26 พฤษภาคม 2552

เศรษฐกิจไทยหดตัวร้อยละ 7.1


ชื่อ:  ScreenHunter_352.gif ครั้ง: 365 ขนาด:  20.3 กิโลไบต์


เศรษฐกิจไทยหดตัวร้อยละ 7.1 ในไตรมาสแรกปี 2552 รุนแรงกว่าที่หดตัวร้อยละ 4.2 ในไตรมาสสุดท้ายปี 2551 การหดตัวที่รุงแรงกว่าที่คาดเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยรุนแรงมากขึ้น และทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยหดตัวลงมาก และมีผลกระทบต่อเนื่องที่ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคะอกชนลดลงและสาขาเศรษฐกิจต่าง ๆ ของไทยได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

ภาคธุรกิจเอกชนลดการลงทุนลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมซึ่งความต้องการสินค้าและการผลิตเพื่อการส่งออกลดลงมาก จึงได้ส่งผลให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นมากและมีการเลิกจ้างงานในอุตสาหกรรมสำคัญ และอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้กับไตรมาสก่อนหน้าพบว่าลดลงร้อยละ 1.9 จากที่ลดลงถึงร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงต่ำสุดซึ่งจะเป็นการปรับตัวเข้าสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพก่อนที่จะกลับมาขยจายตัวเป็นบวกได้ในครึ่งหลังของปีโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราการขยายตัวไตรมาสต่อไตรมาสที่มีโอกาสจะเป็นบวกในครึ่งหลัง

ปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลัง ประกอบด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการดำเนินมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ซึ่งเป็นระยะที่มุ่งเน้นการขยายการลงทุนภาครัฐในระยะปานกลางรวมทั้งการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตภายหลังจากที่ได้ใช้สินค้าคงคลังไปมากแล้ว ทั้งนี้โดยมีปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ ได้แก่ ราคาสินค้าที่ลดลงและ อัตราดอกเบี้ยต่ำ

คาดว่าทั้งปี 2552 เศรษฐกิจไทยจะหดตัวประมาณร้อยละ (-3.5)-(-2.5) โดยที่เฉลี่ยในครึ่งแรกของปีเศรษฐกิจหดตัวมากแต่จะฟื้นตัวดีขึ้นและมีโอกาสกลับมาขยายตัวในครึ่งหลัง ทั้งนี้การขยายตัวเป็นบวกในครึ่งหลังนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ การดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และการฟื้นตัวที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจโลก โดยที่ประสิทธิผลของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจนั้นจะขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของประชาชนและเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสำคัญ

คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2552 จะอยู่ในระดับร้อยละ (-0.5) – (0.5) เป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ลดลง ในขณะที่ความต้องการสินค้าและบริการชะลอตัวลงมาก ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลสูงถึง 9.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 3.7 ของ GDP จากการเกินดุลการค้าในระดับสูงและการปรับตัวดีขึ้นของดุลบริการที่เกิดจากรายได้จากการท่องเที่ยว

การบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีจะต้องมุ่งเน้นในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างต่อเนื่องและเร่งรัดเตรียมความพร้อมให้โครงการภาครัฐสามารถที่จะดำเนินการได้อย่างจริงจังและให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินโครงการภาครัฐ


ที่มา: สำนักยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาค
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
www.nesdb.go.th



ไทยติดโผเจอพิษวิกฤติเศรษฐกิจโลก

ไทยติดโผเจอพิษวิกฤติเศรษฐกิจโลกหนักสุดในเอเชีย

โนมูระชี้ไทยติด 1 ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกมากสุดในเอเซีย เหตุพึ่งพาการส่งออกระดับสูง

นายร็อบ ซับบารามาน นักวิเคราะห์ของโนมูระอินเตอร์เนชั่นแนล บอกว่า ไทยติด 1 ใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเซียที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

สำหรับ 6 ประเทศในเอเซียที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยมากที่สุด ประกอบด้วย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง และไทย

