เศรษฐีนักธุรกิจจีนเยือนไทย นำร่องลงทุน 2 หมื่นล.
สมาคมวัฒนธรรมไทย-จีน ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ บีโอไอ รวมทั้ง หอการค้าไทย เป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะนักธุรกิจจากสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก 250-300 คน เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่าง 24-29 ก.ค.นี้ ...
นายเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นามยืนยง จำกัด ในฐานะอุปนายกสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน เปิดเผยว่า สมาคมได้ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตลอดจนถึงหอการค้าไทย เป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะนักธุรกิจจากสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลกจำนวน 250-300 คน ที่จะเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่าง 24-29 ก.ค.นี้ ถือเป็นคณะแรกและคณะใหญ่ที่สุดที่นักธุรกิจฝ่ายไทยในสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีนเชื้อเชิญให้เดินทางเข้ามา ขณะที่หลายคนในจำนวนนี้ประสงค์จะเดินทางเข้ามาดูลู่ทางการค้าการลงทุน ตลอดจนถึงการท่องเที่ยวของไทยโดยตรง หลังจากที่ปฏิเสธการเดินทางเยือนไทยมาหลายครั้งจากเหตุการณ์ปิดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มคนเสื้อเหลือง เหตุการณ์ก่อความไม่สงบในเดือน เม.ย.ของกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งถึงวิกฤติ เศรษฐกิจโลก และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009
"ความสำเร็จจากการเดินทางไปเชิญชวนนักธุรกิจจีนให้เข้าร่วมสัมมนาในงานเปิดสำนักงานการลงทุนของบีโอไอ ณ กรุงปักกิ่ง ช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาของสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน และสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลก ปรากฏว่า มีนักธุรกิจจีนกว่าพันคนเข้าร่วม ทำให้มีนักธุรกิจจีนจำนวนมากสนใจเข้ามาลงทุนในไทย และแต่ละรายที่เดินทางมานี้เป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของจีน คาดว่าน่าจะมีเงินทุนจากจีนไหลเข้ามาในไทยไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาทด้วยกัน"
อุปนายกสมาคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวด้วยว่า นักธุรกิจจีนกลุ่มนี้ได้แจ้งความจำนงในการที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ โรงงานเครื่องหนัง โรงงานปูนซีเมนต์ อู่ ต่อเรือ ตลอดจนถึงธุรกิจอัญมณี และธุรกิจท่องเที่ยว และบริการ เช่น โรงแรม เป็นต้น โดยรวมแล้วมีความสนใจด้วยกันถึง 15 หมวด ส่วนที่ถามว่า นักธุรกิจจีนกลุ่มนี้มีศักยภาพมากขนาดไหน นายเทพรักษ์ ตอบว่า ผู้ที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกของสมาคมนักธุรกิจยอดเยี่ยมเชื้อสายจีนทั่วโลกแห่งนี้ได้ ต้องมีทุนทรัพย์ อย่างต่ำ 1,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่สำคัญสมาคมนี้มีเครือข่ายนักธุรกิจที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลกเป็นสมาชิกถึง 300,000 คน กระจายอยู่ทั่วโลก ในจำนวนนี้มีบริษัทจีนที่ติดอันดับ 500 บริษัทแรกของโลกอยู่หลายราย
"รายที่ร่ำรวยที่สุดที่เดินทางเข้ามาไทยในครั้งนี้ด้วยเห็นจะเป็น นายหลิว หย่ง เห่า ประธานกลุ่มบริษัท นิว โฮป (NEW HOPE) นักธุรกิจใหญ่จากปักกิ่งซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ 4 กลุ่มคือ กลุ่มพลังงาน การเงิน-ธนาคาร เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ซึ่งมีสินทรัพย์รวม 300,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท (5.52 บาทต่อหยวน) คุณหลิวอยากจะเข้ามาหาลู่ทางลงทุนในไทยด้วย"
