05 กรกฎาคม 2555

อาบเหงื่อต่างน้ำ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

หุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม หรือธุรกิจบางอย่างนั้น ถ้าเราลงทุนซื้อไว้ก็จะพบว่า ราคาหุ้นไม่ไปไหนและอาจจะตกต่ำอยู่นานมาก หุ้นบางตัวก็อาจจะให้ปันผลอยู่บ้างแต่ปันผลนั้นก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้น หุ้นหลายตัวมีปันผลแต่ก็กระท่อนกระแท่นเพราะกำไรของบริษัทมีบ้างไม่มีบ้าง หุ้นหลายตัวแทบจะไม่มีปันผลเลยมีแต่ข่าวว่ายอดขายจะดีขึ้นและความหวังว่า กำไรจะมาแล้ว อนาคตกำลังจะ “สดใส” และหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มนั้น ในบางช่วงบางตอนอาจจะเป็น 2-3 ไตรมาศหรือ 2-3 ปี ก็แสดง “อภินิหาร” วิ่งขึ้นไปเป็นเท่า ๆ ตัวพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักเต็มที่และผู้คนกล่าวขวัญกันมาก แต่หลังจากนั้น เมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมกลับมาเป็นปกติ หุ้นก็ตกกลับลงมาและหงอยเหงาไปอีกนาน หุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าเราถือไว้ลงทุนระยะยาวหวังผลตอบแทนที่ดีแล้วละก็ ผมก็อยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับคนที่ต้องทำงานหาเงินว่า เป็นงานที่ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” หากินยากเหลือเกิน ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง


หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นเหล็ก หรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก นี่คือหุ้นกลุ่มที่ “หนัก” ที่สุดในสายตาของผม เพราะตั้งแต่ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้น หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มี “เวลาดี ๆ” คือช่วงที่หุ้นขึ้นน้อยเหลือเกิน เมื่อมันขึ้นไป คนที่เข้าไปเล่นนั้น บางทียังตั้งหลักไม่ทันมันก็ลงมาซะแล้ว ทำให้คนเล่นขาดทุนกันมากมายและก็เลิกเล่นไปอีกนานจนลืมบทเรียนที่เจ็บปวด เพื่อที่จะกลับมาเล่นอีกเมื่อมันมีข่าวว่าราคาเหล็ก “กำลังขึ้น” และกำไรของบริษัทจะ “มโหฬาร” เป็นวัฏจักรกันแบบนี้มาช้านาน


ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กก็คือ มันเป็นโภคภัณฑ์ที่มี Supply หรือมีวัตถุดิบและโรงงานเหลือเฟือในโลก ซึ่งทำให้มีการตัดราคากันอย่างสมบูรณ์ทำให้กำไรของผู้ผลิตมีน้อยมาก นาน ๆ ครั้งก็จะมีการขาดแคลนบ้างเนื่องจากความต้องการใช้เติบโตขึ้นมากระทันหันทำ ให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับยอดขายที่ค่อนข้างมากและสต็อกสินค้าที่มักจะสูง นี่ทำให้เกิด “กำไรจากสต็อก” สินค้ามากแต่บริษัทไม่ได้มีเงินสดจากกำไรนั้นที่จะเอาแบ่งปันกันมากมาย ผลก็คือ นักลงทุนที่เล่นหุ้นก็อาจจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กนั้นมักจะสูงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อราคาเหล็กปรับตัวขึ้น ผู้ผลิตทั่วโลกต่างก็จะเร่งผลิตเหล็กออกมาขายทำให้ราคาปรับตัวลงมา ซึ่งก็ทำให้บริษัทเหล็กขาดทุนจากสต็อกที่มีอยู่ นักลงทุนที่รู้ก่อนก็จะขายหุ้น ทำให้หุ้นตกลงมา วงจรของหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นมักจะมีช่วงเวลาที่ดีสั้นมาก แต่มีเวลาที่ “เลวร้าย” ยาวมาก