เนื่องจากทั้ง 6 ประเทศมีการพึ่งพาภาคส่งออกสูง เศรษฐกิจจึงไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ภาคธุรกิจอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลดจำนวนพนักงานต่อไปอีก

นายซับบารามานยังระบุด้วยว่า ทั้ง 6 ประเทศขาดปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากความต้องการในตลาดโลก การบริโภคในประเทศ และการลงทุนอยู่ในภาวะซบเซา



ผลสอบกบข.พบผิดพลาดทำขาดทุน

ผลสอบกบข.พบผิดพลาดทำขาดทุน คาดเจ๊งกว่า 1.8 หมื่นล. !

ป.ป.ท.เผยผลสอบการบริหารกองทุน"กบข."พบผิดพลาดคลาดเคลื่อน ไม่สอดคล้องกม. จนขาดทุน แต่ยังไม่ได้สรุปมูลค่าเสียหายเหตุไม่ร่วมมือ คาดเสียหาย18,000-24,000 ล้าน สรุปรายงานเสนอต่อรมว.ยธ.แล้ว

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่กระทรวงยุติธรรม ถึงการตรวจสอบการบริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ว่า ชุดปฏิบัติการตรวจสอบข้อมูลกบข. และชุดที่เข้าร่วมสังเกตการณ์การตรวจสอบภายในของกบข. ได้สรุปรายงานเสนอต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบแล้ว โดยการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การบริหารงานของกบข.น่าจะผิดพลาดคลาดเคลื่อน ไม่สอดคล้องกับกฎหมาย และหลักบริหารที่ดี จึงเป็นที่มาของการประสบภาวะขาดทุน โดยผู้ที่อยู่ในข่ายที่ปฏิบัติงานผิดพลาดคลาดเคลื่อนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือเลขาธิการกบข.และเจ้าพนักงานของกบข. กลุ่มที่ 2 เป็นคณะกรรมการกบข. ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการระดับสูง


นายธาริต กล่าวอีกว่า การตรวจสอบของกบข. เน้นการตรวจสอบที่พฤติการณ์ สาเหตุ และจรรยาบรรณของผู้บริหารที่นำไปสู่การขาดทุน โดยตั้งประเด็นในการตรวจสอบไว้ 11 เรื่อง แต่ยังไม่ได้เจาะถึงมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง เพราะกบข.ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง การประชุมบางนัดที่เรียกเลขาธิการกบข.เข้าชี้แจง ก็ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.เข้าร่วมสังเกตการณ์ ทำให้ตัวเลขความเสียหายยังสับสนอยู่ระหว่าง 24,000 ล้านบาท กับ 18,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากผลการตรวจสอบพบความผิดในการบริการกองทุนกบข. ในกรณีที่เป็นความผิดของข้าราชการระดับสูง จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา ส่วนข้าราชการที่ต่ำกว่าระดับ 8 จะเป็นอำนาจสอบสวนของป.ป.ท. ทั้งนี้โทษทางวินัยของผู้บริหารกบข.ที่ประพฤติผิดจรรยาบรรณ จะมีโทษทางวินัยจนถึงการเลิกจ้าง นอกจากนี้อาจจะต้องรับผิดทางอาญาเพิ่มด้ว



อสังหาฯแรงได้อีก

อสังหาฯแรงได้อีก

ก๊วนอสังหาฯร้อนไม่หยุดฉุดไม่อยู่ รับอาสิงสงส์แบงก์หั่นดอกเบี้ยกู้-ยอดพรีเซลล์เดือนพ.ค.กระฉูด แถม พ.ร.ฎ.ลดภาษีธุรกิจเฉพาะคลอดเป็นทางการแล้ว ดันกำลังซื้อพุ่ง โบรกฯเชื่อหนุนเก็งกำไรช่วงสั้น SC-PF ยังมีอัพไซด์ ส่วน SPALI ยกให้เป็นดาวเด่นผลงานปีนี้ยอดเยี่ยม


