30 กรกฎาคม 2552

เกาะกระดานหุ้น

เกาะกระดานหุ้น


@ วานนี้ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จัดงานแถลงข่าวผลประกอบการ งวดครึ่งปีแรก ปรากฏว่ามีมาตรการป้องกันไข้หวัด 2009 อย่างเข้มงวด โดยผู้ที่จะเข้าร่วมงานแถลงข่าวทั้งผู้บริหาร พนักงาน และสื่อมวลชนจะต้องถูกสแกนอุณหภูมิก่อนเข้างาน หากใครมีอุณหภูมิเกินระดับ 37.8 องศาเซลเซียส จะต้องนำตัวไปถูกกักบริเวณในห้องพยาบาล พอตอนแถลงข่าว มีการแจ้งผลการสแกนด้วยว่า ไม่มีใครที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่าระดับปกติ โดยเฉพาะ "กานต์ ตระกูลฮุน" บิ๊กบอสใหญ่ ประกาศบนฟลอร์แถลงข่าวว่า ตัวเองอุณหภูมิระดับ 36 องศาเซลเซียส แถมเปรยออกมาอีกว่า "สงสัยจะเป็นคนเลือดเย็น" งานนี้ไม่รู้ว่าจะส่งสัญญาณอะไรหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ใครถือหุ้นปูนใหญ่ เพื่อหวังรับเงินปันผลละก็ ปีนี้ต้องทำใจ เพราะครึ่งปีแรกจ่ายลงจากปีก่อนเกือบ 40% แล้วทั้งปีจะเหลือเท่าใดเดาเอาเอง


@ หุ้นนวลิสซิ่ง (NVL) วิ่งแรงมาเกือบสัปดาห์ วอลุ่มเริ่มแน่นเรื่อยๆ โดยเฉพาะล่าสุดปิดตลาดที่ราคา 0.50 บาทเพิ่มขึ้น 0.11 บาท คิดเป็น 28.21% มูลค่ารวม 30.73 ล้านบาท ปรากฏว่ากระแสข่าวลือแบงก์อิสลามจะส่งลูกหนี้เอ็นพีแอลให้บริหาร ขณะที่มีแหล่งข่าวบริษัทออกมายอมรับผ่านสื่อว่า เป็นเรื่องจริง จะสรุปได้ภายในปีนี้ แถมด้วยการคาดการณ์ปีนี้ว่าจะพลิกเป็นกำไรได้จากปีก่อนที่มีขาดทุน 120 ล้านบาท โอ้โฮ งานนี้จับตาดูกันให้ดี ตลาดจะให้ชี้แจงเพิ่มเติมหรือเปล่า เพราะช่วงนี้เห็นเข้มงวด และมี บจ.ต้องแก้ข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เอ้าใครคิดจะร่วมเก็งกำไรระวังเจอทางการเบรกหัวทิ่มไม่รู้ตัว แล้วจะหาว่าไม่เตือน

@ ราคาเทรดวันแรกของหุ้นเสนา (SENA) ไม่ประทับใจเท่าไร โดยปิดวานนี้ 2 บาท จากราคาไอพีโอ 1.98 บาท เพิ่มขึ้น 1.01% เท่านั้น วอลุ่ม 461 ล้านบาท ซึ่งไม่ติด TOP 10 กระดาน MOST VALUE ด้วยซ้ำ นักลงทุนเห็นความเคลื่อนไหวราคาเทรดวันแรกแล้วรู้สึกเป็นห่วง และมองข้ามชอตไปแล้วว่า ถึงเวลาแล้วที่บล.กิมเอ็งในฐานะแกนนำจัดจำหน่ายจะใช้กรีนชูมาพยุงราคาหุ้นไม่ให้ต่ำกว่าราคาจอง

แต่ "มนตรี ศรไพศาล" ก็ออกโรงชี้แจงแล้วว่า ยังไม่ได้ใช้กรีนชู 25 ล้านหุ้น เนื่องจากราคาต่ำสุดของ SENA อยู่เพียง 1.99 บาท ตามนโยบายแล้วจะนำกรีนชูมาใช้ก็ต่อเมื่อหุ้นลงไปต่ำกว่าราคาจองที่ 1.98 บาท เท่านั้น... ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องจับตาดูกันวันนี้ว่า ภาพรวมตลาดจะฉุดราคาหุ้น SENA ให้ต่ำจองหรือไม่