นายเทพรักษ์กล่าวด้วยว่า การเดินทางมาเยือนไทยของนักธุรกิจชั้นแนวหน้าจากจีนครั้งนี้ 150 คน เดินทางมาจากปักกิ่งและหลายมณฑลในจีน ขณะที่อีก 50 คนมาจากฮ่องกง และมาเก๊า ส่วนอีก 100 คนมาจากประเทศต่างๆทั่วโลก และทั้งหมดจะพำนักอยู่ ณ โรงแรมดุสิตรีสอร์ท พัทยา เพื่อเข้าร่วมสัมมนาลู่ทางการค้า และการลงทุนร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การเจรจาจับคู่การลงทุนกัน โดยมีนักธุรกิจฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมกว่า 400 ราย ขณะเดียวกันฝ่ายไทยโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ยังเตรียมการจะลงนามในข้อตกลงร่วมกับสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของจีน (China Association of Small and Medium Enterprise) ซึ่งมีสมาชิกมากถึง 43 ล้านราย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยที่มีอยู่ 2 ล้านรายให้มีโอกาสเพิ่มขึ้น
Categories
- กองทุน (2)
- ข่าวห้องค้า (7)
- ความรู้ หุ้น (15)
- ความรู้อนุพันธ์ (6)
- ความรู้อนุพันธ์;TFEX (1)
- ความรู้ SET (5)
- คอลัมน์ทองคำ (1)
- คอลัมน์หุ้น (30)
- ค่าเงิน (4)
- ค่าระวางเรือ (2)
- ดอกเบี้ย (6)
- ตลาดเงิน (3)
- ตลาดหุ้นทั่วโลก (9)
- ตลาดหุ้นไทย (239)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ (46)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ (2)
- ตัวเลขส่งออก (1)
- ตัวเลข GDP (2)
- ทองคำ (14)
- น้ำมัน (15)
- แนวโน้มตลาดรายวัน (8)
- บทความหุ้น (56)
- ปฎิทินหุ้น (3)
- แผนกู้วิกฤตการเงิน (19)
- วอร์แรนท์ (3)
- เศรษฐกิจญี่ปุ่น (1)
- เศรษฐกิจไทย (91)
- เศรษฐกิจโลก (29)
- เศรษฐกิจสหรัฐ (11)
- หุ้น (65)
- หุ้นกู้ (3)
- หุ้นเด่นวันนี้ (4)
- หุ้นแบงค์ (2)
- G20 (3)
- warrant (1)
--==::: ข่าวประกาศ :::==--
บทความย้อนหลัง
- 05 ก.ค. (1)
- 11 ก.ย. (3)
- 09 ก.ย. (6)
- 03 ก.ย. (3)
- 02 ก.ย. (2)
- 27 ส.ค. (2)
- 20 ส.ค. (3)
- 18 ส.ค. (4)
- 10 ส.ค. (4)
- 04 ส.ค. (1)
- 03 ส.ค. (5)
- 30 ก.ค. (5)
- 28 ก.ค. (4)
- 27 ก.ค. (3)
- 24 ก.ค. (4)
- 23 ก.ค. (4)
- 22 ก.ค. (5)
- 21 ก.ค. (3)
- 20 ก.ค. (7)
- 17 ก.ค. (3)
- 16 ก.ค. (4)
- 15 ก.ค. (2)
- 14 ก.ค. (4)
- 13 ก.ค. (5)
- 10 ก.ค. (5)
- 09 ก.ค. (5)
- 08 ก.ค. (4)
- 03 ก.ค. (6)
- 30 มิ.ย. (5)
- 29 มิ.ย. (6)
- 26 มิ.ย. (4)
- 25 มิ.ย. (5)
- 24 มิ.ย. (5)
- 23 มิ.ย. (5)
- 22 มิ.ย. (5)
- 19 มิ.ย. (5)
- 18 มิ.ย. (5)
- 17 มิ.ย. (4)
- 16 มิ.ย. (4)
- 15 มิ.ย. (6)
- 12 มิ.ย. (5)
- 11 มิ.ย. (4)
- 10 มิ.ย. (4)
- 09 มิ.ย. (4)
- 08 มิ.ย. (4)
- 05 มิ.ย. (5)
- 04 มิ.ย. (4)
- 03 มิ.ย. (1)
- 28 พ.ค. (4)
- 27 พ.ค. (4)
- 26 พ.ค. (6)
- 25 พ.ค. (6)
- 22 พ.ค. (8)
- 21 พ.ค. (5)
- 20 พ.ค. (4)
- 19 พ.ค. (3)
- 14 พ.ค. (3)
- 13 พ.ค. (2)
- 12 พ.ค. (2)
- 11 พ.ค. (5)
- 07 พ.ค. (3)
- 06 พ.ค. (4)
- 30 เม.ย. (4)
- 29 เม.ย. (5)
- 28 เม.ย. (4)
- 24 เม.ย. (4)
- 23 เม.ย. (4)
- 22 เม.ย. (4)
- 20 เม.ย. (3)
- 17 เม.ย. (4)
- 16 เม.ย. (4)
- 10 เม.ย. (5)
- 09 เม.ย. (3)
- 08 เม.ย. (7)
- 07 เม.ย. (7)
- 05 เม.ย. (4)
- 03 เม.ย. (7)
- 02 เม.ย. (8)
- 01 เม.ย. (8)
- 31 มี.ค. (5)
- 30 มี.ค. (6)
- 29 มี.ค. (4)
- 28 มี.ค. (2)
- 27 มี.ค. (9)
- 26 มี.ค. (8)
- 25 มี.ค. (4)
- 24 มี.ค. (6)
- 23 มี.ค. (7)
- 20 มี.ค. (6)
- 19 มี.ค. (9)
- 18 มี.ค. (6)