ใกล้เคียงกับหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นเรือ เพราะหุ้นขนส่งทางเรือนั้น มีลักษณะที่เป็น “โภคภัณฑ์” ที่มีการแข่งขันกันทั่วโลกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรือนั้น มี Supply จำกัดมากกว่าเหล็ก ในยามที่โลกขาดแคลนเรือ ราคาค่าขนส่งก็วิ่งขึ้นไปมากทำให้กำไรของบริษัทเรือเติบโตขึ้น “มโหฬาร” แต่การต่อเรือใหม่นั้นใช้เวลามากกว่าการผลิตเหล็กเพิ่ม ดังนั้น หุ้นเรือจึงมีเวลาที่ดียาวนานกว่าหุ้นเหล็ก ในขณะที่หุ้นเหล็กอาจจะดีได้เพียง 2- 3 ไตรมาศ หุ้นเรืออาจจะดีได้ถึง 2-3 ปี เพราะเรือนั้นกว่าจะต่อเสร็จแต่ละลำต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ “เลวร้าย” ของหุ้นเรือนั้น ก็มักจะยาวกว่า “เวลาที่ดี” มาก ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นเครื่องสังเกตว่าเวลาที่เลวร้ายกำลังจะผ่านไป คำตอบของผมก็คือ คงต้องรอจนกว่าบริษัทจะ “ขาดทุน” เพราะตราบใดที่บริษัทยังกำไร ผมก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่เวลาที่เลวร้ายที่สุด


ต่อจากธุรกิจเรือแล้ว ผมคิดว่าธุรกิจการบินเองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันในแง่ที่ว่ามันมีการแข่งขันกันดุเดือดและแข่งกัน “ทั่วโลก” เหมือนกันเพราะเครื่องบินนั้น “บินได้” ดังนั้น Supply จึงมีมากมายซึ่งทำให้การทำมาหากินนั้นยากลำบาก ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ว่าที่จริง บัฟเฟตต์เองก็เคยขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นสายการบินมาแล้วและบอกว่ามันเป็น ธุรกิจที่ยากลำบากจริง ๆ โดยเฉพาะในอเมริกาที่การบินนั้นมีการแข่งกันอย่างสมบูรณ์



อีกธุรกิจหนึ่งในตลาดหุ้นไทยที่ผมติดตามดูแล้วรู้สึกว่าคนที่ลงทุนคงจะ “เหนื่อย” เหลือเกินก็คืองานรับเหมาก่อสร้างงานอิฐ หิน ปูน ทราย หรือที่เรียกว่างาน Civil เช่น การก่อสร้างอาคาร ถนนหนทาง สะพาน ทางด่วน และสาธารณูปโภคอื่น ๆ อีกมาก นี่คืองานที่บริษัทต้องประมูลแข่งที่ราคาต่ำที่สุดเพื่อที่จะได้งาน นอกจากนั้น ผู้จ้างยังมักจะเป็นหน่วยงานราชการที่มีกฎระเบียบมากมาย การที่จะได้งานและส่งมอบงานมักจะต้องมี “ต้นทุน” ต่าง ๆ มากมายที่เราไม่รู้ ดังนั้น แม้ว่าจะมีงานในมือมหาศาล แต่กำไรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็มักจะ “กระท่อนกระแท่น” ซึ่งทำให้ราคาหุ้น “กระท่อนกระแท่น” ตาม นาน ๆ ครั้งก็จะมี “ข่าวดี” ที่บริษัทอาจจะได้รับงานใหญ่และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป แต่อยู่ได้ไม่นานเมื่อผลประกอบการปรากฏ หุ้นก็ตกลงไปที่เก่าและก็จะหงอยเหงาต่อไปอีกนาน การซื้อหุ้นรับเหมาสำหรับหลาย ๆ คนก็เป็นการ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” อีกกลุ่มหนึ่ง


หุ้นสิ่งทอ หุ้นการเกษตร และหุ้นที่อยู่ในภาวะอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บางอย่างนั้น การลงทุนแม้ว่าบางบริษัทยังจ่ายปันผลค่อนข้างดี แต่หุ้นก็มักจะไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วก็ “เหนื่อย” หรือ “เบื่อ” บางบริษัทก็อาจจะต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” เหมือนกัน


หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่มีคุณลักษณะ คล้ายกันก็คือ หุ้นที่ต้องอิงกับคนที่มีทักษะเฉพาะและมีเงินเดือนสูงและเป็นงานที่ต้องแข่ง ขันทางด้านราคาอาจจะโดยการประมูล ตัวอย่างเช่น หุ้น บริษัทที่ปรึกษาและรับงานทำระบบไอที หุ้นบริษัทโฆษณา หุ้นรับจัดงานอีเว้นท์ หุ้นของกิจการเหล่านี้มักจะเดินหน้าไปไม่ไกลแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรพอใช้ได้ และจ่ายปันผลพอสมควร เหตุผลก็เพราะว่าการขยายงานน่าจะโตไปได้ไม่มาก อาจจะเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านบุคลากรและด้านของความต้องการของลูกค้าเอง การที่งานต้องพึ่งพิงคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากทำให้การรักษาบุคลากรอาจ จะทำได้ยาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ลูกจ้างที่เก่งมาก ๆ อาจจะสามารถออกไปตั้งกิจการเองได้ไม่ยากเนื่องจากธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้ เงินทุนมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงหวังที่จะรวยยากแม้ว่าจะไม่ถึงกับเหนื่อยหนักเท่า กับธุรกิจอื่น ๆ ที่กล่าวข้างต้น


ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ก็มิได้หมายความว่าเราไม่ควรลงทุนซื้อหุ้นเหล่านั้นเลย เพราะในบางครั้งบางช่วงเวลา หุ้นเหล่านั้นก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาก เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องรู้ว่าเวลานั้นคือเวลาไหน เช่นเดียวกัน เราต้องรู้ด้วยว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะมี “เวลาที่ดี” จำกัด ในขณะเดียวกัน เวลาที่ “แย่” หรือเวลาที่ “เลวร้าย” นั้นกลับยาวกว่ามาก อย่าให้สถานการณ์ช่วงสั้น ๆ ทำให้เราไขว้เขวกับธรรมชาติของธุรกิจ เพราะนั่นจะทำให้เราพลาดและเจ็บหนัก อย่าลืมว่านี่คือ ธุรกิจที่ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ไม่ใช่ธุรกิจที่ “หากินง่าย” อย่างหลาย ๆ ธุรกิจที่ไตรมาศแล้ว ไตรมาศเล่า ปีแล้ว ปีเล่า ผลการดำเนินงานก็เติบโตไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่จะตามกันไปต่อเนื่องยาวนาน


ที่มา:ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Blog

11 กันยายน 2552

เม็ดเงินไหลเข้า...เล่นกลุ่มไหน ?

เม็ดเงินไหลเข้า...เล่นกลุ่มไหน ?


พลังของเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างประเทศกำลังส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นไปเหนือทะลุ 700 จุด และมีทีท่าว่าจะยังดันตลาดหุ้นให้ขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเมื่อกลับมาวิเคราะห์การไหลเข้าของเม็ดเงินอย่างกะทันหัน เรายังเชื่อว่าเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาพักระยะสั้นเพื่อ
1. หากำไรในตลาดหุ้นที่ยังมีช่องให้เล่น
2. มีแนวโน้มว่าทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยในหลายประเทศ (ไต้หวัน เกาหลี และอินเดีย) จะเร็วกว่าที่คาดไว้ส่งผลให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าไทย
3. มาจากผลการประเมินดัชนีหุ้นในเอเชีย (จาก IBES) ผ่านค่า P/E 12 เดือนล่วงหน้า และ P/BV จะพบว่าทุกตลาดเล่นกันเกินพื้นฐานของค่า P/E และ P/BV เฉลี่ย 5 ปี แล้ว อย่าง

