24 กรกฎาคม 2552

เศรษฐีนักธุรกิจจีนเยือนไทย

เศรษฐีนักธุรกิจจีนเยือนไทย นำร่องลงทุน 2 หมื่นล.

สมาคมวัฒนธรรมไทย-จีน ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ บีโอไอ รวมทั้ง หอการค้าไทย เป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะนักธุรกิจจากสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก 250-300 คน เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่าง 24-29 ก.ค.นี้ ...



นายเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นามยืนยง จำกัด ในฐานะอุปนายกสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน เปิดเผยว่า สมาคมได้ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตลอดจนถึงหอการค้าไทย เป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะนักธุรกิจจากสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลกจำนวน 250-300 คน ที่จะเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่าง 24-29 ก.ค.นี้ ถือเป็นคณะแรกและคณะใหญ่ที่สุดที่นักธุรกิจฝ่ายไทยในสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีนเชื้อเชิญให้เดินทางเข้ามา ขณะที่หลายคนในจำนวนนี้ประสงค์จะเดินทางเข้ามาดูลู่ทางการค้าการลงทุน ตลอดจนถึงการท่องเที่ยวของไทยโดยตรง หลังจากที่ปฏิเสธการเดินทางเยือนไทยมาหลายครั้งจากเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มคนเสื้อเหลือง เหตุการณ์ก่อความไม่สงบในเดือน เม.ย.ของกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งถึงวิกฤติ เศรษฐกิจโลก และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009

"ความสำเร็จจากการเดินทางไปเชิญชวนนักธุรกิจจีนให้เข้าร่วมสัมมนาในงานเปิดสำนักงานการลงทุนของบีโอไอ ณ กรุงปักกิ่ง ช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาของสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน และสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก ปรากฏว่า มีนักธุรกิจจีนกว่าพันคนเข้าร่วม ทำให้มีนักธุรกิจจีนจำนวนมากสนใจเข้ามาลงทุนในไทย และแต่ละรายที่เดินทางมานี้เป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของจีน คาดว่าน่าจะมีเงินทุนจากจีนไหลเข้ามาในไทยไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาทด้วยกัน"



อุปนายกสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวด้วยว่า นักธุรกิจจีนกลุ่มนี้ได้แจ้งความจำนงในการที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ โรงงานเครื่องหนัง โรงงานปูนซีเมนต์ อู่ ต่อเรือ ตลอดจนถึงธุรกิจอัญมณี และธุรกิจท่องเที่ยว และบริการ เช่น โรงแรม เป็นต้น โดยรวมแล้วมีความสนใจด้วยกันถึง 15 หมวด ส่วนที่ถามว่า นักธุรกิจจีนกลุ่มนี้มีศักยภาพมากขนาดไหน นายเทพรักษ์ ตอบว่า ผู้ที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกของสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลกแห่งนี้ได้ ต้องมีทุนทรัพย์ อย่างต่ำ 1,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่สำคัญสมาคมนี้มีเครือข่ายนักธุรกิจที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลกเป็นสมาชิกถึง 300,000 คน กระจายอยู่ทั่วโลก ในจำนวนนี้มีบริษัทจีนที่ติดอันดับ 500 บริษัทแรกของโลกอยู่หลายราย

"รายที่ร่ำรวยที่สุดที่เดินทางเข้ามาไทยในครั้งนี้ด้วยเห็นจะเป็น นายหลิว หย่ง เห่า ประธานกลุ่มบริษัท นิว โฮป (NEW HOPE) นักธุรกิจใหญ่จากปักกิ่งซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ 4 กลุ่มคือ กลุ่มพลังงาน การเงิน-ธนาคาร เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ซึ่งมีสินทรัพย์รวม 300,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท (5.52 บาทต่อหยวน) คุณหลิวอยากจะเข้ามาหาลู่ทางลงทุนในไทยด้วย"

นายเทพรักษ์กล่าวด้วยว่า การเดินทางมาเยือนไทยของนักธุรกิจชั้นแนวหน้าจากจีนครั้งนี้ 150 คน เดินทางมาจากปักกิ่งและหลายมณฑลในจีน ขณะที่อีก 50 คนมาจากฮ่องกง และมาเก๊า ส่วนอีก 100 คนมาจากประเทศต่างๆทั่วโลก และทั้งหมดจะพำนักอยู่ ณ โรงแรมดุสิตรีสอร์ท พัทยา เพื่อเข้าร่วมสัมมนาลู่ทางการค้า และการลงทุนร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การเจรจาจับคู่การลงทุนกัน โดยมีนักธุรกิจฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมกว่า 400 ราย ขณะเดียวกันฝ่ายไทยโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยังเตรียมการจะลงนามในข้อตกลงร่วมกับสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของจีน (China Association of Small and Medium Enterprise) ซึ่งมีสมาชิกมากถึง 43 ล้านราย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยที่มีอยู่ 2 ล้านรายให้มีโอกาสเพิ่มขึ้น