- 17 มี.ค. (6)
- 16 มี.ค. (7)
- 13 มี.ค. (3)
- 12 มี.ค. (3)
- 11 มี.ค. (5)
- 10 มี.ค. (8)
- 09 มี.ค. (7)
- 05 มี.ค. (7)
- 04 มี.ค. (6)
- 03 มี.ค. (3)
- 02 มี.ค. (5)
- 27 ก.พ. (5)
- 26 ก.พ. (2)
- 25 ก.พ. (5)
- 18 ก.พ. (2)
- 17 ก.พ. (3)
- 16 ก.พ. (2)
- 12 ก.พ. (2)
- 11 ก.พ. (3)
- 09 ก.พ. (1)
24 กรกฎาคม 2552
เศรษฐีนักธุรกิจจีนเยือนไทย
โดย Mboy เวลา 09:41 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เศรษฐกิจไทย, เศรษฐกิจโลก
อัศวิน’ขาใหญ่โผล่เก็บหุ้น‘GBX’
อัศวิน’ขาใหญ่โผล่เก็บหุ้น‘GBX’ ปัดไม่ได้ทำหุ้นวิ่ง-ยันอนาคตดี |
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 |
โพสต์ทูเดย์ — “อัศวิน ลีลายนะ” รายใหญ่ซุ่มเก็บหุ้น GBX ปัดไม่ได้เป็นเหตุไล่หุ้นวิ่ง เชื่อบริษัทมีอนาคตดี มาร์เก็ตแชร์พุ่ง
นายอัศวิน ลีลายนะ นักลงทุนรายใหญ่ รายงานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า วันที่ 20 ก.ค. 2552 ได้ซื้อหุ้นบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) จำนวน 24 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.23% รวมกับหุ้นเดิม 35.086 ล้านหุ้น หรือ 3.26% ส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 59.086 ล้านหุ้น หรือ 5.49%
นายอัศวิน กล่าวว่า การซื้อหุ้นจำนวนนี้เป็นการซื้อครั้งเดียว และไม่เชื่อว่าจะเป็นสาเหตุให้ราคาหุ้น GBX ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการซื้อเพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้นไม่ได้เข้าไปซื้อเพิ่มอีก
สำหรับการซื้อหุ้นเนื่องจากเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีอนาคตทางธุรกิจดี โดยรายได้ไม่ได้มาจากธุรกิจหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เสริมธุรกิจค้าทองคำเข้ามา และด้านธุรกิจหลักทรัพย์ได้เสริมทีมการตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ดีขึ้น
นอกจากนี้ ราคาหุ้น GBX ในตลาดถือว่าต่ำกว่าราคาหุ้นที่เสนอขายประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) ที่ 2 บาท จึงสนใจเข้ามาลงทุน
“การซื้อหุ้นของผมไม่เกี่ยวกับข่าวการควบรวมกิจการกับโบรกเกอร์อื่นและคิดว่าไม่น่าจะควบรวมกับใคร เพราะ GBX ได้ทำธุรกิจค้าทองคำและยังจะนำบริษัทลูกคือธุรกิจหลักทรัพย์เข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่คิดว่าจะควบรวมกับใคร” นายอัศวิน กล่าว
สำหรับนักลงทุนรายนี้ซึ่งมีข่าวว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ เป็นญาติของผู้ถือหุ้นใหญ่ GBX และมีมูลค่าซื้อขายร่วม 1 หมื่นล้านบาท/เดือน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนรายนี้ยอมรับว่า ช่วงตลาดหุ้นดีเคยทำวอลุมขึ้นไปถึงขนาดนั้น แต่การลงทุนช่วงนี้ได้ชะลอลง และมุ่งหันไปทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นธุรกิจค้าทองคำ ขณะเดียวกันหุ้นที่ลงทุนจะถือลงทุนระยะยาว ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ถือหุ้นบริษัทไหนที่มีนัยสำคัญ
“การซื้อขายหุ้นของผมปัจจุบันน้อย เน้นการทำธุรกิจส่วนตัวมากกว่า” นายอัศวิน กล่าว
โดย Mboy เวลา 09:39 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย, เศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าที่สุดในภูมิภาค
ADB มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าที่สุดในภูมิภาค |