@ มีโอกาสพบปะ "ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล" บิ๊กบอส บางจากปิโตรเลียม (BCP) ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงราคาหุ้นว่าคิดเห็นอย่างไรกับราคาหุ้นปัจจุบัน ซึ่ง ดร.อนุสรณ์ ก็ยอมรับว่า ราคาหุ้นระดับนี้ ยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานทางบัญชีที่ระดับ 17.62 บาท (ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2552) แต่บริษัทไม่มีนโยบายเข้าไปทำราคาหุ้น จะมีก็แค่แจกแจงว่าหุ้นโรงกลั่นอย่าง BCP ไม่ได้รับ


TOP-PTTCH เด่น

พลังงานหุ้น TOP-PTTCH เด่น


รายงานโดย :สถาบันวิจัยนครหลวงไทย:


นักวิเคราะห์สถาบันวิจัยนครหลวงไทยยังให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานปกติ และระมัดระวังลงทุนหุ้นปิโตรเคมี

โดยมีหุ้นบริษัท ไทยออยล์ (TOP) และหุ้นบริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) เป็นหุ้นเด่น โดยมีจุดขายควบรวมกิจการในครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าการรวมกิจการจะเป็นจุดขายในช่วงครึ่งปีหลังของกลุ่มโรงกลั่นและกลุ่มปิโตรเคมี

ทั้งนี้ ได้ประเมินแนวทางในการควบรวมกิจการ 6 รูปแบบจับคู่ควบรวม 2 บริษัท 5 รูปแบบ (จับคู่ 6 รูปแบบ แต่ตัดคู่ TOP และPTTCH) ออกไป เพราะคาดว่าไม่มีการผนึกกิจการเชิงกลยุทธ์ และเป็นการควบรวมกิจการ 4 บริษัทอีก 1 แบบ


การประเมินการผนึกกิจการเชิงกลยุทธ์ของการควบรวมครั้งละ 2 บริษัท ระหว่าง TOP กับบริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) และบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) และ IRPC มีแนวโน้มเป็นการผลึกเชิงกลยุทธ์มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับการควบรวมครั้งเดียว 4 บริษัท จะมีการผนึกเชิงกลยุทธ์สูงสุดในทุกรูปแบบ เนื่องจากรวมกลยุทธ์ของแต่ละคู่ไว้ด้วยกันทั้งหมด แต่ปัญหาสำคัญคือมีความซับซ้อนมากกว่าวิธีอื่น และยากในการดำเนินการในเวลาระยะสั้นซึ่งสถาบันวิจัยนครหลวงไทยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการในรูปแบบการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน (Holding Company) แล้วทยอยควบรวมภายในอนาคต

จากการศึกษาควบรวมกิจการครั้งละ 2 บริษัท และครั้งเดียว 4 บริษัท ในเชิงความน่าสนใจการลงทุนควบรวม 4 บริษัท จะทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ในตลาดหุ้นไทย ขณะที่เทียบตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกการควบรวม 4 บริษัท จะทำให้ขนาดรายได้ติดอันดับ 297 หากเทียบการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์จูนปี 2552 และเป็นอันดับ 4 ในอุตสาหกรรมโรงกลั่นและเคมีภัณฑ์


ทั้งนี้ หากรวมกำลังการผลิตของ PTTAR ที่ขยายไปในปี 2552 และ PTTCH ที่ขยายไปถึงปี 2553 คาดว่าจะขึ้นติดอันดับ 1 ใน 3 ได้ตามที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้


ผู้บริหารบริษัท ปตท. (PTT) บริษัทแม่ของธุรกิจข้างต้นตั้งใจจะคงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลูกทั้ง 4 บริษัทไว้ในระดับเดิม ดังนั้นสถาบันวิจัยนครหลวงไทยคาดว่าการควบรวมมีโอกาสเกิดขึ้นโดยการควบรวมจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่แล้วกำหนดอัตราแลกหุ้นระหว่างกัน (Amalgamation) ทั้งนี้การกำหนดสัดส่วนในการแลกหุ้นจะถือเป็นประเด็นสำคัญที่กำหนดความน่าสนใจของหุ้น

