วิบากกรรมหุ้นไทย
หุ้นไทยยังไร้ทิศทาง หลังดัชนีฯ วานนี้(23 มิ.ย.) ร่วงกราว ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย หลังเวิลด์แบงก์คาดการณ์ ศก.โลกหดตัวหนักกว่าที่คาด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรง ฉุดหุ้น Big Cap บล. คันทรี่ กรุ๊ป คาดดัชนีฯ มีสิทธิปรับลดลงได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แถมการเมืองยังวุ่นวายไม่เลิก ประเมินแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 550 จุด ด้านบล.เคที ซีมิโก้ สั่ง หลีกเลี่ยง ส่วนบล.กสิกรไทย มองไตรมาส 4/52 หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว คาดมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวัน หลังรัฐฯ อัดฉีดงบหลายแสนล้านบาทกระตุ้นศก.ขณะที่ผู้บริหารบจ. มองศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมเรียกร้องภาคเอกชนหันมาลงทุน-สร้างงาน เพื่อสร้างความมั่นใจของประชาชน
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (23 มิ.ย.52) บรรยากาศเข้าขั้นซบเซาตลอดทั้งวัน โดยดัชนีภาคเช้าปรับตัวลงหนักถึง 20.40 จุด เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่กังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่าจะติดลบ 2.9% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 1.7% ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันดิบและโลหะปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกว่า 200 จุด (คืนวันที่ 22 มิ.ย.ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วเอเชีย อีกทั้งยังมีของแถมจากความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองในประเทศเข้ามาสมทบ
ดัชนีฯ ที่ดิ่งแรงถึงเพียงนี้ ประเมินแล้วคงเป็นเพราะนักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยง ภายหลังจากที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกที่อาจจะมีการล่าช้าออกไป อย่างที่ทางญี่ปุ่นมองว่า เศรษฐกิจโลกไม่ได้มีการฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดกันไว้ พร้อมกับคาดการณ์ว่า นักลงทุนเริ่มลดความเสี่ยงในตลาดหุ้น โดยโยกเงินไปที่ตลาดพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยง และให้อัตราผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า ซึ่งมีการมองกันว่าราคาหุ้นของทุกตลาดทุนในขณะนี้ถือว่า ค่อนข้างแพงไปแล้วเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ส่วนเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอดูกันต่อไป ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดถึงทิศทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 (บางใหญ่-บางซื่อ) โดย กลุ่ม PAR Joint Venture ซึ่งมี บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง(PLE) และบมจ.แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON) รวมอยู่ด้วย เสนอราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ ที่ 6,399,670,000 ล้านบาท ซึ่งต่างมีความหวังว่าอาจจะมีแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ เข้ามา แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อดัชนีฯ แต่อย่างใดซึ่งแม้ในช่วงปิดตลาด ดัชนีฯ จะรีบาวน์ขึ้นมาได้ แต่ยังคงอยู่ในแดนลบ
โดยดัชนีหุ้นไทยวานนี้(23 มิ.ย.) ปิดตลาดที่ ระดับ 569.85 จุด ลดลง 12.44 จุด หรือ -2.14 % มูลค่าการซื้อขาย 16,832.62 ล้านบาท
***บล.คันทรี่ กรุ๊ป ทำนายหุ้นไทยดิ่งยาว 2 สัปดาห์
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลดลงได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ ประกอบกับได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมือง จึงทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจชะลอการลงทุนในช่วงนี้ออกไปก่อน
"สาเหตุหลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับลดลงในช่วงนี้ก็ คือ ปัจจัยทางการเมือง ก็ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจชะลอการลงทุนออกไปและก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย ซึ่งก็ประเมินแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 550 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และก็อสังหาฯ " นายรณกฤต กล่าว
***บล.เคที ซีมิโก้ แนะ หลีกเลี่ยง
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีซีมิโก้ เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคงไม่สดใสไปสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกประเทศ นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ยังคงส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
"ยังบอกไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะลงไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เพราะปัจจัยลบในต่างประเทศ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจปัญหาอะไรต่างๆ มากมายยังคงกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ ส่วนการเมืองในประเทศเรื่อง ส.ส. ถือหุ้นก็คงกระทบบ้าง แรงเขายก็ออกมามาก ตลาดหุ้นจึงไม่สดใส " นายเจริญ กล่าว
