10 กรกฎาคม 2552

THCOM เปล่งประกาย

THCOM เปล่งประกาย
*วงการเชียร์ สตอรี่เพียบ ปีนี้คาดกำไร 77 ลบ.


THCOM ยังแรงไม่เลิก 10 วันทำการราคาพุ่ง 32% ผู้บริหารปลื้ม เพราะพื้นฐานแกร่ง แถมราคายังต่ำบุ๊ค 14% ขณะที่มั่นใจปีนี้ได้เซ็นไอพีสตาร์กับรัฐบาลอินเดีย หนุนผลงานแจ่มได้แน่ ด้านวงการแซ่ซ้อง สตอรี่เพียบ นักลงทุนสนใจลงทุน หลังผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดปีนี้พลิกเป็นกำไรได้ 77 ล้านบาท อีกทั้งการันตีรอบนี้ไม่เข้าข่ายติด Turnover List แนะนำซื้อ เกียรตินาคิน ให้ราคาพื้นฐานถึง 9 บาท

กลายเป็นหุ้นที่ซื้อขายคึกคักอีกครั้งในช่วงนี้ สำหรับ บมจ. ไทยคม (THCOM) หลังจากก่อนหน้านี้ร้อนแรงจนถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นบัญชีเป็นหุ้นติด Turnover List และตลาดหลักทรัพย์ต้องกำหนดให้สมาชิกให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อหุ้น หรือ Cash Balance ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 - 26 มิ.ย.2552 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามแม้จะติดเกณฑ์เทรดเงินสด แต่ราคาหุ้น THCOM ก็ยังคงปรับตัวขึ้นได้อยู่ โดยเฉพาะในช่วง 10 วันทำการนั้น นับจากราคาปิดการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ราคาอยู่ที่ 4.60 บาท จากนั้นปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถึงวานนี้ (9 ก.ค. 52) ที่ระดับราคาสูงสุด 6.10 บาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 32.60% ขณะที่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.75% มูลค่าการซื้อขาย 459.63 ล้านบาท

ทั้งนี้การปรับขึ้นของราคาหุ้น THCOM คาดว่าเป็นผลมาโบรกเกอร์หลายแห่งประเมินว่าบริษัทมีข่าวดี กรณีที่คาดว่าจะปิดดีลการเซ็นสัญญาไอพีสตาร์กับรัฐบาลอินเดียได้ภายในปีนี้ รวมไปถึงยังเตรียมที่จะปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย แม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 บริษัทจะยังคงขาดทุนอยู่ก็ตาม แต่ทั้งปี 2552 จะสามารถพลิกเป็นกำไรได้แน่นอน ดังนั้นข่าวดังกล่าวจึงถือเป็นสตอรี่ ที่ช่วยหนุนให้มีแรงเก็งกำไรและส่งให้ราคาหุ้น THCOM ปรับตัวขึ้น อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นยังวิ่งไปต่อได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงถือว่า THCOM เป็นหุ้นอีก 1 ตัวที่ติดอันดับหุ้นแรงในช่วงตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา


* THCOM มองหุ้นวิ่งเพราะพื้นฐานแกร่ง-ราคาต่ำ Book 14%


แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นแรงในการซื้อขายว่า น่าจะเป็นผลมาจากนักลงทุนมองว่าระดับราคาขณะนี้น่าสนใจและพื้นฐานแกร่ง ประกอบกับมูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 14-15 บาท ขณะที่พาร์อยู่ที่ 5 บาท ซึ่งถือว่าเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน อีกทั้งช่วงก่อนหน้านี้หุ้น THCOM ถูกเทรดเงินสดจึงทำให้ค่อนข้างทรงตัว และหลังจากปลดเครื่องหมายทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น

'จริงๆ แล้วก็ไม่ทราบสาเหตุที่ราคาหุ้นขึ้น แต่เชื่อว่านักลงทุนน่าจะมองว่าราคาไม่แพงและผลประกอบการถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้หุ้น THCOM ติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ทำให้ต้องเทรดเงินสดทำให้ราคาหุ้นซึมๆ ไปบ้าง' แหล่งข่าว กล่าว

สำหรับความคืบหน้าในการเจรจากับรัฐบาลประเทศอินเดีย ในการให้บริการธุรกิจไอพีสตาร์นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับรัฐบาลประเทศดังกล่าวอยู่ โดยทีมงานพยายามที่จะดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ซึ่งเชื่อว่าใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว โดยคาดว่าน่าจะสรุปได้ภายในปีนี้

ส่วนผลการดำเนินการของบริษัทนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 นี้ พบว่า ค่อนข้างที่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้น่าจะยังคงขาดทุน เพราะมีการบันทึกค่าเสื่อมการบริการไอพีสตาร์เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้อาจจะดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อน แต่ผลการดำเนินงานทั้งปี น่าจะพลิกเป็นกำไรได้จากปีก่อนที่ขาดทุน เนื่องจากตลาดเดิมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น ขณะที่การให้บริการไอพีสตาร์ที่ทยอยเปิดให้บริการ อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ได้เริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ

