28 กรกฎาคม 2552

ได้เวลา"เก็งกำไร"หุ้นเด็ดสัปดาห์นี้!!!

ได้เวลา"เก็งกำไร"หุ้นเด็ดสัปดาห์นี้!!!

Tuesday, 28 July 2009 07:56



กูรู ประสานเสียง ชี้ หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างสัปดาห์นี้คาดมีบิ๊กเซอร์ไพร์ส หลังผลงานไตรมาส2/52 ส่อแววดีเกินคาด แนะนักลงทุนเตรียมจับตา SCC-PTTEP-TPIPL-DCC ให้ดีหลังเตรียมทยอยประกาศผลงานQ2/52 งานนี้ แนะเก็งกำไรสถานเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ OVERWEIGHTED กลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ในส่วนของวัสดุก่อสร้างนั้น การใช้ปูนซีเมนต์ เม.ย. 52 ยังลดลง –11% ต่อจาก มี.ค.อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เม.ย. ติดลบน้อยลง และการใช้กำลังการผลิตในด้านก่อสร้างยังทรงตัวที่ 61.9% จึงคาดว่าใน 2Q52 มีโอกาสที่ยอดขายกลุ่มวัสดุก่อสร้างกระเตื้อง หุ้นที่เราชอบ คือ SCC (เป้าหมาย 180 บาท) อิงค่า P/E กลุ่มปูนซีเมนต์และปิโตรเคมีในต่างประเทศที่ขณะนี้ซื้อขายกันที่ระดับ 12x

ส่วนวัสดุตกแต่ง (furnishing materials) ปริมาณขายของวัสดุตกแต่งเริ่มกระเตื้องขึ้นจาก 4Q51 แต่ความต้องการโดยรวมยังซบเซา และราคาวัสดุตกแต่งส่วนใหญ่ยังอ่อนตัวเล็กน้อยจากการแข่งขันกันสูง ซึ่งมีเพียงบางบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้โดยขยายสาขาในต่างจังหวัด ส่งผลให้ DCC (เป้าหมาย 20 บาท) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีต้นทุนต่ำ ยังโตสวน ทางกับตลาดโดยรวมที่หดตัว

ด้านบล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ภาพรวมของกลุ่มวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 2 เชื่อว่าผลประกอบการของ SCC, TPIPL และ DCC น่าจะออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ได้คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวได้เร็วเช่นปัจจุบัน ซึ่งเดิมประมาณการว่าจะฟื้นตัวปลายปี จึงทำให้ในเชิงกลยุทธ์สามารถที่จะเข้าเก็งกำไรได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินทางปัจจัยพื้นฐานคงต้องพิจารณาถึงราคาหุ้นของแต่ละรายบริษัทว่าที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับราคาเป้าหมายมากน้อยเพียงใด ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนมองว่าหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างค่อนข้างที่จะผลการดำเนินงานไม่ค่อยโดดเด่นตั้งแต่ไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 1 ทำให้ราคาหุ้นถูกกดดันแต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าคาด โดยราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นจะสะท้อน 6-9 เดือนล่วงหน้า ซึ่งสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานกลุ่มดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ปัจจัยที่จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องน่าจะเป็น การสะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังว่าภาครัฐจะเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็ก ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการของหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างให้ปรับเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้อีก

'ความต้องการที่เพิ่มขึ้นถ้าหากเป็นจริงจะช่วยผลักดันราคาหุ้น แต่ถ้าหากมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นในแง่ลบเข้ามากระทบอาจจะทำให้นักลงทุนบางส่วนเทขายหุ้นออกมา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว โดยหุ้นกลุ่มเหล็กก็ปรับเพิ่มขึ้นมา 2 เท่ากว่า และ SCC ปรับเพิ่มขึ้นมาพอสมควร เราก็มองว่าการปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวน่าจะเป็นการขึ้นมาตอบรับกับข่าว ซึ่งหากนักลงทุนจะสนในลงทุนหุ้นกลุ่มนี้อยากให้นักลงทุนมองการลงทุนแบบรายตัว ดูผลตอบแทนและความเสี่ยงประกอบในการลงทุน'