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสำหรับการลงทุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 550 จุด
***บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยฟื้นตัวQ4/52
นางสาวณัฐรินทร์ ปานทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย ประเมินว่าในไตรมาสที่ 4/52 ภาวะตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวันจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 14,000 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งแผนระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ที่มีเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทอีดฉีดเข้าไปในระบบ
***CPALL มองศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และไม่น่าจะเลวร้ายลง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หลังจากที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีมาตรการต่างๆ ออกมาก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ทำให้ประชาชนมีความตื่นตระหนกน้อยลง ขณะที่ภาคการเงินของประเทศไทยยังแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งประชาชนไทยมีการปรับตัวที่ดี โดยเอสเอ็มอี และภาคการผลิตได้มีการปรับตัวสูงตลอด ซึ่งการส่งออกก็เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาคเอกชนควรกล้าลงทุนและสร้างงานเพื่อสร้างความมั่นใจของประชาชน ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาลที่เม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปีเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนภาคเอกชนให้มีความมั่นใจมากขึ้นและส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญ
*** BEC คาด ศก.ครึ่งปีหลังฟื้น
นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงินบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC) กล่าวกับ eFinanceThai.com คาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2552 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ โดยน่าจะเป็นปัจจัยหนุนการลงทุน การจับจ่ายใช้สอย และการซื้อโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีแผนปรับขึ้นค่าโฆษณา เพราะเป็นช่วง Low Season จึงมองว่าไม่น่าจะใช้จังหวะที่เหมาะสม ซึ่งหากจะมีการปรับจริง บริษัทฯ จะมีการทบทวนในช่วงเดือน ส.ค. นี้
ที่มา:eFinanceThai
หุ้นไทยยังไร้ทิศทาง หลังดัชนีฯ วานนี้(23 มิ.ย.) ร่วงกราว ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย หลังเวิลด์แบงก์คาดการณ์ ศก.โลกหดตัวหนักกว่าที่คาด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรง ฉุดหุ้น Big Cap บล. คันทรี่ กรุ๊ป คาดดัชนีฯ มีสิทธิปรับลดลงได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แถมการเมืองยังวุ่นวายไม่เลิก ประเมินแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 550 จุด ด้านบล.เคที ซีมิโก้ สั่ง หลีกเลี่ยง ส่วนบล.กสิกรไทย มองไตรมาส 4/52 หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว คาดมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวัน หลังรัฐฯ อัดฉีดงบหลายแสนล้านบาทกระตุ้นศก.ขณะที่ผู้บริหารบจ. มองศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมเรียกร้องภาคเอกชนหันมาลงทุน-สร้างงาน เพื่อสร้างความมั่นใจของประชาชน
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (23 มิ.ย.52) บรรยากาศเข้าขั้นซบเซาตลอดทั้งวัน โดยดัชนีภาคเช้าปรับตัวลงหนักถึง 20.40 จุด เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่กังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่าจะติดลบ 2.9% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 1.7% ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งน้ำมันดิบและโลหะปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกว่า 200 จุด (คืนวันที่ 22 มิ.ย.ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วเอเชีย อีกทั้งยังมีของแถมจากความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองในประเทศเข้ามาสมทบ
ดัชนีฯ ที่ดิ่งแรงถึงเพียงนี้ ประเมินแล้วคงเป็นเพราะนักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยง ภายหลังจากที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกที่อาจจะมีการล่าช้าออกไป อย่างที่ทางญี่ปุ่นมองว่า เศรษฐกิจโลกไม่ได้มีการฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดกันไว้ พร้อมกับคาดการณ์ว่า นักลงทุนเริ่มลดความเสี่ยงในตลาดหุ้น โดยโยกเงินไปที่ตลาดพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยง และให้อัตราผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า ซึ่งมีการมองกันว่าราคาหุ้นของทุกตลาดทุนในขณะนี้ถือว่า ค่อนข้างแพงไปแล้วเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ส่วนเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอดูกันต่อไป ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดถึงทิศทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 (บางใหญ่-บางซื่อ) โดย กลุ่ม PAR Joint Venture ซึ่งมี บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง(PLE) และบมจ.แอสคอน คอนสตรัคชั่น (ASCON) รวมอยู่ด้วย เสนอราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 3 เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ ที่ 6,399,670,000 ล้านบาท ซึ่งต่างมีความหวังว่าอาจจะมีแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ เข้ามา แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อดัชนีฯ แต่อย่างใดซึ่งแม้ในช่วงปิดตลาด ดัชนีฯ จะรีบาวน์ขึ้นมาได้ แต่ยังคงอยู่ในแดนลบ