'ผลงานครึ่งปีแรกคาดว่ายังคงขาดทุน เพราะบันทึกค่าเสื่อมไอพีสตาร์ค่อนข้างมาก แต่ถ้าไอพีสตาร์ขายได้เยอะก็จะคุ้มทุน ทั้งนี้ไตรมาส 2 อาจดีกว่าไตรมาสแรก แต่ยังไม่เห็นตัวเลข ซึ่งเดือน เม.ย.-พ.ค. ค่อนข้างทรงตัวไม่หวือหวา ซึ่งคงต้องรอดูผลในเดือนมิ.ย. ส่วนทั้งปีน่าจะพลิกเป็นกำไรได้ เนื่องจากตลาดเดิมในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น ส่วนตลาดเล็กที่ทยอยเปิดให้บริการก็ดีขึ้นและถ้าเซ็นสัญญากับอินเดียก็ยิ่งส่งผลดีต่อเรา' แหล่งข่าว กล่าว



* วงการ เชื่อรอบนี้ไม่เข้าเกณฑ์เทรดเงินสด เหตุวอลุ่มไม่มาก


นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า ราคาหุ้นของ THCOM ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจในประเด็นผลประกอบการทั้งปีนี้ที่คาดว่าจะสามารถพลิกกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุนได้ โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทฯจะมีกำไรอยู่ที่ 77 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และจะสามารถฟื้นตัวได้ รวมทั้งยังมีประเด็นข่าวการเซ็นสัญญาเพื่อให้บริการธุรกิจไอพีสตาร์กับรัฐบาลอินเดียได้ทันภายในปีนี้

อย่างไรก็ตาม มองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นยังไม่เข้าข่ายติด Turn Over List เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่ผ่านมายังมีจำนวนไม่มากนัก

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อ ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 9 บาท เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจดีและสัญญาณทางเทคนิคที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยประเมินแนวรับ 5.75 บาท ส่วนแนวต้าน 6.20 บาท ขณะที่แนวต้านทางจิตวิทยาอยู่ที่ 6.50 บาท


* ทรีนีตี้ ให้ราคาเหมาะสม 6.20 บาท แนะนำซื้อ


บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. ทรีนิตี้ คาดไตรมาส 2/52 กำไรสุทธิกลับเป็นบวกจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน โดยภาพรวมผลการดำเนินงานทรงตัวจากไตรมาส 1/52 แต่มีรายการบันทึกรายได้จากลูกหนี้ที่ล่าช้า (คาดว่าประมาณ 20 ล้านบาท) ทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นเล็กน้อย คาดผลการดำเนินงานปกติขาดทุน 62 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาส 1/52 ที่ขาดทุน 110 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิพลิกกลับเป็นบวก 251 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 220 ล้านบาทในไตรมาสก่อน จากบาทแข็งทำให้มีกำไรค่าเงิน 313 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 110 ล้านบาท

จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายคืออินเดีย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ iPSTAR ทยอยเปิดให้บริการแล้วในออสเตรเลีย กัมพูชา จีน พม่า นิวซีแลนด์ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ล่าสุดคืออินโดนีเซีย ซึ่งรวมแล้วคิดเป็น Capacity 80% ปัจจุบันมี Utilization อยู่ที่ 12% คงเหลืออินเดียที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ Capacity คิดเป็น 17.5% ของ iPSTAR ซึ่งหากการลงนามในสัญญากับรัฐบาลอินเดียเพื่อเริ่มให้บริการได้ในปีนี้ เมื่อรวมกับอีก 12 ประเทศข้างต้น คาดว่าจะทำให้ Utilization ณ สิ้นปีขึ้นถึงระดับคุ้มทุนที่ 15% ก่อนเร่งตัวสู่ 30% ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานรวมปี 2553 กลับมามีกำไรปกติเป็นบวกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2548

ความล่าช้าของ iPSTAR ในอีกมุมหนึ่งหมายถึงการที่ผู้อื่นจะเข้ามาแข่งขันได้ยาก ความล่าช้าของ iPSTAR มาจากกฎระเบียบที่รัดกุม และความกังวลของประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นดาวเทียมบรอดแบนด์ดวงแรกของโลก ทำให้ต้องใช้เวลานานเพื่อทำความเข้าใจกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ถึงรูปแบบธุรกิจ รวมถึงในแง่ความมั่นคงว่ารัฐสามารถควบคุมเนื้อหาและการใช้งานผ่านเกตเวย์ภาคพื้นดินได้ ซึ่งปัจจุบันแม้แต่จีนที่มีความเข้มงวดด้านการกำกับดูแลยังอนุญาตให้ iPSTAR เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ มองในมุมกลับความยากลำบากในการประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลประเทศต่างๆ แม้ทำให้ธุรกิจเริ่มต้นล่าช้า แต่ก็ช่วยกีดกันการเข้าแข่งขันของคู่แข่งรายใหม่ๆ ไปในตัวเช่นกัน