นายจอง หวา ลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) บอกว่า เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออก ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และพบสัญญาณว่ากำลังฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขค้าปลีกและคำสั่งซื้อจากภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ประเมินว่า เศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวเป็นรูปตัว V โดยในปี 2553 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกหลังจากถดถอยอย่างแรงในปีนี้ โดยประเทศจีนจะเป็นผู้นำการฟื้นตัว ที่เป็นผลจากใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนปีหน้าจะขยายตัว 8 % จากปีนี้ที่โตเพียง 7 % ซึ่งต่ำสุดในรอบ 20 ปี ส่วนเศรษฐกิจอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ จะมีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกัน โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบ 2 % และปีหน้าจะขยายตัว 3 % ซึ่ง ADB จะปรับประมาณการณ์อีกครั้งเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ถือว่าฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอินโดนีเซีย ที่คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัว 5% มาเลเซีย 4.5 % และฟิลิปปินส์ 3.5 % เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่มาก ประกอบกับขนาดของเศรษฐกิจในประเทศน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งการฟื้นตัวครั้งนี้ ก็จะต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ADB ยังเสนอแนะว่า แม้เศรษฐกิจเอเชียจะเริ่มฟื้นตัว แต่ประเทศต่าง ๆ ยังจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ทั้งนี้ ยอมรับว่า แม้เศรษฐกิจจีนและเอเชียจะฟื้นตัว แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งยังต้องพึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก คือ สหรัฐ ยุโรป เพราะเป็นตลาดหลักของการส่งออก สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ สถานการณ์การเมืองของแต่ละประเทศ การระบาดโรคหวัดใหญ่ 2009 และ ภาวะเงินฝืด นอกจากนี้เอดีบียังเป็นห่วงปัญหาคนยากจน ที่ปัจจุบันในเอเชียมีถึง 60 ล้านคน และหากปีหน้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น จำนวนคนยากจนก็จะเพิ่มเป็น 100 ล้านคน |
โดย Mboy เวลา 09:38 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย, เศรษฐกิจไทย
ดาวโจนส์ทะลุ 9,000 จุด
ดาวโจนส์ทะลุ 9,000 จุด ครั้งแรกนับตั้งแต่ ม.ค.52
นิวยอร์ก 24 ก.ค.-ดัชนีหุ้นสหรัฐพุ่งทะลุ 9,000 จุด ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุนที่เข้ามาอย่างคักคัก
หลังข้อมูลล่าสุดระบุ ยอดขายบ้านในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 3.6%
เช่นเดียวกับรายงานผลประกอบการไตรมาสสองของฟอร์ด มอเตอร์
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ที่มีผลกำไรถึง 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.76 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 67.16 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.40 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 1
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 3.01 พันล้านหุ้น
คลาแร็ง โอเคลลี หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Nomura Securities Intl ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด
การณ์การณ์ไว้ หลังจากสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอด
ขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 3.6% แตะระดับ 4.89 ล้านยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า