ร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์วานนี้(25 พ.ค.) บมจ.ศุภาลัย(SPALI) นำทีมหุ้นอสังหาฯ บมจ.แสนสิริ(SIRI), บมจ. แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์(GOLD) ที่ส่วนใหญ่ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น

วานนี้ ราคาหุ้น MJD ปิดที่ 2.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.26 บาท หรือ 13.00% มูลค่าการซื้อขาย 93.39 ล้านบาท METRO ปิดที่ 1.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ 4.92% มูลค่าการซื้อขาย 6.35 ล้านบาท PRIN ปิดที่ 1.37 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 28.04% มูลค่าการซื้อขาย 23.32 ล้านบาท SPALI ปิดที่ 3.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ 1.22% มูลค่าการซื้อขาย 230.86 ล้านบาท SIRI ปิดที่ 2.78 บาท เพิ่มขึ้น 0.22 บาท หรือ 8.59% มูลค่าการซื้อขาย 117.84 ล้านบาท

ปัจจัยหนึ่งที่หนุนให้กลุ่มอสังหาฯ แรงข้ามสัปดาห์น่าจะเป็นเทรนด์ดอกเบี้ยเงินกู้ขาลงที่ตั้งสัปดาห์ก่อนแบงก์พาณิชย์ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กันยกใหญ่ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่น่าจะช่วยผลักดันแรงซื้อบ้าน นอกจากนี้ พระราชกฤษฎีกาการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับภาคอสังหาฯ ได้รับการอนุมัติให้ขยายอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ค.09 และให้มีผลย้อนหลังถึง 29 มี.ค.09 ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 28 มี.ค.10

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมติอนุมัติให้ขยายมาตรการกระต้นภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 29 มี.ค.09 ออกไปอีก 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจะออกพระราชกฤษฎีกา ซึ่งการข่าวดังกล่าวเป็นบวกต่อกลุ่มอสังหาฯ และจะทำให้ปัจจัยกดดันจากความกังวลว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ จะรับภาษีคืนจากกรมสรรพากรหรือไม่ จางหายไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวทำให้มีกาประหยัดภาษี 3.2% ของยอดขาย และผู้พัฒนาอสังหาส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะนำประโยชน์ที่ได้รับนี้มาใช้ในการบริหารจัดการพอร์ตอสังหาฯ ของตน ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งช่วยให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นในปีนี้ได้

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า ที่อยู่อาศัย (residential property): ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น อีกครั้งเดือน เม.ย. แต่ล่าสุด ต้นเดือน พ.ค. ทั้งยอดขาย/ยอดจอง (sales/presales) ได้กลับมาปรับสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2 เริ่มกลับมาดี โดยเรายังชอบ AP (เป้าหมาย 4.50 บาท), LPN (เป้าหมาย 4.50 บาท), PS (เป้าหมาย 7.80 บาท) เนื่องจากมี backlog รอรับรู้รายได้มากกว่าบริษัทอื่นๆ


****อสังหาฯ คึกคักรับแบงก์แห่ลดดอกกู้-รัฐต่ออายุภาษีธุกิจเฉพาะ แนะเก็งกำไรรายตัว SC-PF ยังมีอัพไซด์

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในหลายบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในวันนี้ อาทิ PF, SC, PS และ SPALI เนื่องจากตอบรับรับปัจจัยบวกจากกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อีกทั้งยังสะท้อนปัจจัยบวกก่อนหน้านี้ที่ผลประกอบการไตรมาส 1/52 ที่ประกาศผลการดำเนินงานออกมาดี

นอกจากยังปัจจัยบวกเสริมรัฐบาลประกาศต่อายุมาตรการภาษีธุรกิจเฉพาะค่าธรรมเนียมการโอนที่ลดให้กับผู้ประกอบการ โดยขยายระยะเวลาการใช้มาตรการดังกล่าวไปอีก 1 ปี จนถึงวัน 28 มี.ค.53

อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาหุ้นในขณะนี้ได้สะท้อนรับปัจจัยบวกข้างต้นไปเกือบหมดแล้ว จึงมองว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมจะเข้าซื้อเก็งกำไรทั้งกลุ่ม อีกทั้งประเมินว่าภาพรวมผลประกอบการของทั้งกลุ่มในไตรมาส 2/52 จะออกมาไม่ดีนัก ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่ยังแนวโน้มผลประกอบการดี และราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไได้แก่ PF ให้ราคาเป้าหมาอยู่ที่ 3.5 บาท ประเมินแนวรับอยู่ที่ 2.86 บาท แนวต้านอยู่ที่ 3.20 บาท และ SC ให้ราคาเหมาะสมที่ 12 บาท ประเมินแนวรับอยู่ที่ 8 บาท แนวต้านอยู่ที่ 9 บาทเนื่องจาการาคาหุ้นในขณะนี้ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากและมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนตัวอื่นๆแนะนำขายทำกำไร


****แม้ผลงานไตรมาส 2/52 กลุ่มอสังหาฯยังแจ่ม แต่กูรูให้น้ำหนักการลงทุน Bearish

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุว่า ภาพรวมของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในเดือน เม.ย. 2552 ผู้ประกอบการที่เน้นการรุกตลาดในกลุ่มที่มีฐานลูกค้าอยู่เดิมและมีความมั่นใจในการตอบรับของผู้บริโภค เช่น PS เปิดขายทาวน์เฮาส์ใหม่ 3 โครงการ ขณะที่ QH เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการตอบรับดีมากโดยเฉพาะโครงการ Q-House สาทร ที่มียอดจองแล้วกว่า 70%


ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งหลังของเดือน เม.ย. กิจกรรมการตลาดของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะอ่อนตัวลงบ้างผลจากความวุ่นวายภายในประเทศ แต่ด้วยการเข้าถึงฐานลูกค้าส่งผลให้จำนวนหน่วยที่ขายได้สูงถึง 2,225 หน่วย ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 2 ปี โดยสินค้าประเภททาวน์เฮาส์ขายได้มากถึง 45% ของหน่วยทั้งหมดที่ขายได้ ขณะที่คอนโดมิเนียมขายได้เพียง 12% ต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน

ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ Bearish และประเมินว่าใน Q2/52 ถึงแม้ว่ายอดขายของบางโครงการจะได้รับการตอบรับดี แต่โดยภาพรวมของกลุ่มอุปสงค์จะยังคงอ่อนตัว ซึ่ง SCRI คาดจะกลับมาเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลาย Q3/52 จากการกระตุ้นของหลายปัจจัย เช่น การเริ่มเร่งปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และการใช้ประโยชน์ลดหย่อนของผู้บริโภค โดย SCRI คงประมาณการที่คาดว่าปี 2552 ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะมีจำนวนลด 12.5% และมูลค่าลดลง 10% จากผลกระทบของเศรษฐกิจโดยรวมที่หดตัวและความเชื่อมั่นที่ลดลง โดย SCRI แนะนำ ซื้อ ลงทุนระยะยาวสำหรับ SPALI ขณะที่ QH / PS แนะนำเก็งกำไร

จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เดือน เม.ย. ลดลง 27% mom และ 48% yoy ข้อมูลจาก Agency for Real Estate Affair (AREA) เดือน เม.ย. 2552 พบว่าจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่มีจำนวนเพียง 12 โครงการลดลง 8 โครงการจากเดือนก่อน และมีจำนวนเท่ากับ 2,924 หน่วยลดลง 27% mom และ 48% yoy โดยในเดือนนี้พบว่าสินค้าประเภททาวน์เฮาส์มีสัดส่วนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 42% หรือเท่ากับ 1,223 หน่วย ขณะที่คอนโดมิเนียมมีจำนวนเพียง 710 หน่วยเป็นสัดส่วน 24% ต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือน และส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ใน 4M/52 มีจำนวนเท่ากับ 14,134 หน่วยลดลง 49% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน

มูลค่าตลาดลดลง 40% mom และ 38% yoy โดยมีมูลค่าคอนโดมิเนียมสูงถึง 50% : ในเดือน เม.ย. 2552 มูลค่าของที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทั้งหมดเท่ากับ 8,960 ล้านบาทลดลง 40.3% mom และ 38% yoy โดยมีมูลค่าของโครงการประเภทคอนโดมิเนียมมากที่สุดถึง 4,500 ล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมที่ AREA รายงานมีการเปิดใหม่เพียง 2 โครงการโดยเป็นโครงการภายใต้ QH ทั้งหมด คือ Q หลังสวน และ Q-House สาทร นอกจากนี้ทำให้มูลค่าของโครงการที่เปิดขายใหม่ใน 4M/52 เท่ากับ 48,663 ล้านบาทลดลง 35.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน

เนื่องจากการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม Q หลังสวน ซึ่งเป็นโครงการในระดับบน ส่งผลให้ระดับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในเดือน เม.ย. ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.3 ล้านบาทต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 3.1 ล้านบาท สวนทางกับบ้านเดี่ยวที่ระดับราคาเฉลี่ยเท่ากับ 2.7 ล้านบาทต่อหน่วยลดลงจากเดือนก่อนที่ 7.9 ล้านบาทต่อหน่วย ดังนั้นราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในเดือน เม.ย. จึงเท่ากับ 3.06 ล้านบาทลดลงจากเดือน มี.ค. ที่ 3.7 ล้านบาทต่อหน่วย

จากจำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่เป็นประเภททาวน์เฮาส์กว่า 41% และด้วยระดับราคาขายที่ไม่สูงมากทำให้ยอดขายของสินค้าในตลาดระดับกลางและระดับล่างได้รับการตอบรับที่ดี โดยยอดขายของสินค้าที่ราคาขายเฉลี่ย 1 - 2 ล้านบาทมียอดขายถึง 53% และที่ระดับราคา 2 - 3 ล้านบาทมียอดขาย 27%

ยอดขายเฉลี่ยของสินค้าแนวราบปรับตัวดีขึ้นมาก โดเฉพาะบ้านแฝด(เพิ่มขึ้น 96%) บ้านเดี่ยว(เพิ่มขึ้น 90%) ทาวน์เฮาส์(เพิ่มขึ้น 74%) ขณะที่ยอดขายเฉลี่ยของโครงการประเภทคอนโดมิเนียมเป็นประเภทเดียวที่ปรับลดลงจาก 48% ในเดือนก่อนเป็น 38% ในเดือน เม.ย.อย่างไรก็ตามเมื่อนับยอดขายที่ขายได้ของทุกประเภทจะเท่ากับ 2,225 หน่วยซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดในรอบ 2 ปี และเมื่อนำไปเฉลี่ยกับหน่วยที่เปิดใหม่ของเดือนนี้จึงได้ระดับยอดขายเฉลี่ยที่สูงถึง 76% สูงที่สุดในรอบหลายปีที่ SCRI เก็บข้อมูลมา

SCRI คาดปี 2552 ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ จะมีจำนวนลด 12.5% และมูลค่าลดลง 10% : SCRI คาดว่าด้วยอุปสงค์ของที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนตัว ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการจะมีความระมัดระวังในการเปิดขายและพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ประกอบกับ สถาบันการเงินที่มีความเข้มงวดในการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการเช่นกัน

ดังนั้น SCRI คาดว่าในปี 2552 ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะมีจำนวนเท่ากับประมาณ 59,000 หน่วยหรือลดลง 12.5% yoy ขณะที่นโยบายของรัฐเรื่องการเพิ่มเงินลดหย่อนภาษี 300,000 บาทจะทำให้ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะมีการปรับลดราคาขายน้อยลง ดังนั้น SCRI คาดมูลค่าของตลาดที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะลดลงเพียง 10% yoy เท่ากับประมาณ 166,000 ล้านบาท

คงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มที่ Bearish และแนะนำ SPALI เป็น ซื้อลงทุนระยะยาว ขณะที่ QH และ PS แนะนำ เก็งกำไร SCRI ประเมินว่าภาพรวมของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในเดือน เม.ย. จะไม่ใช่ภาพที่แท้จริงของส่วนที่เหลือของปี และยังคงให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มที่อยู่อาศัยเป็น Bearish จากปัจจัยลบที่ยังคงกดดันการเติบโตของกลุ่ม SCRI แนะนำลงทุนในบริษัทที่มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ของปีนี้ในระดับสูง เช่น SPALI ขณะที่แนะนำ เก็งกำไร สำหรับ QH และ PS จากการคาดการณ์ผลประกอบการของ Q1/52 ที่คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบทางลบด้านรายได้และจะได้ใช้ประโยชน์เต็มที่จากการลดหย่อนของภาษีธุรกิจเฉพาะ


****พบ SC เหลือ Upside สูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ

จากการสำรวจข้อมูล Analysts Consensus ของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พบว่า หุ้นอสังหาฯที่เหลืออัพไซด์มากที่สุดคือ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) มีโบรกเกอร์ที่ทำบทวิเคราะห์ทั้งหมด 2 แห่งราคาเป้าหมายของปีนี้เฉลี่ย 10.51 บาท/หุ้น เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้ที่ 8.20 บาท เหลือ Upside 21.98% รองลงมาได้แก่ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) มีโบรกเกอร์ที่ทำบทวิเคราะห์ทั้งหมด 3 แห่งราคาเป้าหมายของปีนี้เฉลี่ย 2.98 บาท เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้ที่ 2.74 บาท เหลือ Upside 8.05% และ บมจ.ศุภาลัย(SPALI) มีโบรกเกอร์ที่ทำบทวิเคราะห์ทั้งหมด 16 แห่งราคาเป้าหมายของปีนี้เฉลี่ย 3.61 บาท/หุ้น เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้ที่ 3.32 บาท เหลือ Upside 8.03%

ตารางแสดง Upside ของราคาหุ้นกลุ่มอสังหาเมื่อเปรียบเทียบกับ Analysts Consensus

บริษัท บล.ที่ทำ Consensus ราคาปิด(25 พ.ค.) Consensusเฉลี่ย (บ.) Upsiade
AP 18 4.6 4.51 -2
LALIN 2 1.68 1.46 -15.07
LPN 16 4.5 4.3 -4.65
LH 16 4.96 4.21 -17.81
MJD 2 2.26 2.04 -10.78
MK 5 1.97 1.76 -11.93
NOBLE 3 2.74 2.98 8.05
PF 4 2.92 2.67 -9.36
PRIN 4 1.37 0.8 -71.25
PS 18 8.15 7 -16.43
QH 16 1.54 1.34 -14.93
SC 2 8.2 10.51 21.98
SIRI 5 2.78 2.52 -10.32
SPALI 16 3.32 3.61 8.03

ที่มา : eFinanceThai.com รวบรวม ข้อมูลจาก Settrade




หุ้นไทยปิดร่วง 0.63%

หุ้นไทยปิดร่วง 0.63% หลังตัวเลขเศรษฐกิจแย่เกินคาด
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปิดร่วงลง 3.51 จุด หรือ 0.63% มาอยู่ที่ 550.51 จุด ด้านบล. กสิกรไทยชี้ หุ้นไทยยังเสี่ยงปรับฐานลงได้อีก หลังตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มย่ำแย่กว่าคาด พร้อมระบุปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างมากที่สุดไม่เกินระดับ 580 จุด แนะลงทุนอย่างระมัดระวัง