จีน เทรดที่ค่า P/E 14.3 เท่ากับ P/E เฉลี่ย 5 ปีที่ 13.1 เท่า ค่า P/BV ที่ 2.5 เท่าเทียบค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 2.6 เท่า
ฮ่องกง เทรดที่ค่า P/E 17.1 เท่าเทียบที่ 15.9 เท่า P/BV ที่ 1.5 เทียบเฉลี่ย 1.7 เท่า
อินเดีย เทรดที่ค่า P/E ที่ 17 เทียบค่าเฉลี่ย 15.5 เท่า P/BV ที่ 3.5 เทียบเฉลี่ย 4.1 เท่า
อินโดนีเซีย เทรดที่ค่า P/E 13.8 เทียบเฉลี่ย 11.2 เท่า P/BV ที่ 3.8 เทียบเฉลี่ย 3.7 เท่า
เกาหลี เทรดที่ค่า P/E ที่ 11.8 เทียบเฉลี่ย 10.1 เท่า P/BV ที่ 1.5 เทียบเฉลี่ย 1.6 เท่า
มาเลเซีย เทรดที่ P/E 15.3 เทียบเฉลี่ย 13.8 เท่า P/BV ที่ 2 เทียบเฉลี่ย 2 เท่า
ฟิลิปปินส์ เทรดที่ P/E 14.7 เทียบเฉลี่ย 13.2 เท่า P/BV ที่ 2.5 เทียบเฉลี่ย 2.2 เท่า
สิงคโปร์ เทรดที่ P/E ที่ 15.8 เทียบเฉลี่ย 13.9 เท่า P/BV ที่ 1.7 เทียบเฉลี่ย 1.8 เท่า
ไต้หวัน เทรดที่ค่า P/E ที่ 22.5 เทียบเฉลี่ย 14.3 เท่า P/BV ที่ 1.9 เทียบเฉลี่ย 1.9 เท่า


ไทยเทรดกันที่ค่า P/E ปัจจุบันที่ 11.2 เทียบเฉลี่ย 5 ปีที่ 9.9 เท่า P/BV ที่ 1.7 เท่าเทียบค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 2 เท่า

หากโยงการประเมินที่กล่าวมาข้างต้นเทียบกับการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคนับตั้งแต่ต้น Q3 ถึงปัจจุบัน เราก็จะเห็นภาพได้ชัดขึ้น คือ ตลาดที่ขึ้นได้น้อยสุด นำโดยไต้หวัน อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เนื่องจากตลาดหุ้นเหล่านี้กำลังเทรดกันที่ค่า P/E และ P/BV ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีมาก

ส่วนตลาดที่ขึ้นได้แรงที่สุดในขณะนี้คือ ไทย รองลงมา คือเกาหลีจะพบว่าแม้ตอนนี้ค่า P/E จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีแต่ไม่มาก ที่สำคัญค่า P/BV ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี จากภาพที่กล่าวมาเราพอเห็นแล้วว่าการไหลเข้าของเม็ดเงินมายังตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นเพราะมีช่องให้เล่น คือค่า P/BV ปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีสูงที่สุด แม้จะมีประเด็นกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า แต่เรากลับมองว่าการไหลเข้าแบบนี้จะอยู่ไม่นาน เพราะที่ผ่านมาหากเริ่มมีการโยกเม็ดเงินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แสดงว่าเม็ดเงินเหล่านั้นกำลังจะทำกำไรให้เร็วที่สุด ประกอบกับเริ่มมีสัญญาณที่แปลก ๆ คือจู่ ๆ ราคาทองคำกลับพุ่งขึ้นแรงพร้อมราคาน้ำมัน อาจเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาเล่นหุ้น หรือทองคำ หรือเล่นน้ำมันล่วงหน้ากำลังดันราคาสินทรัพย์ดังกล่าวให้สูงที่สุดเพื่อขายทำกำไรเพื่อรับข่าวอะไรบางอย่าง ? หรือนำเงินไปปิดงบ Q3

เนื่องจากใน Q3 นี้ผลดำเนินงานของ Bank of America และ Citigroup จะออกมาขาดทุนขณะที่ Goldman Sach กำไรลดลงจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มาก และการแนะนำให้เข้าเล่นในรอบนี้ของเรามาจากการเกาะเม็ดเงินของต่างชาติเท่านั้น เพราะระดับดัชนีที่เป็นอยู่มันเกินพื้นฐานของปีนี้ไปมากแล้ว โดยระดับที่ประมาณ 720-730 จุดคือระดับดัชนี SET ในปีหน้าที่เราคาดการณ์เอาไว้ หากเห็นก่อนในปีนี้ ปีหน้าคงจะเห็นได้ยาก แม้หลาย ๆ ฝ่ายจะมองว่าปีหน้าทุก ๆ อย่างจะดีขึ้นแต่ให้โปรดระวัง? เพราะโลกยังต้องเผชิญกับปัญหาอีกหลายเรื่อง