สถาบันวิจัยนครหลวงไทยคาดว่าการกำหนดอัตราแลกหุ้นในกรณีของการรวมกันของ 4 บริษัท จากการศึกษาการกำหนดสัดส่วนการแลกหุ้นในกรณี Amalga mation ระหว่างบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC และบริษัท โรงกลั่นระยอง (RRC) ครั้งที่ผ่านมา โดยอิงจากการพิจารณา 3 วิธีหลักได้แก่ส่วนลดกระแสเงินสด วิธีการตลาดย้อนหลัง และวิธีเปรียบราคาตลาดซึ่งอิง 3 วิธี สัดส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) ราคาต่อมูลค่าบัญชี (พีบีวี) มูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา



ทั้งนี้ TOP มีอัตราส่วนแลกหุ้นดีที่สุดจาก 4 ใน 5 วิธี ขณะที่PTTCH มีอัตราส่วนแลกหุ้นดีที่สุดใน 1 วิธี พิจารณาจากสัดส่วนราคาต่อมูลค่าบัญชี การประเมิน 2 ใน 4 วิธีคือ กระแสเงินสดและมูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา อิงกระแสเงินสดแล้ว TOP ได้เปรียบเพราะเงินสดแข็งแกร่ง จึงคงน้ำหนักซื้อเก็งกำไร TOP ให้มูลค่าเหมาะสมอิงส่วนลดกระแสเงินสด54 บาท PTTCH อิงส่วนลดกระแสเงินสด ให้ราคาเหมาะสม 55 บาท

สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบแนฟทาเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น 6.6%จากสัปดาห์ก่อนหน้าเป็น 579 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ ทรงตัว ดังนั้นในสัปดาห์ที่ผ่าน มาส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ทั้งสายอะโรเมติกส์และ โอเลฟินส์ปรับลดลง โดยส่วนต่างราคาพาราไซลีน-แนฟทา และเบนซีน-แนฟทา ลดลง 3.1% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และ 13.3% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนต่างราคา HDPE-แนฟทา และเอทิลีน- แนฟทา ลดลง 7.7% จากสัปดาห์ ก่อนหน้า และ 11.7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า

Q4 ส่งออกบวกแรง 2 หลัก

รมช.พาณิชย์เชื่อ Q4 ส่งออกบวกแรง 2 หลัก
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มั่นใจว่า การส่งออกในไตรมาส 4/52 จะฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกในระดับตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากประเทศคู่ค้าหลักของไทย อย่าง สหรัฐ และจีน เริ่มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับในไตรมาส 4 เป็นช่วงเทศกาล และการส่งมอบสินค้า ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกในครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น จากครึ่งปีแรกที่ติดลบกว่า 20% และทั้งปีคาดว่าการส่งออกจะติดลบ 15-20 %

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกอีกว่า ได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ เอสเอ็มอีแบงก์ ในการสนับสนุนสินเชื่อวงเงิน 2,000-3,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ที่รายได้หดตัวลง 30-50 % จากการขาดสภาพคล่อง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้เพื่อรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า



นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาภาษีมุมน้ำเงิน ทั้งวงเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ รวมไปถึงต้องให้ความช่วยเหลือครอบคลุมในทุกกลุ่มทุกอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาได้ในสัปดาห์นี้ ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม คณะรัฐมนตรีต่อไป

นายประดิษฐ์บอกอีกว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทำให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจมากขึ้น เพราะกังวลหนี้เสียจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลจะพยายามช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ด้วยการเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้กับธนาคารของรัฐจาก 600,000 ล้านบาท เป็น 900,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการแบ่งสัดส่วนให้แต่ละธนาคารอยู่