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า จากการที่ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะปรับฐานลงได้ แต่ยังคาดเดาช่วงเวลาได้ยาก โดยมองว่าอาจมีแรงเก็งกำไรไปถึงอาทิตย์หน้าเท่านั้น และดัชนีอาจจะขึ้นไปสูงสุดที่ไม่เกิน 580 จุด หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯและไทยในระยะหลังมานี้ออกมาย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ต้องลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น

บล. กสิกรไทยมองว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ขาดปัจจัยบวกสนับสนุน เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ไม่ดีนัก และได้มีการประกาศผลประกอบการและจ่ายเงินปันผลไปหมดแล้ว เหลือเฉพาะปัจจัยราคาน้ำมันที่จะทำให้มีการเก็งกำไรกันได้ แต่เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแตะที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว หากปรับเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ก็อาจจะยังมีความเสี่ยงมากขึ้น และในที่สุดแล้วก็จะกดดันตลาดให้ปรับฐานลงเช่นกัน


ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ปรับลดลง 3.51 จุด หรือ 0.63% มาอยู่ที่ 550.51 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 20,406.28 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 550.92 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 247.74 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 798.66 ล้านบาท


เปิดตัว 12 หุ้นโรดโชว์!!



เปิดตัว 12 หุ้นโรดโชว์!!

ดัชนีวันที่ 25 พ.ค.52 ปิดที่ 550.51 จุด ลดลง 3.51 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 20,406.28 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 247.52 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคินชี้ว่า หุ้นไทยได้รับแรงกดดันซ้ำ หลังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.เผยตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1 ติดลบ 7.1% ซึ่งรุนแรงกว่าที่คาดว่าจะติดลบ 5-6% รวมทั้งปรับลดประมาณการปีนี้ติดลบ 3.5-2.5%!!

มองแนวโน้มว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังวิตกกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวรุนแรง ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีอิทธิพลต่อการแกว่งตัวของดัชนี แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ทยอยขายทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น หรือรอรับเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 540-535 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 560 จุด

ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์มองดัชนีมีโอกาสอ่อนตัวลงต่อ โดยตลาดยังรอปัจจัยบวกใหม่ๆที่เข้ามาเสริม ขณะที่นักลงทุนยังกังวลกับความเสี่ยงจากการเทขายหุ้นของต่างชาติ

แนะนักลงทุนติดตามปัจจัยหลักจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ทยอยลดพอร์ต

ประเมินแนวรับไว้ที่ 543 จุด และแนวต้านไว้ที่ 555 จุด

บล.ฟินันซ่าคาดว่า ดัชนีจะยังคงผันผวนตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวแนะให้ซื้อสะสมในหุ้นแบงก์ใหญ่ ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นให้พิจารณาข่าวหรือปัจจัยที่เข้ามากระทบเป็นรายวัน


มีข่าว ROBINS "ปรีชา เอกคุณากูล" กรรมการผู้จัดการใหญ่ คาดยอดขายครึ่งแรกปีนี้จะใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 6.73 พันล้านบาท หลังเริ่มเห็นสัญญาณซื้อดีขึ้นในเดือน พ.ค. โดยตัวเลขยอดขายเริ่มกลับมาเป็นบวก เนื่องจากความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา เห็นได้จากการจัดโปรโมชั่นต่างๆของห้างสรรพสินค้าได้รับการตอบรับ อย่างดีจากลูกค้า ทั้งนี้ จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 52 ที่ 23.4%


ปิดท้าย เปิดตัว 12 บริษัทที่จะได้ไปร่วมโรดโชว์กับตลาดหลักทรัพย์ที่นิวยอร์กและบอสตัน สหรัฐฯระหว่างวันที่ 25-30 มิ.ย.นี้ ดังนี้ ADVANC, TTW, TUF, THAI, MAJOR, KSL, KTB, BBL, BANPU, PTT, PTTEP และ CPALL!!


อินเด็กซ์ 51


Template by - Abdul Munir | Blogging4