อัศวิน’ขาใหญ่โผล่เก็บหุ้น‘GBX’

อัศวิน’ขาใหญ่โผล่เก็บหุ้น‘GBX’ ปัดไม่ได้ทำหุ้นวิ่ง-ยันอนาคตดี



วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โพสต์ทูเดย์ — “อัศวิน ลีลายนะ” รายใหญ่ซุ่มเก็บหุ้น GBX ปัดไม่ได้เป็นเหตุไล่หุ้นวิ่ง เชื่อบริษัทมีอนาคตดี มาร์เก็ตแชร์พุ่ง

นายอัศวิน ลีลายนะ นักลงทุนรายใหญ่ รายงานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า วันที่ 20 ก.ค. 2552 ได้ซื้อหุ้นบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) จำนวน 24 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.23% รวมกับหุ้นเดิม 35.086 ล้านหุ้น หรือ 3.26% ส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 59.086 ล้านหุ้น หรือ 5.49%


นายอัศวิน กล่าวว่า การซื้อหุ้นจำนวนนี้เป็นการซื้อครั้งเดียว และไม่เชื่อว่าจะเป็นสาเหตุให้ราคาหุ้น GBX ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการซื้อเพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้นไม่ได้เข้าไปซื้อเพิ่มอีก

สำหรับการซื้อหุ้นเนื่องจากเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีอนาคตทางธุรกิจดี โดยรายได้ไม่ได้มาจากธุรกิจหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เสริมธุรกิจค้าทองคำเข้ามา และด้านธุรกิจหลักทรัพย์ได้เสริมทีมการตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ดีขึ้น

นอกจากนี้ ราคาหุ้น GBX ในตลาดถือว่าต่ำกว่าราคาหุ้นที่เสนอขายประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) ที่ 2 บาท จึงสนใจเข้ามาลงทุน

“การซื้อหุ้นของผมไม่เกี่ยวกับข่าวการควบรวมกิจการกับโบรกเกอร์อื่นและคิดว่าไม่น่าจะควบรวมกับใคร เพราะ GBX ได้ทำธุรกิจค้าทองคำและยังจะนำบริษัทลูกคือธุรกิจหลักทรัพย์เข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่คิดว่าจะควบรวมกับใคร” นายอัศวิน กล่าว

สำหรับนักลงทุนรายนี้ซึ่งมีข่าวว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ เป็นญาติของผู้ถือหุ้นใหญ่ GBX และมีมูลค่าซื้อขายร่วม 1 หมื่นล้านบาท/เดือน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนรายนี้ยอมรับว่า ช่วงตลาดหุ้นดีเคยทำวอลุมขึ้นไปถึงขนาดนั้น แต่การลงทุนช่วงนี้ได้ชะลอลง และมุ่งหันไปทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นธุรกิจค้าทองคำ ขณะเดียวกันหุ้นที่ลงทุนจะถือลงทุนระยะยาว ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ถือหุ้นบริษัทไหนที่มีนัยสำคัญ

“การซื้อขายหุ้นของผมปัจจุบันน้อย เน้นการทำธุรกิจส่วนตัวมากกว่า” นายอัศวิน กล่าว



เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าที่สุดในภูมิภาค

ADB มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าที่สุดในภูมิภาค
นายจอง หวา ลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) บอกว่า เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออก ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และพบสัญญาณว่ากำลังฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขค้าปลีกและคำสั่งซื้อจากภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ ประเมินว่า เศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวเป็นรูปตัว V โดยในปี 2553 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกหลังจากถดถอยอย่างแรงในปีนี้ โดยประเทศจีนจะเป็นผู้นำการฟื้นตัว ที่เป็นผลจากใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนปีหน้าจะขยายตัว 8 % จากปีนี้ที่โตเพียง 7 % ซึ่งต่ำสุดในรอบ 20 ปี

ส่วนเศรษฐกิจอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ จะมีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกัน โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบ 2 % และปีหน้าจะขยายตัว 3 % ซึ่ง ADB จะปรับประมาณการณ์อีกครั้งเดือนกันยายนนี้

