20 มีนาคม 2552

เศรษฐกิจโลกปีนี้จะถดถอย

ไอเอ็มเอฟ ระบุเศรษฐกิจโลกปีนี้จะถดถอย 0.5%-1.0%

20 มี.ค.-เศรษฐกิจโลกปีนี้จะถดถอยระหว่าง 0.5%-1.0% ถือเป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลกครั้งแรกในรอบ 60 ปี

จากรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ที่เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศจี 20 ในเดือนหน้า ระบุว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะถดถอยระหว่าง 0.5%-1.0% ถือเป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลกครั้งแรกในรอบ 60 ปี โดยประเทศพัฒนาแล้วจะเผชิญกับการถดถอยอย่างรุนแรงที่สุด อันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลก ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะดิ่งลงถึง 3-3.5% ในปีนี้ แม้หลายประเทศจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่มาแล้วก็ตาม

ไอเอ็มเอฟยังเตือนว่า วิกฤติเศรษฐกิจจะยังคงย่ำแย่ต่อไป หากรัฐบาลของทุกประเทศ ยังไม่สามารถแก้ไขวิกฤติภาคธนาคารและสถาบันการเงินได้


ที่มา:สำนักข่าวไทย

เอไอจีแจกโบนัส

เฟดทราบเรื่องเอไอจีแจกโบนัส แต่ไม่แจ้งคลัง-ผู้นำสหรัฐ



วอชิงตัน 19 มี.ค. - เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทราบเกี่ยวกับเรื่องการแจกเงินโบนัสให้ผู้บริหารของบริษัท เอไอจี มานานหลายเดือนแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งทางกระทรวงการคลัง หรือทำเนียบขาว

หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานอ้างเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานบริษัทว่า บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) แจ้งให้เฟดทราบเมื่อ 3 เดือนก่อน ว่าจะจ่ายเงิน 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5,940 ล้านบาท) ให้กับพนักงานในบริษัทฯ เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ทั้งที่บริษัทฯ ขอรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชน เพื่อพยุงฐานะทางธุรกิจให้รอดพ้นจากการล้มละลายในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก และสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกันทันทีที่ทราบข่าว

นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เขาไม่ได้รับทราบเกี่ยวกับจำนวนเงินและเวลาในการแจกโบนัสของบริษัทฯ ซึ่งเขาได้หารือกับเจ้าหน้าที่คลัง เพื่อพิจารณาแนวทางต่อไป และได้ข้อสรุปว่า รัฐบาลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อตกลงของบริษัทฯ ที่เคยทำไว้ได้


ที่มา: สำนักข่าวไทย

หุ้นสหรัฐปิดลบ

หุ้นสหรัฐปิดลบ นักลงทุนหวั่นเฟดทุ่มเงินกระตุ้น ศก.ฉุดดอลลาร์อ่อนค่า


นิวยอร์ก 20 มี.ค.-ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลง หลังนักลงทุนไม่สบายใจ
กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เตรียมทุ่มเงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีปรับลดลงหลังข้อมูลระบุว่า
จำนวนผู้ว่างงานที่มายื่นเรื่องรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจนแตะ 5.47 ล้านคนแล้วในปีนี้

ขณะที่นักลงทุนไม่สบายใจต่อกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เตรียมทุ่มเงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการซื้อหนี้เสียของรัฐบาลและพันธบัตรรัฐบาล
เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อมากยิ่งขึ้น



ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.95 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 4
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.35 พันล้านหุ้น

ท้อดด์ ซาลาโมน นักวิเคราะห์จาก Schaeffer`s Investment Research กล่าวว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นขานรับเฟดที่ประกาศใช้มาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ครอบคลุมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และเพิ่มการรับซื้อตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีก 7.50 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ เฟดจะเข้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดย หรือ รับประกันโดยสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้าน
รายใหญ่ 2 แห่ง คือ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ในปีนี้ด้วย

"แต่นักลงทุนเริ่มมองว่ามาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรของเฟดทำให้สกุลเงินดอลลาร์ดิ่งลงอย่างหนัก และมีแนวโน้มที่ร่วงลงหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมันและพืชผล มีราคาสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าที่ต้องใช้อุปโภคบริโภคในแต่ละวันแพงขึ้นไปด้วย อาทิ อาหารและเชื้อเพลิง
จนในที่สุดสหรัฐจะกลับสู่วงจรเงินเฟ้อคุกคาม นักลงทุนเริ่มมีมุมมองในด้านลบว่ามาตรการของเฟดอาจต้องใช้เวลานานจึงจะเห็นผล จึงพากันเทขายหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มธนาคาร" ซาลาโมนกล่าว

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไป เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่ผ่านมา และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน 0.2% ซึ่งเท่ากับเดือนม.ค.

