25 พฤษภาคม 2552

ผลงานบจ.ฟันธงกำไรต่ำสุดไตรมาส 2

โบรกฯส่องผลงานบจ.ฟันธงกำไรต่ำสุดไตรมาส 2


โบรกเกอร์ประเมินผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะถึงจุดต่ำสุดไตรมาส 2 ปีนี้ และจะผงกหัวในครึ่งปีหลัง ชี้ กลุ่มส่งออก-โรงแรม น่าเป็นห่วงที่สุด

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 468 บริษัท จาก 496 บริษัท รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2552 มีกำไรรวม 80,278 ล้านบาท ลดลง 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจที่หดตัวอย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ แต่บริษัทจดทะเบียนยังสามารถทำผลงานได้น่าประทับใจ

อย่างไรก็ตาม มีคำถามตามมามากมายว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในระยะต่อไป ไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 ไตรมาสที่ 4 และตลอดทั้งปี 2552 จะออกมาในรูปแบบใด ผลประกอบการจะดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะถึงจุดในไตรมาส 2 ของปีนี้ และพร้อมจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ปี 2552 น่าจะใกล้เคียงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2552 แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่และมีสัดส่วนต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างมาก เพราะราคาพลังงานในไตรมาส 2 ปี 2551 เป็นช่วงที่ราคาสูงที่สุด ซึ่งต่างกับราคาพลังงาน ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้ทิศทางเศรษฐกิจก็ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2552

กลุ่มธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มส่งออก ซึ่งรวมธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ที่มีรายได้หลักเป็นการส่งออก โดยประเมินว่ากำไรสุทธิของกลุ่มส่งออกในปีนี้จะลดลงประมาณ 40%
นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารก็จะเป็นกลุ่มที่มีกำไรสุทธิทั้งปีลดลง คาดการณ์ว่าจะลดลงประมาณ 16% จากกรณีที่ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เพราะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มีความเสี่ยง อีกทั้ง Net Interest Margin ก็ปรับลดลงเช่นเดียวกับแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อด้วย

"กลุ่มส่งออกน่าเป็นห่วงที่สุด ซึ่งรวมไปถึงธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ เพราะรายได้หลักมาจากการส่งออก แม้ออเดอร์ส่งออกจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 นี้ แต่การส่งมอบและบันทึกเป็นรายได้จะเกิดในไตรมาสที่ 3"


กลุ่มพาณิชย์กำไรโดดเด่น

สำหรับกลุ่มที่น่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้คือ กลุ่มพาณิชย์ คาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิไว้ 18% ส่วนกลุ่มพลังงาน คาดการณ์กำไรสุทธิเติบโต 14% เช่นเดียวกับกลุ่มขนส่ง เพราะได้รับอานิสงส์จากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น

ส่วนกลุ่มอาหาร คาดการณ์ว่าปีนี้ กำไรสุทธิจะมีการเติบโต 10% สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังคงมีมุมมองต่อกำไรสุทธิเป็นบวก เพราะมีปัจจัยเกื้อหนุนคือ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 1 อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มฟื้น

ทั้งนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ยังคงไม่ปรับประมาณการกำไรสุทธิของแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพราะต้องการแนวโน้มธุรกิจในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร จึงจะพิจารณาประมาณการกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนอีกครั้ง โดยประมาณการกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนที่เคยประเมินไว้ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะขยายตัวประมาณ 3-5%


นครหลวงจับตากลุ่มโภคภัณฑ์

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ปี 2552 หากเทียบปีต่อปี จะมีเพียงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เท่านั้นที่ปรับตัวดีขึ้น ด้วยอานิสงส์ด้านราคาและความต้องการถ่านหินที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างผกผัน
ส่วนกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรงกลั่น กลุ่มค้าปลีก และรับเหมาก่อสร้าง ผลประกอบการยังไม่เติบโตโดดเด่นมากนัก ขณะที่ปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมีผลประกอบการแย่ลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน

อย่างไรก็ตาม หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส แนวโน้มกำไรในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะดีขึ้น เพราะเชื่อว่าแนวโน้มยอดขาย ราคาและความต้องการจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว เช่นเดียวกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กที่ราคาเริ่มฟื้นตัว

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุว่า หลังจากที่ได้พบปะผู้บริหารของบริษัทในกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี สนับสนุนให้เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมี

ขณะที่กลุ่มน้ำมันในเครือ ปตท.ทั้งบริษัท ปตท. บริษัท ปตท.เคมิคอลล์ บริษัทไทยออยล์ และบริษัทไออาร์พีซี ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2552 โดยฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2552 ในขณะที่บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น และบริษัทบางจากปิโตรเลียม คาดกำไรลดลงจากไตรมาสแรก แต่ยังทรงตัวระดับสูงได้ ส่วนบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) กำไรน่าลดลง จากการปรับราคาของแหล่งก๊าซสำคัญๆ


ควบรวมเครือ ปตท.หนุนราคาหุ้น

สำหรับประเด็นการลงทุนของกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี นอกเหนือจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว สถาบันวิจัยนครหลวงไทยประเมินว่า การควบรวมกิจการของบริษัทในกลุ่ม ปตท. จะเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้น และ เป็นประเด็นสนับสนุนราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2553

โดยบริษัท ปตท.เคมิคอลล์ บริษัทไทยออยล์ บริษัทไออาร์พีซี และบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น ถือว่าเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจในแง่ของ P/BV ที่ต่ำ แต่สำหรับการลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน สถาบันวิจัยนครหลวงไทยยังคงมีความเห็นว่า มีเพียงธุรกิจน้ำมันต้นน้ำคือ ปต.และ ปตท.สผ. ที่น่าสนใจจากแนวโน้มกำไรที่จะกลับมาเป็นขาขึ้น ขณะที่กลุ่มโรงกลั่น และ ปิโตรเคมี ให้น้ำหนักกับภาพผลประกอบการเพียงในระยะสั้นๆ และประเด็นการควบรวม


ส่งออกและโรงแรมน่าห่วง

นายสุกิจกล่าวเพิ่มอีกว่า กลุ่มที่น่าเป็นห่วงเรื่องการขยายตัวของกำไรสุทธิที่สุด คือกลุ่มส่งออกและโรงแรม เนื่องจากความต้องการด้านท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลพวงมาจากภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโลก ส่วนการส่งออกก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทั่วโลกเช่นกัน อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยเรื่องการแข็งค่าของค่าเงินบาท

"ไตรมาสที่ 2 นี้จะเป็นไตรมาสที่บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิต่ำที่สุดของปีนี้ มองว่าการฟื้นตัวจะเริ่มในไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป แต่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 4 ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก" นายสุกิจ กล่าว

ทั้งปีนี้ คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโต 11% แต่ก็ต้องยอมรับว่ากำไรที่ได้มานั้น ไม่ใช่กำไรคุณภาพ เป็นกำไรที่เกิดจากการปรับตัวด้านราคาขาย โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ และเป็นการเติบโตจากฐานกำไรที่ต่ำเท่านั้น"


0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4