แม้เรายังไม่รู้ว่าระยะเวลาที่เม็ดเงินเหล่านี้จะอยู่ในตลาดหุ้นไทยนานขนาดไหน แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องมีที่ลง โดยปกติเวลามีเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างชาติมักจะเข้าลงทุนในหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ หรือปูน

เราแสดงดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานที่เป็นผู้ผลิตน้ำมัน และโรงกลั่นในเอเชีย ตั้งแต่ต้น Q3 ถึงปัจจุบันเราก็จะเห็นได้ชัดว่าหุ้นในกลุ่มนี้ของไทย (PTT/PTTEP/TOP/BCP//ESSO) ปรับตัวขึ้นมาสูงเป็นอันดับ 3 หรืออาจพูดได้ว่าเป็นอันดับ 1 ก็ได้เพราะปากีสถาน และศรีลังกาเป็นตลาดที่เล็กมาก ดังนั้นการขึ้นแรงขนาดนี้ถือว่ามีความเสี่ยงมากเกินไปที่จะเข้าลงทุน ขณะเดียวกันเมื่อเรามาดูหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในเอเชียด้วยกันเองจะพบว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทยขึ้นได้ในระดับกลาง ๆ ตรงนี้กำลังจะบอกว่าความเสี่ยงของการเล่นหุ้นธนาคารจะต่ำกว่าพลังงานที่หลังจากนี้อาจผันผวนตามราคาน้ำมันได้อีก

เรามองว่ารอบนี้หุ้นธนาคารเล็กจะกลับมาวิ่งได้เร็วกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งจากกำลังมีข่าว และความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่า หุ้นที่แนะนำ คือ TISCO (ราคาเป้าหมายที่ 22 บาท) BAY (ราคาเป้าหมายที่ 20.5 บาท) และ TCAP (ราคาเป้าหมายที่ 19.7 บาท) ส่วนหุ้นธนาคารเล็กอีกตัวที่ เราแนะนำ ซื้อ คือ KK เนื่องจากมองว่าปีนี้จะมีกำไรสูงถึง 1,923 ล้านบาท EPS ที่ 3.65 บาท และคาดว่าจะจ่ายปันผลที่ 1.6 บาท โดยมีราคาเป้าหมายที่ 25 บาท ส่วนหุ้นธนาคารใหญ่ แนะนำซื้อเก็งกำไร KBANK ที่ราคาเป้าหมาย 82 บาท


-------------------------------------------
ที่มา...บล.ซิกโก้ นักวิเคราะห์ เกียรติก้อง เดโช

ต่างชาติโยกเงินลงทุน

ต่างชาติโยกเงินลงทุน ดันหุ้นเอเซียทะยาน

ต่างชาติโยกเงินเข้ามาลงทุน ดันตลาดหุ้นเอเซียทะยานกันถ้วนหน้า ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันพุ่งสูงสุดในรอบ 14 เดือน

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นเอเซียวานนี้ (10 ก.ย.) ดัชนีทะยานตัวในแดนบวก จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่โยกเม็ดเงินเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นเอเซีย

โดยดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันพุ่งขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนวันนี้ โดยการนำของหุ้นกลุ่มการเงิน จากความหวังที่ว่าไต้หวันจะลงนามในข้อตกลงการให้บริการทางการเงินกับจีนในเร็วๆนี้ ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่

-ดัชนีเวทเต็ดปิดปรับตัวลง 81.36 จุด หรือ 1.12% แตะ 7,332.08 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.
-ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดพุ่ง 48.6 จุด หรือ 1.1% แตะ 4,570.8 จุด
-ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดพุ่ง 201.53 จุด หรือ 1.95% แตะที่ 10,513.67
-ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทะยานขึ้น 36.91 จุด หรือ 2.3% แตะที่ระดับ 1,644.68 จุด
-ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวันนี้ร่วงลงเป็นครั้งแรกลดลง 21.38 จุดหรือ 0.73% แตะ 2,924.88 จุด
- ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวสูง 218.52 จุด หรือ 1.05% ปิดที่ 21,069.56 จุด



ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 1.08%ที่ 703.09
หลังแตะสูงสุด 710 รอบกว่า 1 ปีจากเงินทุนไหลเข้า


ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด(+1.08%) มูลค่าการซื้อขาย 36,680 ล้านบาท

ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ตลอดวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 710.62 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 699.70 จุด

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดยังเป็นกระแสจากเงินทุนที่ไหลเข้าในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้ตลาดสามารถที่จะผ่านแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 700 จุดแบบสบายๆ และขึ้นมาสูงสุดถึง 710 จุด แต่ช่วงท้ายเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมาช่วงสั้น

อย่างไรก็ตาม มองว่าตราบใด fund flow ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็มองว่าโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวลงมาแรงๆ โอกาสเห็นค่อนข้างยากอาจจะมีปรับเล็กน้อยในระหว่างวันเท่านั้น แต่เชื่อว่าโดยรวมแล้วตลาดยีงมีโอกาสจะขึ้นไปยืนเหนือระดับ 710 จุดได้ คิดว่าการที่เกิดเห็นแรงขายออกมาในช่วงบ่าย ก็คงเป็นลักษณะของการปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงธรรมดา และถ้าดูแรงซื้อที่ยังอยู่ในหุ้น big cap จึงมองว่ายังไม่น่ากังวลอะไร

"ปัจจัยแรกเงินยังไหลเข้า ปัจจัยที่ 2 ยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามา ขณะเดียวกันแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกที่มีการส่งสัญญาณที่ฟื้นตัวขึ้นมา โอกาสที่ตลาดหหุ้นจะปรับตัวขึ้นยังมีอยู่" นายวีระชัย กล่าว

แนวโน้มพรุ่งนี้เนื่องจากเป็นสุดสัปดาห์ก็ต้องระวังแรงขายในช่วงสั้นๆ แต่ถ้าปรับตัวลงมาน่าจะเป็นจังหวะของการเข้าไปซื้อเล่นรอบใหม่ได้ เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดว่าตลาดจะลงหรือจะขึ้นต่อไปให้ดูจำนวนซื้อสุทธิของต่างชาติเป็นหลักมากกว่า

นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีสูงสุดที่ 710 จุดของวัน สูงสุดในรอบประมาณ 1 ปี 1 เดือน โดยจุดสูงสุดครั้งก่อนอยู่ที่ 715 จุด เมื่อวันที่ 11/08/08



โบรกฯทำนายหุ้นไทยวันนี้เดินหน้าต่อ

นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ค่อนข้างผันผวนในแดนบวก ขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นในต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วงระหว่างการซื้อขายดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะ 710 จุด แต่ไม่สามารถยืนได้ ทำให้เผชิญกับแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วน ประกอบกับ ช่วงเปิดการซื้อขายบ่ายตลาดหุ้นฮ่องกงเผชิญกับแรงขายทำกำไรบ้าง ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกดดัน แต่อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มปตท. จึงช่วยหนุนให้ดัชนีฯ วานนี้เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก

สำหรับแนวโน้มของดัชนีฯ วันนี้ (11ก.ย.) มีโอกาสที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ทิศทางของราคาน้ำมันมี โอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังพบว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยน่าจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและช่วยผลักดันให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เพราะต้องยอมรับว่าในวันนี้เป็นวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดเสาร์และ อาทิตย์ จึงอาจจะทำให้นักลงุทนบางส่วนแบ่งขายหุ้นทำกำไร

กลยุทธ์ แนะนำ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยประเมินแนวต้านดัชนีฯ 710 จุด แนวรับ 700-698 จุด


ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นต่อหรือไม่

บล. กิมเอ็งบอกดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นต่อหรือไม่
ให้ดูจาก Fund Flow ต่างชาติ และราคาน้ำมัน

มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวในรายการ Trading Hour (Afternoon) ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในวานนี้ร้อนแรงเกินคาด และอาจปิดในระดับที่สูงกว่านี้ หากตลาดหุ้นหั่งเส็งของฮ่องกงไม่อ่อนตัวลงในช่วงบ่าย ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงตาม แต่ก็ยังไม่หลุดไปจากแนวรับอันแข็งแกร่งที่ 700 จุด

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยตามประเด็นข่าวการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือ บมจ. ปตท. และตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ซึ่งคาดว่าจะอ่อนค่าลงอีกในสัปดาห์หน้า เนื่องจากไม่มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

มยุรีบอกว่า ระดับ 700 จุดได้กลายมาเป็นแนวรับ และแนวต้านในวันนี้ (11 ก.ย. 52) น่าจะอยู่ที่ระดับ 710 จุด โดยมองว่า ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง แต่จะมีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงบ่าย เพื่อเก็บเงินไว้รอดูทิศทางการลงทุนในสัปดาห์หน้า โดยบล.กิมเอ็งยังมั่นใจว่าในปีนี้ดัชนีจะขึ้นไปแตะระดับ 750 ได้

อย่างไรก็ตาม มยุรียอมรับว่า ยังเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากว่า ดัชนีจะขึ้นไปได้ถึงระดับใด หรือจะปรับฐานตามสถิติที่เกิดเป็นประจำทุกปีในเดือนกันยายนหรือไม่ แต่ขอให้นักลงทุนติดตาม Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด และหากราคาน้ำมันเริ่มทรงตัวหรือปรับฐานลงอีกครั้ง ก็อาจเป็นสัญญาณที่แสดงว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยกำลังจะปรับลดลง


ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด (+1.08%) มูลค่าการซื้อขาย 36,680.17 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 373.00 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,898.89 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,271.89 ล้านบาท



09 กันยายน 2552

ทะลุ 700 แล้วจ้า!!

ทะลุ 700 แล้วจ้า!!

ดัชนีวันนี้ปิดที่ 703.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.50 จุด ระหว่างขึ้นทะยานขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 710 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 36,680 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,898.75 ล้านบาท

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด นำโดย PTT ปิดที่ 264 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท, PTTEP ปิดที่ 147.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท, TOP ปิดที่ 47 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท, PTTAR ปิดที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ BANPU ปิดที่ 422 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง มองแนวโน้มตลาดระยะสั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เพราะคาดการณ์ทิศทางของราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังพบว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ช่วยผลักดันดัชนีทะยานแรง
แต่การปรับตัวขึ้นที่ร้อนแรงของตลาด ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกมาได้ตลอดทั้งวัน เพราะดัชนีที่เดินหน้าปรับขึ้นมานี้ ทำให้นักลงทุนมีกำไรพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะการซื้อขายในวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ จึงอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนแบ่งหุ้นออกมาขายทำกำไร

แนะกลยุทธ์ ให้รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ด้านเทคนิค ประเมินแนวต้านดัชนีไว้ที่ 710 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 700-698 จุด

ปิดท้าย "มนตรี ศรไพศาล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็งระบุว่า ขณะนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของนักลงทุนค่อนข้างดี ทำให้เซนติเมนต์ของการลงทุนอยู่ในบรรยากาศที่ดี ขณะที่นักลงทุนหลายคนกลัวตกขบวนรถ จึงเข้ามาตะลุยผสมโรงไล่ซื้อหุ้น เป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายพุ่งขึ้นถึง 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน

ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีขณะนี้มี 2 ประเด็นหลักคือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่เห็นว่าเสถียรภาพการเมืองดีขึ้น ส่วนประเด็นเศรษฐกิจโลก ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กิมเอ็งได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จากติดลบ 4% เหลือติดลบ 3.5% เท่านั้น

และปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีปีนี้เป็น 750 จุด จาก 700 จุด!!