ทั้งนี้ หุ้นที่ค่อนข้างโดดเด่น คือ TSTH เพราะเป็นผู้ประกอบการที่ผลิตเหล็กส่งยาว ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีมาร์เก็ตแชร์ 30% โดยจะได้รับอานิสงส์จากการก่อสร้างที่จะกลับมา โดยหากพิจารณาจากนโยบายภาครัฐจะพบว่าเน้นการลงทุนในอินฟาสตรัคเจอร์ อาทิ รถไฟฟ้า รางรถไฟฟ้าใหม่ และการก่อสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 จะทำให้ธุรกิจเหล็กส่งยาวถูกนำมาใช้ ประกอบกับบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เพราะมีบริษัทแม่คือทาทา ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะสามารถหาวัสดุเหล็กได้เปรียบกว่าคู่แข่ง ทำให้อัตราการทำกำไรสูง ประกอบกับ ในช่วงเดือน ส.ค. นี้ โรงงานใหม่จะเริ่มผลิตเฟสแรกได้ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อ TSTH

แต่อย่างไรก็ดี คาดว่างบไตรมาส 2/52 ของ TSTH อาจจะออกมาไม่ดี ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนระยะยาว เพราะผลประกอบการที่ไม่ดีจะตอบรับไปในราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับลดลง ซึ่งฝ่ายวิจัยอยู่ในระหว่างปรับประมาณการรายได้ กำไร ราคาเหมาะสมขึ้น จากการคาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์จากโครงการเมกะโปรเจ็ก ซึ่งเดิมประมาณการราคาเหมาะสมไว้ที่ 1.60 บาท

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดว่า SCC จะรายงานกำไรไตรมาส 2/52 อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่คงที่จากไตรมาสแรก ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษที่อ่อนตัวลง รวมถึงเงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน (equity income) ที่ลดลง ในขณะที่ผลประกอบการคงที่จากไตรมาสแรก เนื่องจากกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น ช่วยหักล้างกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษที่อ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล รวมถึงการมีเงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน (equity income) ที่เพิ่มขึ้น อนึ่ง บริษัทจะประกาศผลประกอบการในไตรมาส 2/52 ในวันที่ 29 ก.ค. นี้

ทั้งที่เข้าสู่ช่วงที่ผลประกอบการน่าจะอ่อนตัวตามปัจจัยฤดูกาล แต่ผลประกอบการของ SCC น่าจะยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 2/52 สนับสนุนโดยกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ดีกว่าคาด ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า SCC จะประกาศเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ 3.5บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 2.1% โดยในอนาคตฝ่ายวิเคราะห์ได้รวมส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนตัวไว้ในประมาณการของเราแล้ว เพราะคาดว่าจะมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีส่วนเพิ่มอีก 4-5 ล้านตันในครึ่งปีหลังของปี 52 และ 6-7 ล้านตันในปี 53 ตามข้อมูลของบริษัท

อย่างไรก็ดี จากต้นไตรมาส 3/52 ถึงปัจจุบัน ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยคงที่จากไตรมาสก่อนโดยเฉลี่ยซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป (สนับสนุนโดยความต้องการปิโตรเคมีทั่วโลกที่ดีกว่าคาด ความล่าช้าของการเริ่มกำลังการผลิตใหม่ และการเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ทั่วโลกแบบไม่เต็มที่) จะแสดงถึง upside กับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ และยังคงคำแนะนำ ถือ SCC ราคาเป้าหมายวิธี sum-of-the-part อยู่ที่ 170 บาท

ส่วนบทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ จำกัด รายงานว่า คาดว่า DCC จะรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/52 มีกำไรสุทธิ 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 20% จาดกไตรมาสแรก เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการเงินปันผลสำหรับไตรมาส 2/52 ขึ้นมาอยู่ที่ 0.48 บาทจากเดิม 0.45 บาทจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 2.5%

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการยังสดใส ยอดขายของ DCC โตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากความต้องการในต่างจังหวัดยังแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายของ DCC เรายังคงคาดว่า DCC จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะมุ่งเน้นถนนชนบทและโครงการบริหารจัดการน้ำในต่างจังหวัด ซึ่งโครงการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นอำนาจในการใช้จ่ายในต่างจังหวัด

ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังคงแนะนำ“ซื้อ” สำหรับ DCC ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 24.10 บาท (ปรับการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเป็นปีหน้า ที่ PER 10 เท่าปี 2553F) จากสถานะในตลาดที่แข็งแกร่ง, การมีระบบกระจายสินค้าเป็นของตนเองและความได้เปรียบด้านต้นทุน ส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาเป้าหมายของเราและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ยังน่าสนใจ