ตั้งรับสัปดาห์นี้ที่ 600 จุด

บล. เกียรตินาคินมองกรอบตั้งรับสัปดาห์นี้ที่ 600 จุด

วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน กล่าวในรายการ Trading Hour (Afternoon) ว่า ดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับลดลงตามตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน ที่ธนาคารกลางจะเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนตามด้วยเช่นกัน หลังจากในต้นสัปดาห์นี้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นจากการ Rebound ของสินค้าโภคภัณฑ์ และตัวเลขเศรษฐกิจตลอดจนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ออกมาดีเกินคาด

อย่างไรก็ตาม วิริยาเชื่อว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสอ่อนตัวใกล้แนวรับที่ 600 จุดได้ในสัปดาห์นี้ ถ้าไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามา โดยนักลงทุนอาจเก็งกำไรในระยะสั้นเป็นรายตัว จากการประกาศผลประกอบการที่จะทยอยออกมา โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่สำหรับผู้ที่มีต้นทุนสูง อาจขายทำกำไรหุ้นในพอร์ตออกมาก่อน ถือเงินสดในมือเพิ่มเติมแล้ว ค่อยมองหาต้นทุนใหม่ ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีแรงซื้อเข้ามาพยุงช่วยให้ดัชนีไม่หลุดจากระดับ 550 จุด

สำหรับประเด็นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอย่างมากในขณะนี้คือ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และกระแสเงินมักไหลไปหาบริเวณที่มีสภาพคล่อง เนื่องจากหวังผลตอบแทนในระดับสูง

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 614.88 จุด ลดลง 7.08 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,431.425 ล้านบาท

- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,850.43 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,379.23 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 528.80 ล้านบาท



จับตาต่างชาติ

จับตาต่างชาติ

ดัชนีตลาดหุ้นไทยประจำวันที่ 29 ก.ค.52 การซื้อขายในภาคเช้า ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆในแดนลบ ปิดตลาดภาคเช้าลดลง 1.57 จุด

ก่อนเปิดตลาดบ่ายเวลา 13.40 น. ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีดิ่งลงทำจุดต่ำสุด 789.03 จุด ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาทันที

เปิดตลาดภาคบ่ายมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานและแบงก์ กดดัชนี ลงไปยืนต่ำสุด 610.78 จุด รูดลง 11.18 จุด จากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามาช้อนหุ้น จนดัชนีตลาดหุ้นไทยกระเตื้องมายืนปิดตลาดที่ 614.88 จุด ลดลง 7.08 จุด มูลค่าซื้อขาย 20,431.43 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,380.83 ล้านบาท

5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 1.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 345 บาท บวก 4 บาท 2.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 135.50 บาท ลบ 4 บาท 3.ปตท. (PTT) ปิดที่ 235 บาท ลบ 3 บาท 4.ไทยออยล์ (TOP) ปิดที่ 37.25 บาท ลบ 0.75 บาท และ 5.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ปิดที่ 22.50 บาท ลบ 0.40 บาท

ตลาดหุ้นในเอเชียต่างปรับลดลงถ้วนหน้า หลังจากคณะกรรมการกำกับกฎระเบียบธนาคารของจีน (CBRC) ออกมาเตือนแบงก์พาณิชย์ของจีน ที่ช่วงครึ่งปีแรกแข่งกันปล่อยสินเชื่อสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 7.4 ล้านล้านหยวน หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ หรือเกือบ 25% ของจีดีพี

เป็นเหตุให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีน ทั้ง Industrial and Com-mercial Bank of China (ICBC) และ China Construction Bank (CCB) ต่างหั่นเป้าสินเชื่อปีนี้ลง (P ตัวดำเอียง) สิ่งที่ต้องติดตามสำหรับตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ หลังดัชนียืนเหนือ 600 จุด นักลงทุนต่างชาติยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานและแบงก์อย่างต่อเนื่อง

ระหว่างวันที่ 1-29 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิไปแล้ว 8,383.12 ล้านบาท ส่วนยอดซื้อสุทธินับจากต้นปีเฉียด 30,000 ล้านบาทแล้ว

ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นวนเวียนไม่ไปไหน เหมือนกับต่างชาติเล่นเกมกดราคาเก็บของถูกใส่พอร์ต.

อินเด็กซ์ 51



Template by - Abdul Munir | Blogging4