อินเด็กซ์ 51


ลดพอร์ตบ้าง เมื่อเข้าใกล้ 700

ลดพอร์ตบ้าง เมื่อเข้าใกล้ 700


สภาพตลาดวันวาน
ภาคเช้า : การเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นในภูมิภาค และการกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติ หนุนให้มีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักเข้ามาต่อเนื่องจากวันก่อน ทำให้ดัชนีเปิดเพิ่มขึ้นกว่า 5 จุด ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไร กดดันให้ดัชนีอ่อนตัวลงบ้าง โดยลดลงไปต่ำสุดที่ระดับ 683.62 จุด


จากนั้นจึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลัก โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และธนาคาร กลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หนุนให้ดัชนีแกว่งขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 690 จุด ได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี หลังจากนั้นจึงมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่ก็มีแรงรับซื้อเป็นระยะๆ หนุนให้ดัชนีแกว่งตัวแคบๆ บริเวณ 686-689 จุด เกือบตลอด 1 ชั่วโมงครึ่งสุดท้าย โดยหุ้น 3 ธนาคารใหญ่ที่ขึ้น XD เป็นวันแรก ก็ยังมีราคาเพิ่มขึ้นจากวันก่อน และดัชนีได้ปิดภาคเช้าที่ 688.95 จุด เพิ่มขึ้น 6.38 จุด โดยมีปริมาณซื้อขายหนาแน่นถึง 2 หมื่นล้านบาท

ภาคบ่าย : การเพิ่มขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าและราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า ประกอบกับข่าวการควบรวมกิจการของบริษัทในกลุ่ม PTT หนุนให้มีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีเปิดภาคบ่ายเพิ่มขึ้นเกือบ 2 จุด และสามารถแกว่งตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 696 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงจากแรงขายทำกำไรในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของการซื้อขาย จนมาปิดตลาดที่ 691.73 จุด เพิ่มขึ้น 9.16 จุด (+1.34%) โดยมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4.3 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2550 เป็นต้นมา ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง


แนวโน้มตลาด : ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้

1.ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ การดีดขึ้นต่อเนื่องจนทำระดับสูงสุดในรอบปีของตลาดหุ้นเอเชียหลายแห่ง คงจะส่งผลบวกต่อทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดแกนนำด้วยเช่นกัน แม้ว่าอาจไม่หนุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐได้เต็มที่นัก เนื่องจากนักลงทุนในสหรัฐอาจจะรอดูสัญญาณเศรษฐกิจจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงกลางสัปดาห์ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศในช่วงปลายสัปดาห์ อาทิ ตัวเลขดุลการค้าเดือน ก.ค. และงบประมาณของรัฐบาลกลาง เดือน ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะมีตัวเลขขาดดุลเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งอาจกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ และการเก็งกำไรในตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องบ้าง

2.ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า หลังจากเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ มาหลายวัน ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค. อาจจะแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้น ตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้น ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งอาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า โลหะมีค่า และสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ มีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานแกว่งตัวผันผวนเพิ่มขึ้น

3.ปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยการเมืองในระยะสั้นมีแนวโน้มผ่อนคลายลง หลังจากนายกรัฐมนตรีมีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่จะยอมให้การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางประเด็น รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาในการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่สะดวกขึ้น หลังจาก ปปช. มีมติชี้มูลความผิดของ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ในขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากรัฐบาลเริ่มดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง และเริ่มมีการคาดหวังในเชิงบวกต่อผลประกอบการไตรมาส 3/52 ของบริษัทจดทะเบียน ว่าธุรกิจหลักๆ จะยังคงมีผลประกอบการออกมาค่อนข้างน่าพอใจ ส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ มีแนวโน้มผันผวนบ้าง จากแรงขายทำกำไรในระยะสั้น โดยยังคงขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า และทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวภายในกรอบแนวรับ 680-685 จุด กับแนวต้าน 695-700 จุด

กลยุทธ์ นักลงทุนระยะสั้น - ขายทำกำไร ลดพอร์ตลงบ้างที่แนวต้าน รอซื้อคืนปลายสัปดาห์
นักลงทุนระยะยาว - ถือต่อ หรือ Short Port บ้าง ที่บริเวณแนวต้าน

โกสินทร์ ศรีไพบูลย์


Template by - Abdul Munir | Blogging4