โจ บาเลสตริโน นักวิเคราะห์จาก Federated Investors Inc. มองว่า มาตรการของเฟดยังไม่แข็งแกร่งพอ
ที่จะพยุงตลาดหุ้นนิวยอร์กให้ทะยานขึ้นอย่างเต็มสูบได้ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มองภาพเศรษฐกิจโดยรวมเป็นหลัก ขณะที่แอนดรูว์ ทิลตัน นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า ในการยับยั้งเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยนั้น เฟดจะต้องใช้ความพยายามมากเป็น 2 เท่า และขณะนี้ดุลบัญชีของเฟดทรุดตัวลง 17%
จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนธ.ค.ที่ระดับ 2.31 ล้านล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงงานทะยานขึ้นแข็งแกร่งหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นเหนือระดับ ซึ่งเป็นผลมาจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างหนักหลังจากเฟดประกาศเข้าซื้อพันธบัตร โดยหุ้นเชฟรอนพุ่งขึ้น 0.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดีดขึ้น 3.8%

แต่หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลง โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดร่วง 15.6% หุ้นเจพีมอร์แกนปิดลบ 8%
ส่วนหุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ปิดลบ 10 เซนต์ แตะที่ 10.13 ดอลลาร์
หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาสแรกและตลอดปี 2552

หุ้นเฟดเอ็กซ์ปิดพุ่ง 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 75%
อย่างไรก็ตาม บริษัทวางแผนลดการจ้างงานและลดค่าแรงพนักงาน

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ พุ่งขึ้น 3.47 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ระดับ 51.61 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงสุดในรอบปีนี้

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 7,400.80 จุด ลดลง 85.78 จุด หรือ 1.15%
ดัชนีแนสแดคปิดที่ 1,483.48 จุด ลดลง 7.74 จุด หรือ 0.52%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 784.04 จุด ลดลง 10.31 จุด หรือ 1.30%

ขณะที่ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 3,816.93 จุด ปรับขึ้น 11.94 จุด หรือ 0.31%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 4,043.46 จุด ปรับขึ้น 47.14 จุด หรือ 1.18%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 2,776.99 จุด ปรับขึ้น 16.65 จุด หรือ 0.60%

ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 50.67 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้น 3.01 ดอลลาร์สหรัฐ

ด้านราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 958.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 69.60 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 958.95 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 66.55 ดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์

แนวต้านใหญ่ที่ 440 จุด

บล. ธนชาตประเมินแนวต้านใหญ่ที่ 440 จุด ระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้น


นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้า บล.ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มขึ้นพอสมควร จึงควรระมัดระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่จะออกมาได้ โดยประเมินแนวต้านไว้ที่ 430 จุด และแม้ว่าดัชนีจะผ่านจุดนี้ไปได้ ก็ยังมีแนวต้านใหญ่ที่ 440 จุด จึงแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรออกมาบ้างเมื่อราคาปรับเพิ่มขึ้น และรอให้ดัชนีย่อตัวลงมาก่อนแล้วจึงเข้าลงทุน

นายพิชัยกล่าวว่า ภาวะการลงทุนในขณะนี้ นักลงทุนจะเลือกหุ้นที่มีเรื่องราวเฉพาะตัว เช่น บมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นเสร็จสิ้นในปลายเดือนนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการกลั่นดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก จึงควรระวังการขายทำกำไรระยะสั้นออกมา แต่ก็อาจถือลงทุนในระยะกลางและระยะยาวได้

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลได้ดี เช่น บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) และบมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เป็นต้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้มากในช่วงที่ผ่านมา


ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปรับเพิ่มขึ้น 1.52 จุด หรือ 0.36% มาอยู่ที่ 427.72 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 7,825.68 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2.50 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 257.74 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 260.24 ล้านบาท