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดว่าไตรมาส 2/52 กำไรจากการดำเนินงานของ TPIPL จะอยู่ที่ 254 ล้านบาท ลดลง 58%จากช่วงเดียวกันปีก่อนภาวะการก่อสร้างโดยรวมที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ปริมาณการบริโภคปูนซีเมนต์ในประเทศช่วงไตรมาส 2 ปรับตัวลดลง 12%จากช่วงเดียวกันปีก่อน กดดันให้ราคาขายปูนปรับลดลงมาจากงวดไตรมาส 1/52 ประมาณ 50 บาท/ตัน เหลือเพียง 1,500 บาท/ตัน ราคาขายปูนที่ลดลงประกอบกับสัดส่วนการส่งออกปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอย โดยที่การส่งออกปูน จะมี margin ต่ำกว่าการขายในประเทศ จะทำให้ผลประกอบการของธุรกิจปูนซีเมนต์ของ TPIPL มีแนวโน้มปรับลดลงจากงวดไตรมาส 1/52

สำหรับผลประกอบการของธุรกิจเม็ดพลาสติก ก็มีแนวโน้มปรับลดลงเช่นกัน จากปริมาณการขายที่ลดลงตามฤดูกาล รวมถึงยังได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบคือ Ethylene ที่ปรับขึ้นเร็วกว่าราคาผลิตภัณฑ์ LDPE โดยรวมจึงคาดว่างวดไตรมาส 2/52 TPIPL จะมียอดขาย 5,510 ล้านบาท ลดลง 16%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี gross margin เฉลี่ยลดลงเหลือ 19.2% ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ในงวดไตรมาส 1 นี้ TPIPL จะมีการบันทึกกำไรพิเศษคือกำไรจากการขายหนี้คืนแบบมีส่วนลดประมาณ 353 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 607 ล้านบาท แม้ในระยะสั้น ผลประกอบการของ TPIPL ยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาะวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังซบเซา แต่เชื่อว่าปี 2553 สถานการณ์ต่างๆน่าจะปรับตัวขึ้น จากการเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆจากภาครัฐ ซึ่งจะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้ปริมาณการบริโภคปูนซีเมนต์ฟื้นตัวได้ในปี 2553 ขณะที่โครงสร้างทางการเงินของ TPIPL มีความเข้มแข็งมากขึ้นมาก และกำลังอยู่ในช่วงการเจรจากับเจ้าหนี้เกี่ยวกับระยะเวลาการชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ยใหม่ โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 2552 TPIPL จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,392 ล้านบาท และกำหนด Fair Value ที่ P/E 10 เท่า จะให้ราคาหุ้นทีเหมาะสมอยู่ที่ 6.90 บาท มี Upside 23%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงจากคดีความต่างๆที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะคดีเงินค่าปรับ 6.9 พันล้านบาท ที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงโอกาสที่ TPIPL จะไม่จ่ายเงินปันผลในปี 2552 จึงคงคำแนะนำเพียง ถือ

ส่วนบทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มั่นใจว่าบริษัทจะมีผลประกอบการไตรมาส 2/52 เป็นไปตามที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยเราคาดกำไรสุทธิไว้ที่ประมาณ 6,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสแก่อน แต่ลดลง 47%จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ปัจจุบันราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ $60-$70/bbl ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาขายปิโตรเลียมของบริษัท อย่างไรก็ตามเรายังมีความกังวลในด้านปริมาณขายซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 220,000 BOED ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 240,000 BOED

ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังไม่เปลี่ยนแปลงประมาณการผลการดำเนินงานในปีนี้ โดยยังคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิตามเดิม โดยคาดได้รายได้ประมาณ 114,480 ล้านบาทลดลง 18%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดกำไรสุทธิประมาณ 31,746 ล้านบาทลดลง 24%จากช่วงเดียวกันปีก่อน

จากแนวโน้มเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 53 เราคาดว่าราคาน้ำมันจะเป็นขาขึ้นและส่งผลดีต่อราคาขายปิโตรเลียมโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ในปี 53 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกจากแหล่งมอนทาราในออสเตรีย แหล่ง Arthit North และแหล่ง MTJDA ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 BOED จาก 240,000 BOED ในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25%ดังนั้นโดยภาพรวมคาดว่าผลประกอบการในปี 53 จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นโดยเราคาดรายได้ประมาณ 155,319 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 42%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดกำไรสุทธิประมาณ 48,472 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 53%จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ฝ่ายวิเคราะห์จึงแนะนำ “ซื้อ” : โดยมีราคาเป้าหมายในปี 53 ที่ 176 บาท ระยะสั้นหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงถือเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อสะสมเพื่อรอการฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในปี 53


กระแสหุ้นออนไลน์

0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4