 506.26 จุด เพิ่มขึ้น 14.57 จุด หรือ 2.96% มูลค่าการซื้อขาย 20,234.28 ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นการหักปากกาบรรดานักวิเคราะห์หลายค่ายที่มองว่า ดัชนีฯน่าจะพักฐาน หลังจากรปับตัวเพิ่มขึ้นมาร้อนแรง โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้นมาแรงน่าจะมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 579.37 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,448.47 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 2,027.84 ล้านบาท

หลังจากที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และการคาดการประกาศผลการทดสอบความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินสหรัฐนั้นไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่คาดคิด เพราะไม่มีสถาบันการเงินแห่งใดล้มละลาย ประกอบกับถ้อยแถลงของนายเบน เบอร์นานเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ระบุว่า การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆตั้งแต่สหรัฐไปจนถึงจีน ทำให้ตลาดหุ้นบางแห่งได้ส่งสัญญาณของการฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว โดยตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการผลิตในสหรัฐก็มีส่วนช่วยสนับสนุนมุมมองที่เป็นบวกที่ว่า ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดของภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะสิ้นสุดลงแล้ว

ด้านนายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดังและประธานบริษัท เทมเพิลตัน แอสเส็ท แมเนจเมนท์ เปิดเผยว่า คาดว่าหุ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักและเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิงในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงและเงินเฟ้อที่คลี่คลายลง ส่งผลให้หุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตาของนักลงทุน แม้การยื่นขอคุ้มครองจากการล้มละลายของไครสเลอร์ และปัจจัยเสี่ยงในระยะสั้นอื่นๆ อาจจะเป็นปัจจัยที่สกัดช่วงขาขึ้นบ้างก็ตาม ขณะที่กลุ่มนักเก็งกำไรอาจฉวยโอกาสตอนหุ้นร่วง

เรียกได้ว่าหลายฝ่ายต่างโปรยยาหอมตลาดหุ้นทั่วโลกน่าดูจึงทำให้ ตลาดหุ้นหลายแห่งต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 16,381.05 จุด เพิ่มขึ้น 860.06 จุด หรือ 5.54 % ,ดัชนี SHI ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,559.91 จุด เพิ่มขึ้น 82.34 จุด หรือ 3.32 % เป็นต้น

เป็นที่น่าสนใจว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐฯส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน กลุ่มอุตสาหกรรมใดจะเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ดี โดยนักวิเคราะห์มองว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะสามารถสร้างฐานได้ (bottom out) ในปี 52 และจากประสบการณ์ปี 43-44 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จะฟื้นตัวก่อนกลุ่มอื่นๆ และขณะนี้ในตลาดหุ้นไทยก็มีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ค่อนข้างมาก ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยภายนอก ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และการดีดตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้นักลงทุนกล้าเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ด้านความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เดือน มิ.ย. พุ่งขึ้นอีก 2.08 ดอลลาร์หรือ 4.07% ปิดตลาดที่ 53.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ,ดัชนี BADI ปรับตัวลงมาปิดที่ 1,806 จุดเพิ่มขึ้น 20 จุด, ราคาถ่านหิน BJI ปรับเพิ่มเล็กน้อย 0.90 เหรียญ/ตัน +1.43% wow มาอยู่ที่ 63.85 เหรียญ/ตัน ขณะที่าคาทองในตลาด COMEX ปิดลดลง 3.0 ดอลลาร์ มาที่ 888.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยทองคำถูกลดความน่าสนใจลงในแง่ของสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น

****นักวิเคราะห์คาด หากศก.อเมริกาฟื้นกลุ่มโภคภัณฑ์จะสะท้อนได้ดี

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า จากการส่งสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐ เม.ย. เพิ่มเป็น 40.1 จุด จากเดือนก่อนที่ 36.3 จุด และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 65.1 จุด ซึ่งสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ย.51 ซึ่งหากทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นก็จะส่งผลดีต่อการบริโภคให้ฟื้นตัวตาม โดยประเด็นดังกล่าวจะส่งผลดีเกือบทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่ม Commodity ด้วย โดยหากการบริโภคฟื้นตัว ภาคอุตสาหกรรมการผลิตก็จะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มพลังงานในส่วนของน้ำมันและปิโตรเคมีให้มีทิศทางที่ดีขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ซึ่งอาจไม่ส่งผลดีในเร็ววันนี้ ทั้งนี้ในส่วนของราคาหุ้นกลุ่ม COMMODITY ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายวkนนี้ เนื่องจากเป็นไปตามภาวะตลาดฯ หลังได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางของตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้สะท้อนปัจจัยบวกต่างๆหมดแล้ว ซึ่งหากนักลงทุนสนใจเข้าลงทุน แนะรอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง

"ถ้าการบริโภคฟื้นตัวขึ้น การบริโภคน้ำมันก็จะดีขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มน้ำมัน และกลุ่มปิโตรเคมีด้วย ซึ่งการบริโภคที่ดีขึ้นกลุ่มน้ำมันจะได้รับประโยชน์เป็นอันดับแรก แต่อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้สะท้อนข่าวดีและปัจจัยบวกต่างๆ ซึ่งหากนักลงทุนมีความสนใจแนะรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง ทั้งนี้ภาคการผลิตที่ฟื้นตัวขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเหล็กและวัสดุก่อสร้างเช่นกัน" นายรณกฤต กล่าว

นักวิเคราะห์บล.ไซรัส กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายวานนี้ น่าจะเป็นผลบวกมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นยืนเหนือ 50 เหรียญต่อบาร์เรล โดยหากสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุระดับที่ 55 เหรียญต่อบาร์เรล ก็ยิ่งเป็นแรงกระต้นกลุ่มพลังงาน และสะท้อนไปยังการลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์ตัวอื่นๆ ด้วย ซึ่งถ้าพิจารณาดูภึงราคาหุ้นของ PTTEP วันนี้จะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันกับหุ้นในกลุ่มพลังงาน แม้ว่าจะมีประเด็นลบกรณีการประกาศผลกำไรสุทธิที่ลดลงมาอยู่ที่ 5.74 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.90 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องรอติดตามดูถึงแนวโน้มของราคาน้ำมันในตลาดโลกต่อจากนี้ว่าจะส่งสัญญาณไปในทิศทางใด เพราะมีผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มพลังงาน

นอกจากนี้ มองว่าสาเหตุที่กลุ่มโภคภัณฑ์ขึ้นในวันนี้ เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากบรรยากาศการลงทุนโดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากทิศทางเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเซีย ส่งมายังตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มบิ๊กแคป อาทิ พลังงานและธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ หากกลุ่มโภคภัณฑ์กลับมาจริง มองว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือหุ้นกลุ่มพลังงานและพลังงานทดแทน อาทิ LANNA, KASET และ KSL รวมถึงหุ้นในกลุ่มสื่อสารก็น่าสนใจ อาทิ DTAC โดยหากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นผ่าน 29.50 บาทได้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ 32.33 บาท

****กูรู คาดวันนี้ดัชนีฯทะยานต่อ

นายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ( 6 พ.ค.52) มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะได้รับสัญญาณบวกจากวันนี้ที่ดัชนีฯ ปิดยืนเหนือระดับ 500 จุด ได้ ขณะเดียวกัน พบว่าตามสัญญาณทางเทคนิคดัชนีฯ สามารถตัดผ่านจุดตัดทองคำได้แล้ว รวมถึงจุดสัญญาณการฟื้นตัวได้เรียงเส้นที่ 10 25 75 วัน ทำให้มีสัญญาณเชิงบวกที่ดีต่อการลงทุน

แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคงต้องติดตามผลการทดสอบ Stress test ของสถาบันการเงินสหรัฐฯ แต่ถ้าหากดูจากทิศทางของดัชนี ดาวโจนส์ล่วงหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐ พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยน่าจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเป็นประเด็นบวกต่อการลงทุน

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ขึ้นขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับดัชนีฯไว้ที่ 500-488 จุด แนวต้าน 515-520 จุด


แนะลงทุน PSL, PS และ GFPT

บล. เอเซียพลัสแนะลงทุน PSL, PS และ GFPT เหตุ P/E Ratio ต่ำ เพียง 3-4 เท่า


ภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล. เอเซียพลัส ว่า ดัชนีหุ้นไทยในวันจันทร์ได้ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในทิศทางเดียวกับภูมิภาค จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มเข้ามาซื้อสุทธิตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นได้จากราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ บมจ. ปตท. (PTT) และ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)

อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นจากระดับ P/E Ratio เพียง 8 เท่าในปลายปี 2551 มาเป็น P/E Ratio ที่ 10 เท่า หรือ มาอยู่ที่ระดับ 506 จุด ทำให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ เช่น PTT, BANPUและ PTTEP ขึ้นมาแตะระดับราคาที่เหมาะสมของปี 2552 และมี P/E Ratio สูงกว่า 11 เท่าไปเรียบร้อยแล้ว จึงควรถือไว้ก่อน และหาโอกาสทยอยปรับพอร์ตการลงทุน แล้วจึงค่อยเข้าซื้ออีกครั้งหากมีจังหวะที่เหมาะสม

สำหรับแนวทางการลงทุนขณะนี้ ควรเลือกหุ้นที่ราคายังไม่ปรับเพิ่มขึ้น หรือมี P/E Ratio เพียง 3-4 เท่า เช่น บมจ. พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ที่มีระดับ P/E Ratio ที่ 4 เท่า แต่ค่าระวางเรือยังเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/52 เป็นช่วงที่ต่ำสุดของปีนี้แล้ว และหลังจากนี้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เช่น บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) และ กลุ่มอาหาร คือ บมจ. จีเอฟพีที (GFPT) มีระดับ P/E Ratio เพียง 3-4 เท่า ก็ยังอาจเข้าลงทุนได้เช่นกัน

สำหรับหุ้นกลุ่มสื่อสาร ที่ราคายังขึ้นน้อยกว่าตลาด (Laggard) คือบมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ราคายังห่างจากมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน ก็ยังสามารถลงทุนได้เช่นกัน


ดัชนีหุ้นไทยในวันจันทร์ปิดทะยานขึ้น 14.57 จุด หรือ 2.96% มาอยู่ที่ระดับสูงสุดของวันที่ 506.26 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขาย 20,262.06 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,448.40 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 580.02 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 2,028.42 ล้านบาท



- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th


ลุ้นไปต่อ!!

ลุ้นไปต่อ!!

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทยระยะสั้น ว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังดัชนีสามารถยืนเหนือระดับ 500 จุดได้ ทำให้มีสัญญาณเชิงบวกต่อการลงทุน

ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจ ต่างประเทศที่เริ่มเห็นตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯบางตัวเริ่มดีขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดหวังได้มากขึ้นว่าเศรษฐกิจอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งทำให้มีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามา

โดยเฉพาะช่วงนี้เห็นชัดเจนว่า เริ่มมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุน ในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น แม้หุ้นไทยที่ยังมีปัญหาการเมืองภายใน ประเทศยังได้เห็นเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นด้วย แม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้น อื่นๆในภูมิภาคที่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้น้อย กว่า

ทั้งนี้ แนะกลยุทธ์การลงทุน สำหรับระยะสั้นหากราคาหุ้นดีดตัวขึ้นให้ฉวยโอกาสขายทำกำไรออกมาก่อน โดยประเมินแนวต้านไว้ที่ 515-520 จุด ส่วนแนวรับดัชนีอยู่ที่ 500-488 จุด

สถาบัน วิจัยนครหลวงไทยระบุว่า ข่าวการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาสแรกปี 52 ออกมามีการหดตัวชะลอลงจากไตรมาส 4 ปี 51 เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

สำหรับ กรณีที่ไครสเลอร์ค่ายรถยนต์อันดับ 3 ของสหรัฐฯ อาจต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายนั้นมองว่านักลงทุนไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่อง นี้มากนัก

มองแนวโน้มตลาด คาดว่าดัชนีปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่คงไม่ไกลและอาจมีการปรับฐาน ดังนั้น จึงแนะนักลงทุนถือหุ้นและขายทำกำไรในช่วงที่ดัชนีปรับตัวสูงขึ้น โดยประเมินแนวต้านที่ 510 จุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง มองในทิศทางเดียวกันว่าดัชนีหุ้นไทยจะไปได้ต่อโดยยังต้องติดตามการประกาศผล STRESS TEST สถาบันการเงินสหรัฐฯ ในคืนวันที่ 7 พ.ค.

แนะกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นให้เก็งกำไรหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ แต่ให้ดูจุดตัด ขาดทุนไว้ด้วย เนื่องจากอาจมีแรงขายทำกำไรออกมา.


อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4