หุ้นสหรัฐปรับลงครั้งแรก หลังดัชนีพุ่งต่อเนื่องมา 4 วัน
นิวยอร์ก 17 มี.ค.-ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงเป็นครั้งแรก หลังจากที่ดัชนีพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องมา 4 วัน
ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคัก หลังนักลงทุนพอใจความเห็นของนายเบน เบอร์นานกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอาจสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ หากมาตรการกระตุ้นภาคธนาคารและสถาบันการเงินของรัฐบาลประสบความสำเร็จ จนผู้บริโภคและเจ้าของธุรกิจสามารถกู้ยืมเงินได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี มีแรงเทขายออกมาในหุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อทำกำไรระยะสั้น ทำให้ดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนลบ
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.9 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 2 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.15 พันล้านหุ้น
เดฟ โรเวลลี นักวิเคราะห์จากบริษัท Canaccord Adams ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มการเงิน หลังจากเอเม็กซ์เปิดเผยว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตในเดือนก.พ.พุ่งขึ้นเป็น 8.7% ส่งผลให้หุ้นอเมริกัน เอ็กซเพรสร่วง 3.3%
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะสิ้นสุดลงในปีนี้
เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ "60 Minutes" ทางสถานีโทรทัศน์ CBS ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐจะสิ้นสุดลงในปีนี้หากรัฐบาลประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาระบบการธนาคาร พร้อมระบุว่าการจะปลดปล่อยเศรษฐกิจออกจากภาวะถดถอยได้นั้นไม่เพียงแต่จะต้องแก้ไขปัญหาในระบบการธนาคารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกระตุ้นอัตราการปล่อยกู้ในระบบและฟื้นฟูกลไกตลาดการเงินให้กลับมาทำงานตามปกติ
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้มองว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจบสิ้นลงในปีนี้ แต่อัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นแตะ 10% ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันที่ 8.1% และเมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าอะไรคือปัญหาที่ส่งผลคุกคามเศรษฐกิจมากที่สุดในขณะนี้
เบอร์นันเก้ตอบว่า "ปัญหาในขณะนี้คือการเมือง หากสหรัฐใช้นโยบายเศรษฐกิจที่ปลอดการเมือง
จะช่วยแก้วิกฤตการณ์การเงินได้อย่างแน่นอน"
นักวิเคราะห์มองว่า ไม่บ่อยนักที่จะเห็นประธานเฟดให้สัมภาษณ์เพื่อแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ แต่การที่เบอร์นันเก้ตัดสินใจให้สัมภาษณ์ทางรายการ 60 Minutes ครั้งนี้อาจเป็นเพราะสหรัฐกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ไม่ปกติ จึงทำให้เบอร์นันเก้เลือกที่จะสื่อสาร
โดยตรงกับชาวอเมริกันเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ ซึ่งเป็นอดีตประธานเฟดสาขานิวยอร์กวางแผนที่จะเพิ่มสิทธิอำนาจให้กับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อลดความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจและเพิ่มข้อกำหนดด้านเงินทุนที่เข้มงวดขึ้นสำหรับธนาคารพาณิชย์รายใหญ่
หุ้นอัลโค อิงค์ ร่วงลง 10.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าจะปรับลดเงินปันผลและลดการใช้จ่ายในปีหน้าเพื่อรับมือกับอุปสงค์อะลูมินั่มที่ชะลอตัวลง
ด้านราคาน้ำมันดิบ
ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ระดับ 47.35 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 7,216.97 จุด ลดลง 7.01 จุด หรือ 0.10%
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,404.02 จุด ลดลง 27.48 จุด หรือ 1.92%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 753.89 จุด ลดลง 2.66 จุด หรือ 0.35%
ด้านตลาดหุ้นสำคัญของยุโรปปิดบวกต่อไป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 3,863.99 จุด เพิ่มขึ้น 110.31 จุด หรือ 2.94%
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นปารีส ปิดที่ 2,791.66 จุด เพิ่มขึ้น 86.03 จุด หรือ 3.18%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 4,044.54 จุด เพิ่มขึ้น 90.94 จุด หรือ 2.30%
ส่วนราคาน้ำมันดิบ
แหล่งเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 43.98 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 95 เซนต์
ขณะที่ราคาทองคำ
ตลาดนิวยอร์ก ปิดที่ออนซ์ละ 921.60 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 8.20 ดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวอินโฟเควสท์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น