ความเสี่ยงจากไทยคม 2 หมดอายุ ตกปีละ 154 ล้านบาท อยู่ในประมาณการแล้ว เราคาดว่าหากดาวเทียมไทยคม 2 หมดอายุ จะมีลูกค้า C-Band จำนวน 4.4 ช่องสัญญาณ (Transponder) ที่ไม่สามารถโอนย้ายได้ไปยังไทยคม 5 เนื่องจากช่องสัญญาณเต็ม และหากไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงไอซีทีให้เช่าช่องสัญญาณจากดาวเทียมอื่น จะมีความเสี่ยงด้านรายได้ที่หายไปปีละ 154 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในประมาณการแล้ว และผลกระทบดังกล่าวถือว่าต่ำหาก iPSTAR สามารถเติบโตได้ดังที่เราคาด เราคงราคาเหมาะสมที่ 6.20 บาท (sum-of-the-parts) และคำแนะนำซื้อ



* SCRI แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” มูลค่าเหมาะสม 6.30 บาท


บทวิเคราะห์จาก สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) ระบุว่า การปลดระวางดาวเทียมไทยคม 1 และ ไทยคม 2 ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ โดยดาวเทียมไทยคม 1 หมดอายุในเดือน พ.ค. 2552 โดย THCOM ได้โอนย้ายลูกค้าของดาวเทียมไทยคม 1 ไปใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมไทยคม 5 ทั้งหมดแล้ว ส่วนดาวเทียมไทยคม 2 ที่กำลังจะหมดอายุลง ผู้บริหารกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือก โดยอาจจะมีการเช่าช่องสัญญาณของดาวเทียมดวงอื่นแทนไปก่อน อย่างไรก็ดี THCOM ไม่มีแผนลงทุนสร้างดาวเทียมใหม่ไปทดแทน ทั้งนี้ ดาวเทียมที่หมดอายุลงได้ส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาของ THCOM ลดลงประมาณ 50 ล้านบาท/ไตรมาส หรือ ลดลงราว 120 ล้านบาท ในปี 2552 และ 200 ล้านบาท ในปี 2553 ดังนั้นหาก THCOM ไม่มีการลงทุนสร้างดาวเทียมเพิ่มจะทำให้กำไรขั้นต้นของ THCOM ปรับตัวดีขึ้น

SCRI ประเมินว่า สัญญาสัมปทานของไทยคม 1 และ ไทยคม 2 ที่หมดลง จะไม่มีผู้ประกอบการมาเช่าวงโคจรที่ว่างลง โดยประเมินว่า การลงทุนสร้างดาวเทียมของรัฐบาลมีความเป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงและมีความเสี่ยงที่จะมีผลตอบแทนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนและต้องใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 2 ปี โดยหากเป็นการลงทุนสร้างดาวเทียมแบบ Conventional ลักษณะเดียวกันกับ ไทยคม 1 และ 2 จะใช้เงินลงทุนมากกว่า 3 พันล้านบาท (เทียบเคียงกับ THCOM ใช้เงินลงทุนสร้าง ไทยคม 1 และ 2 ประมาณ 2,500 – 2,900 ล้านบาท) และ อาจจะสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท หากเป็นการลงทุนสร้างดาวเทียมบรอดแบรนด์เช่นเดียวกับดาวเทียม IPSTAR และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเปิดให้ผู้ประกอบการเอกชนรายใหม่มาเช่าช่องสัญญาณของดาวเทียมไทยคม 1 และ ไทยคม 2 ที่จะปลดระวาง แต่เนื่องจากช่องสัญญาณของไทยคม 1 อยู่ที่วงโคจร 120 องศา ใกล้เคียงกับ 119.5 องศา ของดาวเทียม IPSTAR จึงต้องขออนุญาตจาก IPSTAR ในการตรวจสอบว่าสัญญาณซ้อนทับกันหรือไม่

คำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐาน SCRI ประเมินว่า ประเด็นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อ THCOM และ ยังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” จากประเด็นแนวโน้มผลการดำเนินงานของ THCOM จะไม่แย่ลงไปมากกว่านี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการปลดระวางดาวเทียม 2 ดวง ประกอบกับความเป็นไปได้มากขึ้นว่าการเซ็นสัญญากับรัฐบาลอินเดียจะเกิดได้ในปีนี้รวมถึงการทำตลาดเชิงพาณิชย์ในจีน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวบวกต่อ IPSTAR มูลค่าเหมาะสมของ THCOM ประเมินไว้ที่ 6.30 บาท (SCRI อยู่ระหว่างการปรับประมาณการ THCOM ใหม่) มูลค่าเหมาะสม 6.30 บาท



0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4