ทั้งนี้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ถือว่าฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอินโดนีเซีย ที่คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัว 5% มาเลเซีย 4.5 % และฟิลิปปินส์ 3.5 % เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่มาก ประกอบกับขนาดของเศรษฐกิจในประเทศน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งการฟื้นตัวครั้งนี้ ก็จะต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก

ADB ยังเสนอแนะว่า แม้เศรษฐกิจเอเชียจะเริ่มฟื้นตัว แต่ประเทศต่าง ๆ ยังจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

ทั้งนี้ ยอมรับว่า แม้เศรษฐกิจจีนและเอเชียจะฟื้นตัว แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งยังต้องพึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก คือ สหรัฐ ยุโรป เพราะเป็นตลาดหลักของการส่งออก

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ สถานการณ์การเมืองของแต่ละประเทศ การระบาดโรคหวัดใหญ่ 2009 และ ภาวะเงินฝืด นอกจากนี้เอดีบียังเป็นห่วงปัญหาคนยากจน ที่ปัจจุบันในเอเชียมีถึง 60 ล้านคน และหากปีหน้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น จำนวนคนยากจนก็จะเพิ่มเป็น 100 ล้านคน




ดาวโจนส์ทะลุ 9,000 จุด

ดาวโจนส์ทะลุ 9,000 จุด ครั้งแรกนับตั้งแต่ ม.ค.52

นิวยอร์ก 24 ก.ค.-ดัชนีหุ้นสหรัฐพุ่งทะลุ 9,000 จุด ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุนที่เข้ามาอย่างคักคัก
หลังข้อมูลล่าสุดระบุ ยอดขายบ้านในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 3.6%
เช่นเดียวกับรายงานผลประกอบการไตรมาสสองของฟอร์ด มอเตอร์
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ที่มีผลกำไรถึง 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.76 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 67.16 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.40 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 1
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 3.01 พันล้านหุ้น

คลาแร็ง โอเคลลี หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Nomura Securities Intl ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด
การณ์การณ์ไว้ หลังจากสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอด
ขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 3.6% แตะระดับ 4.89 ล้านยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า
จะอยู่ที่ 4.84 ล้านยูนิต เพราะได้แรงหนุนจากมาตรการช่วยเหลือด้านภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ระดับต่ำ และราคาบ้านที่ปรับตัวลดลง

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กคึกคักขึ้นอีกเมื่อบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ค่ายรถ "บิ๊กทรี"
รายเดียวที่ไม่ล้มละลาย รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาสสองที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 69 เซนต์ต่อหุ้น
ซึ่งเป็นผลมาจากการลดต้นทุน และการได้ส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐเพิ่มขึ้นแม้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
โดยในไตรมาส 2/2551 ฟอร์ดขาดทุน 8.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.89 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นไตรมาส
ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟอร์ด

อลัน มูลัลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฟอร์ด กล่าวว่า ฟอร์ดได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสองปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเพราะแผนการปรับโครงสร้างมีความคืบหน้า นอกจากนี้
ฟอร์ดยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่องการขายแบรนด์วอลโว่เพื่อเพิ่มเงินสดด้วย หลังจากที่ขายแบรนด์หรู
ในเครืออย่าง จากัวร์ และ แอสตัน มาร์ตินไปแล้วก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ หุ้นฟอร์ดปิดบวก 9.4% หุ้น 3M ซึ่งเป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในสำนักงาน
รวมถึง เทปกาว Scotch และ Post-it Notes พุ่งขึ้น 7.4%

ส่วนหุ้นอเมซอนดอทคอมปิดพุ่ง 5.7% หลังจากอเมซอนดอทคอม อิงค์ ผู้ค้าปลีกออนไลน์
รายใหญ่สุดของโลก บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการของZappos.com Inc. ซึ่งเป็นการควบรวมกิจการครั้ง
ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โดยมีมูลค่าการทำธุรกรรมประมาณ 887.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้
อเมซอนมีแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าในครอบครองกว่า 1,000 แบรนด์

ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 9,069.29 จุด ปรับขึ้น 188.03 จุด หรือ 0.39%
เป็นการปิดเหนือเพดาน 9,000 จุดครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,973.60 จุด ปรับขึ้น 47.22 จุด หรือ 2.45%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 976.29 จุด ปรับขึ้น 22.22 จุด หรือ 2.33%

ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,559.80 จุด ปรับขึ้น 66.07 จุด หรือ 1.47%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,247.28 จุด ปรับขึ้น 125.72 จุด หรือ 2.45%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,373.72 จุด ปรับขึ้น 68.65 จุด หรือ 2.08%

ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 69.25 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้น 2.04 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 954.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 1.50 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 956.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 2.30 ดอลลาร์สหรัฐ

Template by - Abdul Munir | Blogging4