23 มิถุนายน 2552

SET Index ส่อเค้า ปรับฐาน

SET Index ส่อเค้า ปรับฐาน ครั้งใหญ่ สายป่านยาว เตรียมตัว

ภัยธรรมชาติยังพอหลบหลีก แต่ภัยจาก"ความโลภ" แม้มีสติปัญญาก็มิอาจหลีกพ้น ศก.ฟื้น-เงินเฟ้อเฟื่อง-ดอกเบี้ยฟู ข่าวดีถดถอย..ข่าวร้ายกระชั้นชิด

"ข่าวดี" เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วก็ที่คิด...แต่ "ข่าวร้าย" คือหุ้นใกล้หมดรอบแล้ว วัดระยะทางจาก "จุดต่ำสุด" ของหุบเหว 380 จุด ขึ้นไปเที่ยวยอดดอยที่ 638 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 258 จุด หรือ 67% ขณะที่ข่าวดีเรื่องเศรษฐกิจฟื้นกำลังจะกลายเป็นข่าวร้าย "เงินเฟ้อ" อาจมาเร็วกว่าที่คิด


ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ เชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับ "ลงแรงในไตรมาส 3" ไม่ใช่สาเหตุหลักที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่มองว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกใกล้จะจบแล้ว ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะต้องเริ่มวางแผนทำ Exit Strategy หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จะต้องวางแผนลดการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน และลดการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อในอนาคต

ผลก็คือจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นราคาหุ้นก็จะปรับลดลง ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มสะท้อนถึง Exit Strategy ที่ว่านี้แล้ว พันธบัตร 10 ปีให้ผลตอบแทนเกือบ 4% ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จาก 2% เมื่อปลายปี 2551 ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เริ่มมีนักลงทุนพูดกันแล้วว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นภายในปีนี้ หรือไม่ก็ต้นปี 2553

นอกจากนี้ การที่ Valuations ของหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมจะต้องทำให้เกิดแรงเทขายตามธรรมชาติอยู่แล้ว บวกกับการปรับขึ้นของดอกเบี้ย รวมทั้งโอกาสที่เงินเฟ้ออาจจะกลับมาในไตรมาส 4 จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกฉีดเข้ามาสู่ระบบ ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่จะนำมาสู่การปรับตัวลงแรงของหุ้นในรอบนี้ ซึ่งมีโอกาสจะทำให้ตลาดหุ้นปรับลงไปสู่ระดับ 500 ต้นๆ ภายในไตรมาส 3 นี้

เมื่อ SET Index ใกล้จะเกิดอาการ Shut Down ชั่วคราว อาการกล้าๆ กลัวๆ ของนักลงทุนเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่เมื่อไร..?

ศ.ดร.ศุภชัย พิศิษฐวานิช อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการ บล.ไอร่า ประเมินสถานการณ์ให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ตลาดหุ้นมีโอกาส "ปรับฐานครั้งใหญ่" แต่จะช่วงไหนตอบไม่ได้ แต่เริ่มเห็นปฏิกิริยาที่ต่างชาติยังคงหาจังหวะขายหุ้นทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

ต่อให้ภาพตลาดหุ้นจะน่ากลัวแค่ไหน..ถึงนาทีนี้ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ฟันธงฉับว่า นักลงทุนควรใช้จังหวะที่หุ้นตก "ช้อนหุ้นพื้นฐาน" ใครชอบตัวไหนเลือกจิ้มได้ตามใจชอบ ช่วงนี้คนชอบเล่นสั้นจะหวาดกลัวการปรับฐานแรงจนต้องรีบขายทำกำไรออกมาก่อน ทำให้หุ้นบลูชิพหลายๆ ตัว ราคาต่ำกว่าพื้นฐานโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม "ธนาคารพาณิชย์" และ "พลังงาน"

ที่สำคัญหากมองกลับไปในแง่ของเศรษฐกิจไทย การผ่านร่าง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติมจำนวน 600,000 ล้านบาท จากวงเงินรวม 800,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้จ่ายในโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่เปราะบาง และมีแนวโน้มฟื้นตัวภายในสิ้นปี 2552 หรือไม่เกินต้นปี 2553

"คุณคิดตามผมนะ หากรัฐบาลจ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 100,000 ล้านบาท จะช่วยทำให้ GDP เกิดอาการ Powerful (แข็งแกร่ง) ทันที เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่จะเข้าไปกระตุ้นการจ้างงาน เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก"