จะอยู่ที่ 4.84 ล้านยูนิต เพราะได้แรงหนุนจากมาตรการช่วยเหลือด้านภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ระดับต่ำ และราคาบ้านที่ปรับตัวลดลง
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กคึกคักขึ้นอีกเมื่อบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ค่ายรถ "บิ๊กทรี"
รายเดียวที่ไม่ล้มละลาย รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาสสองที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 69 เซนต์ต่อหุ้น
ซึ่งเป็นผลมาจากการลดต้นทุน และการได้ส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐเพิ่มขึ้นแม้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
โดยในไตรมาส 2/2551 ฟอร์ดขาดทุน 8.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.89 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นไตรมาส
ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟอร์ด
อลัน มูลัลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฟอร์ด กล่าวว่า ฟอร์ดได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสองปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเพราะแผนการปรับโครงสร้างมีความคืบหน้า นอกจากนี้
ฟอร์ดยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่องการขายแบรนด์วอลโว่เพื่อเพิ่มเงินสดด้วย หลังจากที่ขายแบรนด์หรู
ในเครืออย่าง จากัวร์ และ แอสตัน มาร์ตินไปแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ หุ้นฟอร์ดปิดบวก 9.4% หุ้น 3M ซึ่งเป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในสำนักงาน
รวมถึง เทปกาว Scotch และ Post-it Notes พุ่งขึ้น 7.4%
ส่วนหุ้นอเมซอนดอทคอมปิดพุ่ง 5.7% หลังจากอเมซอนดอทคอม อิงค์ ผู้ค้าปลีกออนไลน์
รายใหญ่สุดของโลก บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการของZappos.com Inc. ซึ่งเป็นการควบรวมกิจการครั้ง
ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โดยมีมูลค่าการทำธุรกรรมประมาณ 887.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้
อเมซอนมีแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าในครอบครองกว่า 1,000 แบรนด์
ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 9,069.29 จุด ปรับขึ้น 188.03 จุด หรือ 0.39%
เป็นการปิดเหนือเพดาน 9,000 จุดครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,973.60 จุด ปรับขึ้น 47.22 จุด หรือ 2.45%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 976.29 จุด ปรับขึ้น 22.22 จุด หรือ 2.33%
ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,559.80 จุด ปรับขึ้น 66.07 จุด หรือ 1.47%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,247.28 จุด ปรับขึ้น 125.72 จุด หรือ 2.45%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,373.72 จุด ปรับขึ้น 68.65 จุด หรือ 2.08%
ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 69.25 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับขึ้น 2.04 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ 954.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 1.50 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดลอนดอน ปิดที่ 956.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับขึ้น 2.30 ดอลลาร์สหรัฐ
โดย Mboy เวลา 09:36 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นสหรัฐ, ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ, เศรษฐกิจสหรัฐ