- Money Channel โดยวาสิฏฐี อนุกูล Email: wasittee@set.or.th


แนวรับหุ้นไทยที่ 410 จุด

บล. ทิสโก้มองแนวรับหุ้นไทยที่ 410 จุด ยังแกร่ง ชี้ดัชนียังเพิ่มขึ้นได้อีกในช่วงครึ่งปีแรก


นายปรเมศวร์ ทองบัว ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาดทุน บล. ทิสโก้ กล่าวในรายการก้าวทันตลาดทุนว่า ตัวเลขส่งออกของไทยในครึ่งปีแรกยังมีแนวโน้มย่ำแย่ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังมีมุมมองต่อเศรษฐกิจที่แย่ลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยในระยะสั้นยังอาจปรับลดลงได้ แต่ก็เชื่อว่าระดับ 410 จุดยังเป็นแนวรับที่แข็งแรง จึงยังเข้าลงทุนได้เมื่อหุ้นปรับลดลง เพราะเชื่อว่าในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้แม้ว่าจะเป็นภาวะตลาดหมี (Bear Market Rally) ก็ตาม

บล. ทิสโก้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้นบมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) เพราะเชื่อว่ากำไรสุทธิของ BCP ในปีนี้ยังมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาแตะที่ระดับ 3.1 พันล้านบาท จากที่ขาดทุนสุทธิประมาณ 750 ล้านบาทในปีก่อน โดยเกิดจากการที่ BCP ปรับปรุงคุณภาพการกลั่นน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและมูลค่าสูงขึ้น และหนุนให้ค่าการกลั่นเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นด้วย จึงมองว่าราคาหุ้นน่าจะยังปรับเพิ่มขึ้นได้ แม้ว่าที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นมากแล้วก็ตาม

บล. ทิสโก้ให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้น BCP ไว้ที่ 14 บาท ราคาปิดเมื่อวานนี้ (19 มี.ค. 2552) ที่ 8.75 บาท

ตามหุ้นต่างประเทศ!!

ตามหุ้นต่างประเทศ!!
[20 มี.ค. 52 - 06:29]


ดัชนีหุ้นวันที่ 19 มี.ค. 52 ปิดที่ 427.72 จุด เพิ่มขึ้น 1.52 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 7,825.68 ล้านบาท ต่างชาติ ซื้อสุทธิ 257.52 ล้านบาท

หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด นำโดย PTT ปิดที่ 149 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, PTTEP ปิดที่ 95 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BANPU ปิดที่ 210 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท, KBANK ปิดที่ 43.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ SCB ปิดที่ 54 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคทีบี ชี้ว่าหุ้นไทยปรับขึ้นได้ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ยืนในแดนบวกหลังที่ ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ เฟด ประกาศซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว วงเงินประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบทางอ้อมและจะขยายการซื้อตราสารหนี้ที่เกี่ยว ข้องกับสัญญาจำนองเพื่อช่วยกระตุ้นตลาดสินเชื่อ

อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยพยายามปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 430 จุด แต่ไม่สามารถขยับขึ้นไปได้ถึง สะท้อนว่าความเชื่อมั่นและจิตวิทยาการลงทุนในประเทศยังไม่ดี ส่วนการอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลวันแรก ไม่ได้สร้างความกังวลกับตลาดมากนัก

ขณะที่มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น คาดว่าดัชนีมีโอกาสซึมลง โดยอาจเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงจะปรับตัวลง เนื่องจากแรงเทขายทำกำไร หลังปรับขึ้นมากกว่า 900 จุด ในรอบสัปดาห์ ขณะที่ตัวเลขสวัสดิการว่างงานคาดการณ์ว่าจะออกมาย่ำแย่ต่อเนื่อง

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ถือเงินสด โดยชะลอการลงทุน ด้านเทคนิคประเมินแนวรับ 419 จุด แนวต้าน 430 จุด

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดว่าตลาดจะเริ่มอ่อนตัวลง เนื่องจาก มองว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะมีการชะลอการลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและรอดูสถานการณ์ทางการเมือง สำหรับประเด็นที่ต้องจับตา คือการรายงานการขอสวัสดิการการว่างงานของสหรัฐฯ หากตัวเลขออกมาย่ำแย่ จะยิ่งกดดันภาวะเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวยากยิ่งขึ้น

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้รอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 415-410 จุด และแนวต้านที่ 430 จุด.

อินเด็กซ์ 51

Template by - Abdul Munir | Blogging4