อดีตบิ๊กคลัง ว่าต่อว่า แม้ส่วนตัวจะไม่มีหุ้นอยู่ในมือแม้แต่หุ้นเดียว แต่ก็ติดตามตลาดหุ้นและภาวะเศรษฐกิจตลอดเวลา ยังเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ พร้อมทั้งแนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในตลาดหุ้นให้แบ่งเงินออกมา 30-40% เพื่อลงทุนระยะยาวในหุ้นบูลชิพตัวที่มีฐานะการเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีก 30% ให้ลงทุนในหุ้นประเภท "เดย์ทูเดย์" เล่นตามข่าวไปวันๆ ส่วนอีก 30% ฝากแบงก์หรือซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ อย่างน้อยก็มีเงินเก็บไว้ให้ “อุ่นใจ” แถมความเสี่ยงต่ำอีกต่างหาก

ถามว่าการลงทุนรอบต่อไปนี้นักลงทุนควรหวังกำไรซักกี่เปอร์เซ็นต์ ประเด็นนี้คงต้องอยู่กับความพึงพอใจส่วนบุคคล แต่ละคนมีความปรารถนาไม่เหมือนกัน "ถ้าเป็นผมจะไม่โลภมาก"

อดีตปลัดคลัง กล่าวปิดท้ายว่า ถ้าให้คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้น..ไม่รู้จริงๆ มันไม่ใช่ทางของผม แต่ถ้าให้มองในมุมของเศรษฐกิจพูดได้เลยว่า "หุ้นไทยมาแน่" เพราะรัฐบาลชุดนี้มี "เซอร์ไพรส์" ตลอดเวลา โดยเฉพาะตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนนี้ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์อาจจะงุ่มง่ามบางครั้งแต่เขารอบคอบ ฉะนั้นช่วงนี้ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้หุ้นตัวไหนรีบหาโอกาสซื้อหุ้นเก็บไว้เลย...เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน


ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ถามความเห็นเซียนหุ้นมูลค่า "เบอร์หนึ่ง" ของไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ให้ทัศนะว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถึงจุดต่ำสุด SET Index ก็ต้องอยู่ในอาการผันผวนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นภายในปีนี้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานขึ้นหรือลงครั้งใหญ่ได้ ตัวแปรสำคัญขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนักลงทุน และเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ

“ใครคิดจะลงทุนแบบสั้นๆ ในช่วงตลาดปรับฐานก็ทำได้ แต่ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ส่วนนักลงทุนที่ชอบเล่นยาวยิ่งต้องหาจังหวะซื้อหุ้น เพราะหากมองไปอีก 1 ปีข้างหน้าจะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาจขึ้นมา 400,000-500,000 ล้านบาท (จะทำให้ค่า P/E ตลาดที่ว่าแพงตอนนี้ถูกลงในอนาคต)”

ในมุมของ กัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ตลาดหุ้นมีสัญญาณการปรับขึ้นหรือลงครั้งใหญ่ ฉะนั้นนักลงทุนควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม

"วันนี้พื้นฐานทางเศรษฐกิจบ้านเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งถ้าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาย่ำแย่ บอกได้เลยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน"

ผู้คร่ำหวอดในวงการโบรกเกอร์รายนี้ แนะนำว่า ใครที่อยากได้กำไรจากการลงทุน "เล่นสั้น" น่าจะดีกว่า ให้เลือกหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเงินลงทุนของภาครัฐ แต่จะเป็นตัวไหนเลือกซื้อตามความพึงพอใจ

ด้าน โกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสปรับตัว "ลดลง" ที่สำคัญหากทางการสหรัฐทยอยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาติดลบ โอกาสที่ SET Index จะปรับลดลงลึกก็มีสูงมาก

โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่นักลงทุนต้องติดตามในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า คือ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน, ดัชนีราคาผู้บริโภค, ดัชนีราคาผู้ผลิต และดุลบัญชีเดินสะพัด รวมถึงข้อมูลการสร้างบ้านใหม่ และยอดขายบ้าน เป็นต้น ยอมรับว่าตลาดหุ้นตอนนี้ต้องดูแบบกระชั้นชิด ถ้าไม่รอบคอบอาจพลาดท่าได้ง่ายๆ

“เชื่อว่าถึงสิ้นเดือนมิถุนายน นี้ SET Index จะทำการปรับฐานเสร็จเรียบร้อย และในเดือน ก.ค.น่าจะเป็นช่วงเหมาะสมที่จะเข้าลงทุน ส่วนใครที่ติดหุ้นในรอบนี้ต้องหาจังหวะขายก่อนช่วงหุ้นรีบาวด์ เพราะนาทีทองมีไม่นาน"

วัฏจักรตลาดหุ้นไม่เคยทรยศกฎธรรมชาติ "มีขึ้น" ย่อม "มีลง" นักลงทุนสายยาว "กรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก" เตรียม


0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4