โดยดัชนีหุ้นไทยวานนี้(23 มิ.ย.) ปิดตลาดที่ ระดับ 569.85 จุด ลดลง 12.44 จุด หรือ -2.14 % มูลค่าการซื้อขาย 16,832.62 ล้านบาท
***บล.คันทรี่ กรุ๊ป ทำนายหุ้นไทยดิ่งยาว 2 สัปดาห์
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลดลงได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ ประกอบกับได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมือง จึงทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจชะลอการลงทุนในช่วงนี้ออกไปก่อน
"สาเหตุหลักๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับลดลงในช่วงนี้ก็ คือ ปัจจัยทางการเมือง ก็ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจชะลอการลงทุนออกไปและก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย ซึ่งก็ประเมินแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 550 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และก็อสังหาฯ " นายรณกฤต กล่าว
***บล.เคที ซีมิโก้ แนะ หลีกเลี่ยง
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีซีมิโก้ เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคงไม่สดใสไปสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกประเทศ นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ยังคงส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
"ยังบอกไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะลงไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เพราะปัจจัยลบในต่างประเทศ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจปัญหาอะไรต่างๆ มากมายยังคงกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ ส่วนการเมืองในประเทศเรื่อง ส.ส. ถือหุ้นก็คงกระทบบ้าง แรงเขายก็ออกมามาก ตลาดหุ้นจึงไม่สดใส " นายเจริญ กล่าว
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสำหรับการลงทุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 550 จุด
***บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยฟื้นตัวQ4/52
นางสาวณัฐรินทร์ ปานทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย ประเมินว่าในไตรมาสที่ 4/52 ภาวะตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาทต่อวันจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 14,000 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งแผนระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ที่มีเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทอีดฉีดเข้าไปในระบบ
***CPALL มองศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และไม่น่าจะเลวร้ายลง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หลังจากที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีมาตรการต่างๆ ออกมาก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ทำให้ประชาชนมีความตื่นตระหนกน้อยลง ขณะที่ภาคการเงินของประเทศไทยยังแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งประชาชนไทยมีการปรับตัวที่ดี โดยเอสเอ็มอี และภาคการผลิตได้มีการปรับตัวสูงตลอด ซึ่งการส่งออกก็เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาคเอกชนควรกล้าลงทุนและสร้างงานเพื่อสร้างความมั่นใจของประชาชน ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาลที่เม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปีเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนภาคเอกชนให้มีความมั่นใจมากขึ้นและส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญ
*** BEC คาด ศก.ครึ่งปีหลังฟื้น
นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงินบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC) กล่าวกับ eFinanceThai.com คาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2552 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ โดยน่าจะเป็นปัจจัยหนุนการลงทุน การจับจ่ายใช้สอย และการซื้อโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีแผนปรับขึ้นค่าโฆษณา เพราะเป็นช่วง Low Season จึงมองว่าไม่น่าจะใช้จังหวะที่เหมาะสม ซึ่งหากจะมีการปรับจริง บริษัทฯ จะมีการทบทวนในช่วงเดือน ส.ค. นี้
ที่มา:eFinanceThai
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น