05 เมษายน 2552

เก็งอสังหาฯรับดอกเบี้ยลด

เก็งอสังหาฯ รับ กนง.ลดดอกเบี้ย



จับตาแรงเก็งกำไรทะลักเข้าหุ้นกลุ่มอสังหาฯ รับคาดการณ์ กนง. ลดดอกเบี้ยในการประชุม 8 เมษายนนี้ 0.5% แต่นักวิเคราะห์แนะลุยกองทุนอสังหาฯ ปลอดภัยกว่า ขณะที่ภาพรวมตลาดฯ นักลงทุนยังกังวลการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เชื่อหากไม่มีเหตุรุนแรง ดัชนีฯ มีลุ้นไป 460 จุด

เปิดเทรด 7 เมษายน 2552 มีลุ้นแรงเก็งกำไรทะลักเข้าหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับคาดการณ์ คณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 0.25-0.5% ในการประชุมวันที่ 8 เมษายนนี้ โดยแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ เริ่มมีมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 เมษายน ที่ผลักดันให้ดัชนีกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยปิดที่ 58.97 จุด เพิ่มขึ้น 1.56 จุด หรือ 2.72%


* คาด กนง. ลดดอกเบี้ย 0.5%

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) (TNITY) กล่าวว่า คาดว่าการประชุม กนง. ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ซึ่งหากเป็นการปรับลดในระดับที่ตลาดฯ มีการคาดการณ์ไว้ก็จะไม่ส่งผลบรรยากาศเชิงบวกต่อตลาดหุ้นได้มากนัก

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือน เม.ย.นี้ บริษัทฯ แนะนำอุตสาหกรรมที่ให้น้ำหนักการลงทุนที่มากกว่าตลาด (Over Weight) คือหุ้นกลุ่มสื่อสาร ได้แก่ ADVANC และ DTAC รวมทั้งหุ้นสื่อและสิ่งพิมพ์ และกลุ่มค้าปลีก

อีกทั้งแนะนำเป็นหุ้นรายตัว ดังนี้ คือ CPALL, TOP, BCP, PTTAR, PTT, SCB, KBANK, BGH, BEC, MAJOR และ SPALI โดยปรับเปลี่ยน TTW ออกไป

ส่วนหุ้นที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน และให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด คือ LH, IRPC, THAI, TPC, TRUE และ CCET


* แนะเลือกลงทุนกองทุนอสังหาฯ ดีกว่าหุ้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ให้คำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น นักลงทุนควรหันมาพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะดีกว่า เพราะถือว่าทำได้ง่ายและเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนอย่างมี ประสิทธิภาพในภาวะที่เงินฝากให้ดอกเบี้ยต่ำ

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะ เป็นการแยกระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนออกจากกันดังนี้ คือ หุ้นอสังหาริมทรัพย์จัดเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนก็สูงในทิศ ทางเดียวกัน (High Risk High Return) ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลายตัวที่ให้อัตราตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield สูงกว่า 10% เพราะราคาได้ตกลงมามากตามภาวะตลาด เช่น LPN มี Dividend Yield สูงกว่า 14% ในขณะที่ SC มี Dividend Yield สูงกว่า 10% และ NOBLE ให้ Dividend Yield 10%

โดยประเมินว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะไม่เติบโตมากนัก เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนถูกบั่นทอนมากจากปัญหาเศรษฐกิจโลกและการเมือง ซึ่งแม้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจมีผลประกอบการที่ดี เพราะมีการรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

สำหรับ Backlog รวมทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แต่ในส่วนของการเติบโตของยอดขายใหม่คงจะไม่ได้เห็นและมีแต่จะถดถอยลงประเมิน จากตัวเลขจีดีพีและตัวเลขการว่างงานที่สะท้อนกำลังซื้อที่ตกต่ำของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักประกันว่าราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำมาแล้วจะไม่ลดลงไป กว่านี้แต่สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ตามสถิติที่ผ่านมามีการจ่ายเงินปันผล ตอบแทนผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่องถึงปีละ 4 ครั้ง โดยจะจ่ายรายไตรมาส และผลตอบแทนหรือ Dividend Yield ส่วนใหญ่จะสูงกว่า 10 ทั้งสิ้น อีกทั้งราคาก็ไม่ตกต่ำตามภาวะตลาดมากนัก ถ้าเทียบ Performance โดยรวมก็ถือว่าดีกว่าตลาด

