02 มีนาคม 2552

ถ้าDJIAหลุด7000จุด..

ถ้าDJIAหลุด7000จุด..SETจะต่ำกว่า424จุด
วันที่ 2 มีนาคม 2552
โดย : คอลัมน์ Smart Investment แสงธรรม จรณชัยกุล บล. ธนชาต

บล.ธนชาต คาดตลาดหุ้นไทยหมดข่าวดีหนุน อาจถูกซ้ำเติมจากข่าวร้ายภายนอก SET Index มีโอกาสหลุดจากกรอบ 424 - 447 จุด แนะกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อ

ในครึ่งหลังของเดือนกุมภาพันธ์ 2552 SET Index ยังรักษากรอบการเคลื่อนตัวออกด้านข้างระหว่าง 427-447 จุดแกว่งตัวในช่วงประมาณ 20 จุด เป็นสัปดาห์ที่ 5 จากแรงหนุนของหุ้นใหญ่ในกลุ่มธนาคาร และสื่อสาร ซึ่งได้ประกาศจ่ายเงินปันผลด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า 3%
ในขณะที่กลุ่มพลังงานทรงตัวถึงอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากรายงานผลประกอบการชะลอตัวลง แม้ว่าจะยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ แต่จ่ายในอัตราค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับระดับราคาหุ้น ทำให้นักลงทุนผิดหวังพอสมควร

หุ้น PTT จ่ายงวดครึ่งหลังปี 2551 แค่ 2 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ตลาดคาดหวังเงินปันผลไว้สูงถึง 4 บาทต่อหุ้น และ BANPU จ่ายงวดครึ่งหลังแค่ 5 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายของตลาดโดยรวมได้ถดถอยลงตามลำดับ จากระดับเกือบ 8 พันล้านบาทในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ หดเหลือเพียง 5-6 พันล้านบาทในช่วงปลายเดือน เป็นเครื่องชี้ถึงความซบเซา โดยเฉพาะการลดลงของปริมาณหุ้นเปลี่ยนมือในบรรดาหุ้นขนาดใหญ่
SET Index แสดงความแข็งแกร่งกว่าดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ซึ่งในครึ่งหลังของเดือนกุมภาพันธ์ ถอยหลังลงมาสร้างจุดต่ำใหม่ที่ระดับใกล้ ๆ 7100 จุด ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลงถึง 10.2% จากช่วงปลายเดือนมกราคม และดิ่งลง 18.2% จากสิ้นปี 2551 ปัจจัยที่ถ่วงให้ DJIA ลงมาสร้างจุดต่ำใหม่ เกิดจากการอ่อนตัวลงของหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน คือ แบงก์ออฟอเมริกา เจ.พี.มอร์แกนเชส และซิตี้กรุ๊ป นำดิ่งลง

จากความกลัวของนักลงทุนว่า ความอ่อนแอของฐานะการเงิน จะส่งผลให้ในที่สุดต้องตกไปเป็นธนาคารของรัฐ (Nationalization)

นอกจากนี้ ยังมีข่าวเรื่องผลประกอบการไตรมาส 4/2551 ของ เอไอจีกรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะประสบกับภาวะขาดทุนอีกไม่น้อยกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจจะต้องขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐอีก แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะใส่เงินเพิ่มทุนให้ในช่วงปลายปี 2551 ถึง 150,000 ล้านดอลลาร์แล้วก็ตาม

นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิเพิ่มมากขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในช่วงวันที่ 13-26 กุมภาพันธ์ 2552 ขายสุทธิ จำนวน 2,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งขายสุทธิเพียง 598 ล้านบาท

เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 4 และผลประกอบการรวมในปี 2551 ได้ประกาศหมดแล้ว เราคาดว่านักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะเริ่มทบทวนประมาณการผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 2552 ลดต่ำลง รวมทั้งการลดราคาเป้าหมายลงด้วย

เราคาดว่า ภาวะการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้ายังจะซบเซาต่อเนื่อง และ จะหันกลับมาอิงกับข้อมูลภาพรวมทางเศรษฐกิจในประเทศ และทิศทางของตลาดหุ้นหลัก อย่างเช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ในอีกสองสัปดาห์หน้า คาดว่าข่าวร้ายทางด้านเศรษฐกิจยังจะปรากฏออกมาเป็นระยะ แม้ว่า กนง. จะได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% (เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2552) จนเหลือเพียง 1.50% และธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ลงอีก 0.25%
โดยในครั้งนี้มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลงด้วย 0.25% ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 6 ปี (สำหรับกลุ่มธนาคารใหญ่) แต่ข่าวดีเรื่องดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นได้

เราประเมินว่า ในสองสัปดาห์ข้างหน้า มีโอกาสค่อนข้างมาก ที่ SET Index จะหลุดออกจากกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 424 - 447 จุด จากการไหลออกของ Fund Flow สถานการณ์ ดังกล่าวจะเกิดขึ้นหากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดำดิ่งลงหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 7000 จุดลงไป เนื่องจากตลาดหุ้นไทยหมดข่าวดีหนุน ในขณะเดียวกันอาจจะถูกซ้ำเติมจากข่าวร้ายภายนอก


>> กลยุทธ์การลงทุน

เรายังแนะให้ใช้กลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อเช่นเดิม การแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง 424-447 จุดในช่วงที่ผ่านมา น่าจะถึงจุดแตกหัก ทิศทางของตลาดมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง
โดยเฉพาะหาก SET ไม่สามารถยืนเหนือ 424 จุด ได้ SET อาจจะถดถอยกลับลงมาสู่ระดับ 400 จุดอีก หรือลงไปถึงฐานที่มั่นเดิม บริเวณ 380 จุด แต่หากยืนเหนือ 424 จุดได้ ก็ยังจะแกว่งในกรอบ 424-460 จุดต่อไป

เราแนะให้หาจังหวะปรับพอร์ตการลงทุนไปตามผลประกอบการไตรมาส 4/2551 และให้คงโครงสร้างพอร์ตการลงทุนดังนี้

1.กลุ่มน้ำมัน : PTTEP และ PTT
2.กลุ่มธนาคาร : BBL SCB และ KBANK
3.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC
4.กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม : AMATA
5.กลุ่มสื่อสาร : DTAC และ ADVANC

0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4