ส่วนกองทุนอสังหาฯ ขณะนี้มีเกินว่า 50% ที่ราคาซื้อขายต่ำกว่า NAV แต่ความเสี่ยงที่ต้องประเมินของกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่สภาพคล่องและ การเข้าถึงข้อมูล ทั้งการติดต่อกับเจ้าของสินทรัพย์ในกองทุนและฟันด์เมเนเจอร์นักลงทุนจึงต้อง เลือกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และผลการดำเนินงานมีทิศทางที่ดี รวมถึงมีบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์หลายแห่งรองรับเพื่อให้พิจารณาข้อดีข้อ เสียได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่บล.เอเซียพลัสประเมินว่าโดดเด่นที่สุด และน่าลงทุน คือ CPNRF หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท โดยปัจจุบันมีราคาซื้อขายที่ 7.80 บาท ต่ำกว่า NAV ณ สิ้นปี 2551 ที่ 9.88 บาท อยู่ประมาณ 6.4% ขณะที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกไตรมาสคิดเป็น Dividend Yield ที่สูงมากกว่า 9% ต่อปี นอกจากนี้ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานที่เข้าลงทุนมีศักยภาพสูงและมีรายได้ ต่อเนื่องจากรายได้ค่าเช่า ซึ่งผู้เช่ามีความหลากหลายในธุรกิจจึงช่วยกระจ่ายความเสี่ยงรายได้จึงมั่นคง และแน่นอนในยามเศรษฐกิจถดถอย

และอีกกองทุนที่น่าสนใจคือ TFUNDที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลหรือ Dividend Yield สูงเกือบ 10% โดย TFUND ถือกรรมสิทธิ์ในโรงงานอุตสาหกรรม 131 แห่ง ของ TICON ซึ่งมีฐานรายได้จากการดำเนินงานมั่นคง โดย TICON มีมูลค่าตลาดสูงถึง 6 พันล้านบาท และมีสภาพคล่องสูง แนะนำซื้อ


* นลท. ยังกังวลชุมนุมเสื้อแดง

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันที่ 7-10 เมษายนว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ ดัชนีฯ มีโอกาสผันผวน เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากประเด็นการเมืองภายในประเทศ ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ซึ่งเป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ยังคงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล แม้ว่าศาลแพ่งได้มีคำสั่งเปิดทาง

โดยกลุ่มเสื้อแดงประกาศระดมพลใหญ่ในวันที่ 8-9 เม.ย.นี้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งการชุมนุมใหญ่ที่เกิดขึ้นยังไม่มีความชัดเจนว่าจะก่อให้เกิดปัญหาและ ความวุ่นวายมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป


* หากชุมนุมไม่รุนแรงดัชนีฯ จะไป 460 จุด

นายศราวุธ กล่าวต่อว่า หากประเด็นการเมืองไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ดัชนีฯ อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ สะท้อนจากตัวเลขต่างๆออกมาเป็นเชิงบวก ซึ่งล่าสุดในการประชุม จี 20 ได้อนุมัติเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำใช้แก้ปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามการแก้ปัญหาหนี้เสียของสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนในเร็ววันนี้ โดยดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 450 จุด และหากผ่านแนวดังกล่าวได้ มีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 460 จุด

นอกจากนี้ จากกรณีที่ยังไม่มีการออกพระราชกฤษฎีกา เรื่องการขยายเวลาลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11% ที่ครบกำหนดในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนระยะสั้นในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจต้องมีภาระต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ และประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกดดันดัชนีฯ

สำหรับการประชุมของ กนง. ในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ประเมินว่า กนง.น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากปัจจุบันที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ซึ่งหากกนง.ลดอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ไทย เนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ แต่หากปรับตัวลดลงมากกว่า 0.25% ก็อาจส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ซื้อ PTT-PTTEP และกลุ่มเดินเรือ โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ อยู่ที่ 436-433 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450-460 จุด


* คาด นลท. ชะลอลงทุนหลบหยุดยาวสงกรานต์

ด้านนายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีฯ 7-10 เม.ย.นี้ คาดการณ์ว่า ดัชนีฯ มีโอกาสแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยการประชุมในวันที่ 8 เม.ย. ของ กนง. ประเมินว่าอาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25-0.50% จากปัจจุบันที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดฯ

แต่อย่างไรก็ตาม หาก กนง.ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่า กนง. มีโอกาสสูงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยระบุว่า พร้อมที่จะใช้เครื่องมือที่มีอยู่เป็นตัวช่วยเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ประเมินว่านักลงทุนส่วนใหญ่อาจชะลอการลงทุน เนื่องจากใกล้เทศกาลหยุดยาวช่วงสงกรานต์ รวมทั้งนักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยบกับปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถคาด การณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน

"ดัชนีฯ ในช่วง 2 เดือนนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 500 จุด แต่ในระหว่างทางอาจจะปรับฐานบ้าง ดังนั้นนักลงทุนระยะ 2-3 เดือน อาจะสะสมหุ้น" นายกวี กล่าว

ทั้งนี้ ต้องติดตาม ประเด็นการเมืองภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของสถาบันการเงินทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งส่วนของสถาบันการเงินต่างประเทศนั้น มองว่าความกังวลในเรื่องของผลประกอบการลดลงน้อยลง เนื่องจากรัฐบาลยกเลิก Mark-to-Market ทำให้ผลงานน่าจะดูดี ซึ่งนักลงทุนก็คาดการณ์ว่าน่าจะมีกำไร แต่หากประกาศออกมาไม่มีมีผลขาดทุน ก็เป็นปัจจัยต่อตลาดฯ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ หาจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ อยู่ที่ 440 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด



ที่มา:eFinanceThai.com

0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4